- นี่คือ "หนังเกรด B ที่มีโปรดัคชั่นระดับเกรด A" (คำชม) ด้วยตัวพล็อตแล้วมันโคตรจะหนังเกรดบี ซึ่งเขาก็ตั้งใจให้มันเป็นพวกหนัง Grindhouse อยู่แล้ว แต่ด้วยโปรดัคชั่น การกำกับ และองค์ประกอบทุกอย่าง จึงทำให้เรื่องนี้กลายเป็นหนังระดับ A
- เรื่องนี้ deliver ทุกอย่างที่อยากจะดู คาดหวังให้มันเป็นหนังมันส์ ๆ บ้าระห่ำ เรื่องนี้ก็จัดให้เต็มที่ไม่ยั้ง
- ก่อนดู ได้อ่านบางรีวิวจากเมืองนอกว่า "ไม่สยองและแทบไม่มีซอมบี้นาซีเลย ผิดหวังมากๆ" ซึ่งพอเราไปดูมาก็พบว่าจริงๆแล้ว Overlord คือ "หนังสงคราม ที่มีสัตว์ประหลาด,ซอมบี้ (แล้วแต่จะเรียก) อยู่ในนั้น" ไม่ใช่ "หนังซอมบี้ ที่มีฉากหลังเป็นสงครามโลก" ตลอดทั้งเรื่องเราจะเห็นว่า plot หลักของมันคือการทำลายหอวิทยุ พอดูจบแล้วมานั่งคิด ก็พบว่ามันแทบไม่มี "ซอมบี้" เลย ที่ออกมาจริงๆมีไม่กี่ตัว แต่สำหรับเราแค่สถานการณ์ทุกอย่างมันก็สนุกมากพอ ไม่ได้รู้สึกว่าส่วนนั้นมันขาด (แต่เรื่องนี้ก็ market แบบเอาซอมบี้มาขายจริงๆ บางคนไปดูเลยอาจผิดหวัง)
- ส่วนนึงที่ชอบมากๆก็คือ "ตัวละคร" ปกติหนังแนวเอามันส์พวกนี้ ตัวละครจะไม่ค่อยดีมาก เหมือนแค่เขียนมาเพื่อให้ตาย แต่แต่ละตัวในเรื่องนี้ค่อนข้างน่าสนใจและน่าเอาใจช่วย > ชอบ arc ของ "Boyce" (Jovan Adepo) ที่คุณธรรมของตัวเอง มักขัดกับสถานการณ์ทุกอย่าง, ชอบที่ "Chole" (Mathilde Ollivier) ไม่ได้ badass เกินมนุษย์ ยังมีความแกร่งผสมกลัว ดูธรรมชาติอย่างที่ควรจะเป็น (คือหนังสมัยนี้ ตัวละครผญ. Badass มันเยอะมาก แต่ส่วนใหญ่จะดูไม่มีอะไร แค่แบบกูเก่ง กูเจ๋ง ไม่มีอะไรมากกว่านั้น) ส่วน "Ford" จริงๆบทไม่ค่อยมีอะไร แต่เป็นเพราะ Wyatt Russell เล่น (รู้สึกชอบเขาตั้งแต่ใน Black Mirror)
- ภาพ & สกอร์ ให้ 10/10 เลย โดยเฉพาะสกอร์ที่ทำให้ระทึกอยู่ตลอดเวลา
- ใครจะดูเรื่องนี้ ต้องดูแบบ IMAX เท่านั้น! ดูแบบธรรมดาอาจจะสนุกประมาณนึง แต่พอดูแบบ IMAX เสียงระเบิด, กระสุน ทุกอย่างมาเต็ม เหมือนเข้าไปอยู่ในสงครามด้วยเลย โดยเฉพาะฉากบนเครื่องบินตอนแรก /IMAX เข้าแค่สัปดาห์เดียว รีบไปดูกันนะ
- สุดท้ายนี้ ได้แต่หวังว่า Bad Robot จะสร้างหนังแบบนี้อีกเยอะๆ (แต่เหมือนรายได้จะน้อยมากๆ เศร้า TT)
