รัฐบาลสหรัฐได้อะไรจาก DV Visa

อเมริกาได้อะไรจาก Diversity Visa หรือให้วีซ่าฟรีปีละ50,000คน

เคยสงสัยกันหรือไม่ครับว่าที่สหรัฐให้วีซ่าถาวรปีละ Diversity Visa Program 50,000 ใบต่อปีเพื่ออะไร รัฐบาลสหรัฐได้อะไร ทำไมต้องอนุญาติให้คนต่างชาติเข้าไปอพยพได้อย่างถาวร ผมมีคำตอบให้ จากการที่เคยถูกส่งไปทำงานที่ NY แล้ว นานมาแล้ว อยู่2ปีที่ธนาคารสำนักงานใหญ่และสัญญาการทำงานในสหรัฐผมกำลังจะหมด ทางเจ้านายของผมจะต้องต่อวีซ่าและสัญญาให้มาบอกกับผมว่าจะทำใบเขียวให้อยู่ถาวร ผมก็บอกว่าขอเอาไปคิดก่อนและยังไม่ให้คำตอบทันที ถ้าถามผมว่าชอบหรือไม่ที่อเมริกา ผมก็เฉยๆไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมาก ผมเห็นมาแล้วทั่วโลกและปกติอยู่ที่ยุโรป แต่ผมชอบ NYC มากกว่า ใน2ปีที่ทำงานผมก็บินเที่ยวต่างรัฐเกือบทุกเดือนเพราะตอนนั้นยังโสด สะสม Mileageสนุก เห็นคนอเมริกันในแบบต่างๆกันตามเมืองต่าง ขอจำกัดความว่า คนอเมริกันส่วนมากน่ารัก คุยง่าย เป็นมิตร แต่ถ้าคนที่ไม่ได้อยู่ใน NYC ความรู้รอบตัวหรือเกี่ยวกับรอบโลกอาจจะน้อยไปนิดนึง ก็ไม่ว่ากัน เป็นวิถึชีวิตของเขา คนใน NYC จะไม่เหมือนคนอเมริกันทั่วๆไปตามรัฐต่างๆ อาจจะเป็นเพราะNYCเป็นเมืองธุรกิจที่ใหญ่กว่าและมีการแข่งขันสูงมาก เป็นเมืองท่าและติดต่อค้าขายกับต่างชาติมากที่สุดในอเมริกา เลยรู้เรื่องของประเทศอื่นบ้าง แต่โดยส่วนตัวแล้วคน NY ในสายตาผมมีไหวพริบและความรู้รอบตัวที่ใช้ได้ทีเดียวเมื่อเทียบกับคนอื่นๆจาก Ohio, Texas, AZ หรือ WA มันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว เอาละผมนอกเรื่องมาพอสมควร จะเข้าเรื่องละครับว่าทำไมรัฐบาลเขาให้ DV Visa หลังจากที่ผมได้คุยกับเพื่อนสนิทที่เป็นคที่ทำงานที่เดียวกับผม แผนกTaxation หรือการจัดการภาษีของธนาคาร เขาอยู่ที่NYมา13ปีบอกผมว่า รัฐบาลอเมริกาตอนนี้ถังแตก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับผม ใครๆก็ทราบ แต่ตรงนี้น่าสนใจ เพื่อนบอกว่า IRS หรือกรมการภาษีของลุงแซมเก็บภาษีได้ไม่เข้าเป้าทุกปี และลุงแซมใช้จ่ายภาษีไปมากกว่ารายรับที่เก็บได้จากประชากรอเมริกันและคนที่ถือใบเขียว ที่ขาดดุลในการเก็บภาษีขาดดุลปีละ1.3ล้านๆเหรียญและมีแนวโน้มจะมากขึ้นไปอีก ตามสภาวะเงินเฟ้อ3%ต่อปีโดนเฉลี่ย แปลว่าของทุกอย่างก็จะแพงขึ้นอีก3%ต่อปีในอเมริกา รัฐก็จะต้องจ่ายแพงขึ้นอีก3% แถมดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลก็กำลังเป็นขาขึ้น สหรัฐแทบจะไม่สามารถจ่ายแค่ดอกเบี้ยพันธบัตรของรัฐเอง ถ้าไม่พิมพ์เงินมาจ่าย แต่ก็จะทำให้ค่าเงินสหรัฐร่วงทันทีประมาณ 5-8%แล้วแต่จำนวนเงินที่พิมพ์ออกไปจ่ายหนี้ เลยต้องมีโปรแกรม DV Visa ปีละ 50,000 คนต่างชาติเข้ามาช่วยทำงานและเสียภาษีช่วยคนอเมริกัน นโยบายนี้มีมากว่า 20ปีมาแล้ว ผมได้ยินตั้งแต่ผมเป็นเด็ก และยังมีการอพยที่ได้ใบเขียวในรูปแบบอื่นๆอีก เช่น การแต่งงาน จากสิทธิ์ของพ่อแม่ที่มีใบเขียวสู่ลูก หรือการทำงาน และที่พิเศษกว่าคือเด็กทารกที่คลอดในอเมริกาจากพ่อแม่ต่างชาติก็จะได้สัญชาติอเมริกันทันที จะแจกใบเขียวมากกว่านี้ก็ไม่ได้เพราะจะมาแย่งงานกับคนเจ้าของประเทศ

