เรื่องสั้น..ในม้วนกระดาษ
โดย.......ไข่น้ำค้าง
เธอคนนั้นเดินตรงมาที่เราอีกแล้ว สีหน้าหากดูภายนอกจะเรียบเฉย แต่ถ้าสังเกตให้ดีๆ จะเห็นว่ามีประกายตื่นเต้นและขบขันซ่อนอยู่ในดวงตาทั้งคู่ ตาเธอโตดีจัง... วันนี้เธอไม่รีบร้อนจนสะดุดมุมตู้วางของอย่างเมื่อวานซืนอีก ในมือเธอมีม้วนกระดาษสีขาวชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง เธอมองเราเกือบจะไม่กะพริบตา พอเดินมาถึงตัวเรา ก็เปิดปากเราออกนิดหนึ่งพอให้มีช่องว่าง แล้วก็เสียบม้วนกระดาษนั้นเข้ามาที่มุมปากเราโดยให้ปลายโผล่ออกไป เหมือนคนคาบบุหรี่เลยล่ะ แล้วเธอก็ปิดปากเราไว้เหมือนเดิม
เรามองเธอหยิบสมุดที่วางอยู่ในชั้นวางของหอบออกไป เธอคงมีเรียน เราเห็นนักศึกษาคนอื่นๆ ทำเหมือนเธอ คือรีบเดินลงบันไดมาจากชั้นบน หรือไม่ก็เดินออกมาจากห้องชั้นล่างแล้วก็ผลุนผลันคว้ากระเป๋าตำรับตำราเดินออกไปอย่างเร่งรีบ
แล้วนายของเราล่ะ ยังไม่เห็นออกมาเลย เขาคงกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ หรือไม่ก็นิตยสารที่เขาสนใจ บางทีก็นั่งเขียนอะไรขยุกขยิก หน้าตาเครียดๆ ท่าทางจริงจังอย่างเคยของเขานั่นแหละ นายของเราเป็นผู้ชายที่ภายนอกดูขรึมๆ และสุภาพ เขาเป็นคนวางหน้าเฉยแทบจะตลอดเวลา แม้มีความสุขก็ยังไม่ค่อยจะยอมยิ้ม แต่นายก็พูดอะไรตลกๆ กับคนที่สนิทเป็นเหมือนกัน
ปกตินายไม่ค่อยยุ่งกับใคร เราเห็นเขาทำตัวแบบนี้มานานแล้วตั้งแต่เข้ามาเรียนที่ใหม่ๆ เรารู้ เพราะเราใกล้ชิดกับนายมาก นายไปไหนนายก็พาเราไปด้วย ไม่เคยห่างกันสักที เขาแต่งชุดนักศึกษามาเรียนทุกวัน เรียนเกี่ยวกับเรื่องหยูกยาอะไรก็ไม่รู้ เราเรียกชื่อไม่ถูก
เมื่อไม่นานนี้เองที่ดูท่าทีนายเปลี่ยนไปบ้าง เราคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเธอคนนั้น เธอคนที่ตัวผอมๆ ผมหยิกฟู ตาโต มีประกายสดใส เธอคนที่ชอบแอบเอาม้วนกระดาษมาใส่ปากเราหลายครั้งตั้งแต่เทอมที่แล้วโน้น เราจำไม่ได้ว่าทั้งหมดมีกี่ครั้งกันแน่ แต่ยังไม่ถึงยี่สิบครั้งหรอก
ตอนที่นายมาพบม้วนกระดาษครั้งแรกนั้น นายขมวดคิ้ว แล้วก็คลี่ม้วนกระดาษออกดู นายทำท่าครุ่นคิดขณะคว้าหูเราคล้องไหล่ แล้วก็พับกระดาษนั้นเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่กระเป๋ากางเกงไว้ เราอยากบอกนายเหลือเกินว่าเจ้าหล่อนผู้นั้นเป็นเจ้าของกระดาษชิ้นนี้ แต่เราก็บอกไม่ได้ และนายก็คงจะไม่รู้ละมัง
จนถึงวันนี้ นายจะรู้หรือยังหนอว่า ใครเป็นคนแอบเอาม้วนกระดาษมาเสียบไว้ให้นาย เฮ้อ...เราล่ะอยากพูดได้จริงเชียว