Overlord (2018): ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️
- นี่คือ "หนังเกรด B ที่มีโปรดัคชั่นระดับเกรด A" (คำชม) ด้วยตัวพล็อตแล้วมันโคตรจะหนังเกรดบี ซึ่งเขาก็ตั้งใจให้มันเป็นพวกหนัง Grindhouse อยู่แล้ว แต่ด้วยโปรดัคชั่น การกำกับ และองค์ประกอบทุกอย่าง จึงทำให้เรื่องนี้กลายเป็นหนังระดับ A
- เรื่องนี้ deliver ทุกอย่างที่อยากจะดู คาดหวังให้มันเป็นหนังมันส์ ๆ บ้าระห่ำ เรื่องนี้ก็จัดให้เต็มที่ไม่ยั้ง
- ก่อนดู ได้อ่านบางรีวิวจากเมืองนอกว่า "ไม่สยองและแทบไม่มีซอมบี้นาซีเลย ผิดหวังมากๆ" ซึ่งพอเราไปดูมาก็พบว่าจริงๆแล้ว Overlord คือ "หนังสงคราม ที่มีสัตว์ประหลาด,ซอมบี้ (แล้วแต่จะเรียก) อยู่ในนั้น" ไม่ใช่ "หนังซอมบี้ ที่มีฉากหลังเป็นสงครามโลก" ตลอดทั้งเรื่องเราจะเห็นว่า plot หลักของมันคือการทำลายหอวิทยุ พอดูจบแล้วมานั่งคิด ก็พบว่ามันแทบไม่มี "ซอมบี้" เลย ที่ออกมาจริงๆมีไม่กี่ตัว แต่สำหรับเราแค่สถานการณ์ทุกอย่างมันก็สนุกมากพอ ไม่ได้รู้สึกว่าส่วนนั้นมันขาด (แต่เรื่องนี้ก็ market แบบเอาซอมบี้มาขายจริงๆ บางคนไปดูเลยอาจผิดหวัง)
- ส่วนนึงที่ชอบมากๆก็คือ "ตัวละคร" ปกติหนังแนวเอามันส์พวกนี้ ตัวละครจะไม่ค่อยดีมาก เหมือนแค่เขียนมาเพื่อให้ตาย แต่แต่ละตัวในเรื่องนี้ค่อนข้างน่าสนใจและน่าเอาใจช่วย > ชอบ arc ของ "Boyce" (Jovan Adepo) ที่คุณธรรมของตัวเอง มักขัดกับสถานการณ์ทุกอย่าง, ชอบที่ "Chole" (Mathilde Ollivier) ไม่ได้ badass เกินมนุษย์ ยังมีความแกร่งผสมกลัว ดูธรรมชาติอย่างที่ควรจะเป็น (คือหนังสมัยนี้ ตัวละครผญ. Badass มันเยอะมาก แต่ส่วนใหญ่จะดูไม่มีอะไร แค่แบบกูเก่ง กูเจ๋ง ไม่มีอะไรมากกว่านั้น) ส่วน "Ford" จริงๆบทไม่ค่อยมีอะไร แต่เป็นเพราะ Wyatt Russell เล่น (รู้สึกชอบเขาตั้งแต่ใน Black Mirror)
- ภาพ & สกอร์ ให้ 10/10 เลย โดยเฉพาะสกอร์ที่ทำให้ระทึกอยู่ตลอดเวลา
- ใครจะดูเรื่องนี้ ต้องดูแบบ IMAX เท่านั้น! ดูแบบธรรมดาอาจจะสนุกประมาณนึง แต่พอดูแบบ IMAX เสียงระเบิด, กระสุน ทุกอย่างมาเต็ม เหมือนเข้าไปอยู่ในสงครามด้วยเลย โดยเฉพาะฉากบนเครื่องบินตอนแรก /IMAX เข้าแค่สัปดาห์เดียว รีบไปดูกันนะ
- สุดท้ายนี้ ได้แต่หวังว่า Bad Robot จะสร้างหนังแบบนี้อีกเยอะๆ (แต่เหมือนรายได้จะน้อยมากๆ เศร้า TT)