ข้อดีของการได้สัญชาติอเมริกันก็คือได้หนังสือเดินทางที่สามารถไปประเทศต่างๆได้ทั่วโลกโดยที่ไม่ต้องขอวีซ่า แต่ก็มีข้อเสียก็คือเวลาคุณนั่งเครื่องบิน ก็ต้องลุ้นว่าจะถูกผู้ก่อการร้ายจะมาจี้เครื่องบินหรือไม่ เพราะคนอเมริกันคือเป้าหมายแรกที่จะถูกโจมตีเพราะรัฐแทรกแซงและทำสงครามไปในตะวันออกกลางตั้งแต่อดีต ถึงได้มีการโจมตี 9-11 เงินภาษี53%ใช้ในการทหารและป้องกันประเทศถือว่าสูงที่สุดในโลก แม้ว่ายามที่ไม่มีสงครามก็ดี ทางรัฐก็จะต้องใช้ใน Homeland Security เพื่อป้องกันประเทศจากผู้ก่อการร้ายทุกทาง การข่าวหรือสายลับ ทางสนามบินตามหัวเมืองต่างๆที่จะต้องเก็บภาษีสนานบินเพิ่มอีก $6 จากผู้โดยสารเป็นค่าดูแลพิเศษจากผู้ก่อการร้าย สรุปเอาเป็นว่า IRS เป็นหัวใจหลักในการเก็บภาษีและเป็นรายได้หลักของรัฐ ใครก็ตามที่หลีกเลี่ยงหนีภาษีก็จะได้รับโทษที่รุนแรงมาก ถึงกับจำคุกถึง10ปีกันเลยทีเดียวเพราะเป็น Federal Charge หรือ โทษอาญาที่ได้รับจากรัฐบาลกลาง คนอเมริกันเวลาได้ยินว่าใครทำงานให้กับ IRS นี่ ขนหัวจะลุกกลัวขึ้นมากันที มีธุรกิจร้านอาหารในซานฟรานที่ผมเคยได้ยินว่าหลีกเลี่ยงภาษี ทางIRS ก็ส่งพนักงานไปเป็นลูกค้านั่งทานอาหารอยู่2-3วันแล้วเดินไปหลังร้านนับถุงขยะว่ามีกี่ถุง แล้วใส่สูตรคำณวนออกมาว่ารายได้ที่แจ้งไปนั้นตรงกับ IRS หรือไม่ ถ้าถุงขยะมากแปลว่าขายดีแต่ทำไมปีนี้แจงเสียภาษีน้อยเกินไป ตกลงเจ้าของร้านหนีภาษีจริงเพราะมีถุงขยะมากถึง 9ถุงต่อคืน ต้องขายบ้าน2หลังที่นั่นจ่ายคืนภาษีและค่าปรับอีก2-3เท่า ถ้าไม่อยากติดคุก IRS เอาจริงเรื่องนี้มาก มาดูกันว่าเจ้าของธุรกิจในสหรัฐต้องเสียภาษีแบบไหนกันบ้าง เอาแบบสรุปง่ายๆคือมีภาษี Sale Tax หรือ VAT บ้านเรา จ่ายทุกเดือน ภาษีทุกๆไตรมาต์ หรือทุกๆ3เดือน ภาษีกลางปีและภาษีรายได้ประจำปีของทุกสิ้นปี นี่ยังไม่รวมภาษีโรงเรือนของสำนักงาน และอื่นๆอีกเมื่อเทียบกับเมืองไทยเราเก็บภาษีน้อยมาก แค่นี้คนไทยยังว่าแพงเลย ถ้าเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่อเมริกาพวก Corporate ก็อาจจะเสียภาษี 45% ของรายได้ทั้งหมดโดยสรุป ถ้าคุณเป็นลูกจ้าง คุณอาจจะเสียภาษีประมาณ 35% เป็นอย่างต่ำถึง 45% ของรายได้ทั้งหมดเช่นกันขึ้นอยู่กับรายได้ ได้มากก็เสียมากตามขั้นบันได บวกกับค่าครองชีพที่สูงทำให้คนที่นั่นต้องทำงานกันหนักขึ้น ประเทศพัฒนาแล้วเสียภาษีโหดทั้งนั้น เคยมีเพื่อนเป็นคนสวิสบอกว่าเสียภาษี2ปีครั้งเดียว ถือว่าน้อยมากเพราะสวิสไม่ต้องจ่ายภาษีเรื่องการทหารเหมือนสหรัฐ ภาษีเลยกลับมาหาคนสวิสในด้านสวัสดิการต่างๆ ตอนนี้รัฐบาลอเมริกาออกกฏหมายใหม่ว่าถ้าใครยังค้างภาษีมากกว่า 50,000 เหรียญก็จะไม่ออกหนังสือเดินทางให้หรือยกเลิกหนังสือเดินทางเล่มเก่า https://www.greenbacktaxservices.com/blog/late-us-tax-passport-revocation/
อเมริกาอาจจะดูหอมหวานสำหรับคนบางคน แต่บางด้านก็โหดร้าย อัตราอาชญกรรมสูงในทุกหัวเมืองใหญ่ ผมเคยขับรถผ่านไปที่ย่านผิวสี Bronxใน NY บอกเลยว่าน่ากลัวหรือบางย่านใน Chicago ออกมานั่งรอปล้นกันเลยทีเดียว