นั่นแน่ะ... นายเดินหน้าเฉยออกมาแล้ว เขาเดินช้าๆ หยุดดื่มน้ำตรงหม้อน้ำเย็นผนังตึกแล้วก็เดินออกมาตรงทางออก นายมองมาที่เรา ยิ้มนิดๆ คนเดียว แล้วเดินเข้ามาคว้าเราไปคล้องไหล่ นายเดินออกมาข้างนอก แล้วก็ค่อยๆ เปิดปากเรา หยิบ “มวนบุหรี่” ของเราออกมา นายหันไปมองรอบๆ ก่อนที่จะคลี่กระดาษออกอ่าน เมื่ออ่านจบ เขาถอนใจยาวอย่างช้าๆ ทำหน้าเหมือนจะยิ้ม แต่กลับคงความรู้สึกไว้อย่างนั้น บรรจงพับชิ้นกระดาษเล็กๆ อย่างประณีต หย่อนใส่กระเป๋าเสื้อ แล้วก็ฮัมเพลงในลำคอเบาๆ เดินลงบันไดไป เออ...นายเขาเป็นอะไรของเขานะ
เช้าวันนี้อากาศดี แสงแดดสดใส หลังจากลงรถเมล์ที่หน้าประตูใหญ่ นายเดินพาเราไปที่ตึกหลังนั้น เวลาไม่มีชั่วโมงเรียน นายชอบมาที่นี่เสมอ เพื่อนๆ ของนายที่ไม่มีชั่วโมงเรียนก็ชอบมาที่นี่เหมือนกัน พวกเขามักนั่งอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มๆ ก่อนนี้เราเคยเข้าไปในตึกนี้กับนายด้วย แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่ให้นายพาเราเข้าไปแล้ว เราก็เลยต้องนอนรอนายอยู่ตรงชั้นวางของนอกห้องที่นายอ่านหนังสือ
นายเดินผ่านประตูทางเข้าและเลี้ยวเข้าไปวางเราบนหลังตู้วางของ เสร็จแล้วแทนที่จะเดินเข้าไปในห้องชั้นล่างเหมือนเคย นายกลับหยิบม้วนกระดาษสีขาวเล็กๆ ชิ้นหนึ่งซึ่งมีรอยพับและยู่ยี่เล็กน้อยจากกระเป๋าเสื้อเอามาเสียบไว้ที่มุมปากเราเช่นเดียวกับที่เธอคนนั้นทำ แล้วนายก็เดินตรงขึ้นบันไดไปชั้นบน ตอนที่กำลังขึ้นบันได นายเหลียวมามองเราแวบหนึ่ง นี่นายคิดจะทำอะไรของเขาหนอ...
นายขึ้นไปนานแล้วและยังไม่ลงมา เรานอนมองออกไปนอกบานหน้าต่างที่อยู่ถัดจากตู้วางของอย่างสบายอารมณ์ ใบไม้แห้งพรูร่วงจากกิ่งสูงของมัน เสียงกระทบกันดังอ่อนหวาน เราคิดถึงเธอผมฟู ตัวผอมๆ คนนั้น เธอเรียนอะไรก็ไม่รู้ แต่ไม่ใช่อย่างที่นายเรียนหรอก เธอจะมาที่นี่ไหมนะวันนี้ เราเคยเห็นเธอแกล้งเพื่อนให้ตกใจแล้วก็ยิ้มหัวเราะสดใส เราชอบรอยยิ้มของเธอโดยเฉพาะรอยยิ้มที่แย้มออกนิดๆ พร้อมกับประกายตื่นเต้นในดวงตาโตของเธอยามที่เธอแอบมาเสียบม้วนกระดาษไว้ที่มุมปากของเรา
เอ๊ะ... แล้วจะเกิดอะไรขึ้นนะ ถ้าวันนี้เธอจะเอาม้วนกระดาษมาเสียบไว้กับเราเหมือนครั้งก่อนๆ
เสียงเพลงแผ่วเบามาจากเคาน์เตอร์ผสานกับกลิ่นดอกไม้สดสีหวานบนโต๊ะ ทำให้เรารู้สึกสดชื่น มีคนเดินออกไปกลุ่มใหญ่ คุยกันเสียงดังเอะอะแล้วก็ค่อยจางลงเมื่อเดินห่างออกไปไกล
สายลมพัดมาเย็นชื่น ขณะที่ผู้หญิงคนหนึ่งก้าวผ่านประตูเข้ามา เราเห็นเธอกวาดสายตามองดูที่ชั้นวางของก่อนจะหยุดตรงที่เรา เธอ... ใช่แล้ว...เธอนั่นเอง
วันนี้เธอปล่อยผมฟูยาวเคลียต้นคอ ใส่ที่คาดผม มองดูเรียบร้อยน่ารัก ในมือเธอมีม้วนกระดาษชิ้นเล็กติดมาด้วยเหมือนเคย เธอเดินตรงเข้ามาที่เราแล้วก็ชะงัก ดวงตาฉายแววฉงน เมื่อแลเห็นม้วนกระดาษชิ้นเล็กที่มุมปากเรา เธอเหลียวมองไปรอบๆ จากนั้นจึงรีบหยิบมันออกไปอย่างรวดเร็วและค่อยๆ คลี่ม้วนกระดาษนั้นออกช้าๆ
ดูเหมือนเธอจะกลั้นหายใจขณะที่ทอดสายตาไปตามตัวหนังสือตั้งแต่บรรทัดแรกจนถึงบรรทัดสุดท้าย เราเห็นริมฝีปากเธอสั่นและแย้มออกน้อยๆ แต่ยังไม่ทันจะสังเกตอะไรมากไปกว่านี้ เราก็รู้สึกใจหายแทนเธอ นายเดินลงบันไดมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เขามองลงมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ตาเป็นประกายระยับ เธอของเรายังยืนนิ่งมองข้อความในกระดาษกลับไปกลับมา สีหน้านายเข้มขึ้นขณะเดินออกมาตรงทางออกและเลี้ยวเข้ามาหยุดยืนไม่ห่างจากเธอนักพร้อมกับเอ่ยขึ้นเบาๆ
“ผมไม่ดีเอง ลงมาเร็วไปหน่อย ขอโทษนะครับ”
แล้วนายก็ยิ้มให้เธอ เหมือน... อะไรล่ะ เหมือนดวงตะวันฉายแสงให้ดอกไม้ คล้ายๆ อย่างนั้น เราเห็นดวงตาโตของเธอโตขึ้นอีกเมื่อหันมามองคนที่ยืนพูดอยู่ใกล้ๆ เธอยกมือปิดปาก หน้าเป็นสีเข้มเช่นเดียวกับนาย ไม่ได้ยิ้ม... แต่เธอหัวเราะ และนายก็หัวเราะด้วย
เหมือนกับเป็นยามเช้าที่อากาศดี แสงแดดสดใส และฟ้าดูงามกระจ่างกว่าทุกวัน
เราอยากจะเปิดปากหัวเราะบ้างจังเลย
...................
(2533)
ขอขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่านค่ะ
เรื่องสั้นวันพุธ (7 พ.ย. 61) : ในม้วนกระดาษ
โดย.......ไข่น้ำค้าง
เธอคนนั้นเดินตรงมาที่เราอีกแล้ว สีหน้าหากดูภายนอกจะเรียบเฉย แต่ถ้าสังเกตให้ดีๆ จะเห็นว่ามีประกายตื่นเต้นและขบขันซ่อนอยู่ในดวงตาทั้งคู่ ตาเธอโตดีจัง... วันนี้เธอไม่รีบร้อนจนสะดุดมุมตู้วางของอย่างเมื่อวานซืนอีก ในมือเธอมีม้วนกระดาษสีขาวชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง เธอมองเราเกือบจะไม่กะพริบตา พอเดินมาถึงตัวเรา ก็เปิดปากเราออกนิดหนึ่งพอให้มีช่องว่าง แล้วก็เสียบม้วนกระดาษนั้นเข้ามาที่มุมปากเราโดยให้ปลายโผล่ออกไป เหมือนคนคาบบุหรี่เลยล่ะ แล้วเธอก็ปิดปากเราไว้เหมือนเดิม
เรามองเธอหยิบสมุดที่วางอยู่ในชั้นวางของหอบออกไป เธอคงมีเรียน เราเห็นนักศึกษาคนอื่นๆ ทำเหมือนเธอ คือรีบเดินลงบันไดมาจากชั้นบน หรือไม่ก็เดินออกมาจากห้องชั้นล่างแล้วก็ผลุนผลันคว้ากระเป๋าตำรับตำราเดินออกไปอย่างเร่งรีบ
แล้วนายของเราล่ะ ยังไม่เห็นออกมาเลย เขาคงกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ หรือไม่ก็นิตยสารที่เขาสนใจ บางทีก็นั่งเขียนอะไรขยุกขยิก หน้าตาเครียดๆ ท่าทางจริงจังอย่างเคยของเขานั่นแหละ นายของเราเป็นผู้ชายที่ภายนอกดูขรึมๆ และสุภาพ เขาเป็นคนวางหน้าเฉยแทบจะตลอดเวลา แม้มีความสุขก็ยังไม่ค่อยจะยอมยิ้ม แต่นายก็พูดอะไรตลกๆ กับคนที่สนิทเป็นเหมือนกัน
ปกตินายไม่ค่อยยุ่งกับใคร เราเห็นเขาทำตัวแบบนี้มานานแล้วตั้งแต่เข้ามาเรียนที่ใหม่ๆ เรารู้ เพราะเราใกล้ชิดกับนายมาก นายไปไหนนายก็พาเราไปด้วย ไม่เคยห่างกันสักที เขาแต่งชุดนักศึกษามาเรียนทุกวัน เรียนเกี่ยวกับเรื่องหยูกยาอะไรก็ไม่รู้ เราเรียกชื่อไม่ถูก