ตอนนี้ลุงแซมมีหนี้สาธารณะ 21ล้านๆเหรียญ ยังไม่รวมหนี้ให้กู้เรียนและหนี้ภาคครัวเรือนที่ยังอยู่ในระบบเศรษฐกิจ สิริรวมแล้วอเมริกาจริงๆมีหนี้ทั้งหมด 70ล้านๆเหรียญ!!

https://www.washingtonpost.com/news/fact-checker/wp/2017/04/18/is-the-real-number-for-the-national-debt-70-trillion/

แล้วเก็บภาษียังไม่ได้ตามเป้าทุกปี แจกใบเขียวก็ยังเก็บไม่ได้ตามเป้า ขึ้นภาษีมากก็จะกระทบกับการใช้จ่ายในประเทศ มันก็จะกระทบถึงระบบเศรษฐกิจอีก ดอกเบี้ยก็จะต้องขึ้นมาตามกลไกของมันเองตอนนี้ อเมริกาตอนนี้อยู่ในแบบที่หันซ้ายก็ไม่ได้หันขวาก็เจอทางตันหรือ deadlock สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คืออเมริกายังไงก็จ่ายหนี้คืนจีนและญี่ปุ่นไม่ได้ จะต้องพิมพ์เงินจ่ายหนี้ที่มากกว่าวิกฤตตอนปี2008อีกที่ต้องอุ้มสถาบันการเงิน มีหนี้ก็ต้องจ่ายแต่ถ้าไม่มีก็อาจจะต้อง 1.พิมพ์เงินต่อไปโดยไม่จำกัด ส่งผลให้ค่าเงินตกถึง 50%หรือมากกว่า เพราะเป็นหนี้ของรัฐต่อรัฐ หรือ 2.ชักดาบเหมือนกรีซ 3.ขึ้นภาษีอีก แต่ในทุก1%.ในอเมริกาจะมีผลกระทบหมดทุกอย่างในระบบเศรษฐกิจ แต่ทุกวันนี้อเมริกาเองถึงไม่มีหนี้เก่าก็เก็บภาษีไม่ได้และยังใช้จ่ายมากกว่ารายรับ ยังไงก็จะต้องกลับมีหนี้เหมือนเดิม ตอนนี้ก็เหมือนระเบิดเวลาลูกใหม่ที่รอวันจะระเบิด ซึ่งจะเป็นวิกฤตที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่มีมาในมวลมนุษยชาติ นักเศรษฐศาสตร์บางคนบอกไว้ว่ายังไงอเมริกาอาจจะต้องขอลดหนี้1/3เป็นหนี้เสียให้กับจีนและญี่ปุ่น เหมือนมัดมือชกเพราะเจ้าหนี้ก็ต้องพยายามไม่ให้อเมริกาล้มไปด้วยเพราะผลเสียจะมีมากกว่าและจะกระทบไปทั้งโลก แค่เป็นการเริ่มต้นแต่ปัญหาเก่ายังอยู่คือมีหนี้ คราวนี้การเงินทั่วโลกจะปั่นป่วน ดัชนีตลาดหุ้นอาจจะกลับไปอยู่ที่ปี 2000 ก็ว่าได้เพราะเป็นประเทศที่เศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลก คนอเมริกันจะจนลงทันทีเพราะดอลลาร์จะมีค่าด้อยลงมากกว่า50% ในตลาดโลก ภาพวิกฤตต้มยำกุ้งของเราเคยโหดร้ายแค่ไหน วิกฤตของอเมริกาที่มาจากหนี้จะมากกว่าเราเป็นร้อยเท่า คุณรอดูก็แล้วกันว่ามันมาแน่ในแบบเราไม่ได้ตั้งตัว หรืออาจจะเป็นกฏแห่งกรรมที่เกิดจากการเอาเปรียบของภาคเอกชนและรัฐก็ว่าได้ อันนี้ไม่ทราบได้ครับ

ตอนนี้ในแต่ละปีมีคนอเมริกันที่ขอยกเลิกสัญชาติอเมริกันตกปีละ 1,500 คนเพื่อย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่นและมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะไม่อยากเสียภาษีที่ไม่รู้จักจบ คนพวกนี้คือมหาเศรษฐีที่รวยเงียบ และอเมริกาเป็นประเทศเดียวในโลกที่ต้องเสียภาษีรายได้ถึงแม้ว่าตัวคนอเมริกันทำงานอยู่หรืออพยพอยู่ต่างประเทศก็ตาม ถ้าคุณไม่เสียภาษี IRS ก็อาจจะส่งเรื่องยกเลิกหนังสือเดินทางได้ทันที

https://www.forbes.com/sites/robertwood/2017/11/03/americans-renouncing-citizenship-hits-new-record-tax-bill-wont-change-that/

สิ่งที่พิสูจน์คือ อเมริกาต้องการเก็บภาษีจากคนของเขาให้มากที่สุด ทำไมมีประเทศเดียวในโลกที่ต้องเก็บภาษีจากคนอเมริกันหรือคนมีใบเขียวที่ทำงานนอกสหรัฐ จนเหมือนเป็นการเอาเปรียบคนของเขาเอง มันยุติธรรมไหมที่คนอเมริกันทำงานในยุโรป เสียภาษีรายได้ในยุโรป 40% แล้วต้องมาเสียภาษีให้กับIRS อีกด้วย คำตอบมันน่าจะชัดเจนในตัวเองอยู่แล้ว ให้คุณตัดสินใจเอาเอง
https://www.irs.gov/individuals/international-taxpayers/taxpayers-living-abroad

ผมตั้งใจจะเขียนเรื่องวีซ่า ทำไมมาลงเรื่องเศรษฐกิจ เอาเป็นว่าให้พวกคุณอ่านเล่นวันอาทิตย์ก็แล้วกันครับ ขออภัยเรื่องการใช้ภาษาไทยด้วย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่