เมื่อไม่นานนี้เองที่ดูท่าทีนายเปลี่ยนไปบ้าง เราคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเธอคนนั้น เธอคนที่ตัวผอมๆ ผมหยิกฟู ตาโต มีประกายสดใส เธอคนที่ชอบแอบเอาม้วนกระดาษมาใส่ปากเราหลายครั้งตั้งแต่เทอมที่แล้วโน้น เราจำไม่ได้ว่าทั้งหมดมีกี่ครั้งกันแน่ แต่ยังไม่ถึงยี่สิบครั้งหรอก
ตอนที่นายมาพบม้วนกระดาษครั้งแรกนั้น นายขมวดคิ้ว แล้วก็คลี่ม้วนกระดาษออกดู นายทำท่าครุ่นคิดขณะคว้าหูเราคล้องไหล่ แล้วก็พับกระดาษนั้นเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่กระเป๋ากางเกงไว้ เราอยากบอกนายเหลือเกินว่าเจ้าหล่อนผู้นั้นเป็นเจ้าของกระดาษชิ้นนี้ แต่เราก็บอกไม่ได้ และนายก็คงจะไม่รู้ละมัง
จนถึงวันนี้ นายจะรู้หรือยังหนอว่า ใครเป็นคนแอบเอาม้วนกระดาษมาเสียบไว้ให้นาย เฮ้อ...เราล่ะอยากพูดได้จริงเชียว
นั่นแน่ะ... นายเดินหน้าเฉยออกมาแล้ว เขาเดินช้าๆ หยุดดื่มน้ำตรงหม้อน้ำเย็นผนังตึกแล้วก็เดินออกมาตรงทางออก นายมองมาที่เรา ยิ้มนิดๆ คนเดียว แล้วเดินเข้ามาคว้าเราไปคล้องไหล่ นายเดินออกมาข้างนอก แล้วก็ค่อยๆ เปิดปากเรา หยิบ “มวนบุหรี่” ของเราออกมา นายหันไปมองรอบๆ ก่อนที่จะคลี่กระดาษออกอ่าน เมื่ออ่านจบ เขาถอนใจยาวอย่างช้าๆ ทำหน้าเหมือนจะยิ้ม แต่กลับคงความรู้สึกไว้อย่างนั้น บรรจงพับชิ้นกระดาษเล็กๆ อย่างประณีต หย่อนใส่กระเป๋าเสื้อ แล้วก็ฮัมเพลงในลำคอเบาๆ เดินลงบันไดไป เออ...นายเขาเป็นอะไรของเขานะ
เช้าวันนี้อากาศดี แสงแดดสดใส หลังจากลงรถเมล์ที่หน้าประตูใหญ่ นายเดินพาเราไปที่ตึกหลังนั้น เวลาไม่มีชั่วโมงเรียน นายชอบมาที่นี่เสมอ เพื่อนๆ ของนายที่ไม่มีชั่วโมงเรียนก็ชอบมาที่นี่เหมือนกัน พวกเขามักนั่งอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มๆ ก่อนนี้เราเคยเข้าไปในตึกนี้กับนายด้วย แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่ให้นายพาเราเข้าไปแล้ว เราก็เลยต้องนอนรอนายอยู่ตรงชั้นวางของนอกห้องที่นายอ่านหนังสือ
นายเดินผ่านประตูทางเข้าและเลี้ยวเข้าไปวางเราบนหลังตู้วางของ เสร็จแล้วแทนที่จะเดินเข้าไปในห้องชั้นล่างเหมือนเคย นายกลับหยิบม้วนกระดาษสีขาวเล็กๆ ชิ้นหนึ่งซึ่งมีรอยพับและยู่ยี่เล็กน้อยจากกระเป๋าเสื้อเอามาเสียบไว้ที่มุมปากเราเช่นเดียวกับที่เธอคนนั้นทำ แล้วนายก็เดินตรงขึ้นบันไดไปชั้นบน ตอนที่กำลังขึ้นบันได นายเหลียวมามองเราแวบหนึ่ง นี่นายคิดจะทำอะไรของเขาหนอ...
นายขึ้นไปนานแล้วและยังไม่ลงมา เรานอนมองออกไปนอกบานหน้าต่างที่อยู่ถัดจากตู้วางของอย่างสบายอารมณ์ ใบไม้แห้งพรูร่วงจากกิ่งสูงของมัน เสียงกระทบกันดังอ่อนหวาน เราคิดถึงเธอผมฟู ตัวผอมๆ คนนั้น เธอเรียนอะไรก็ไม่รู้ แต่ไม่ใช่อย่างที่นายเรียนหรอก เธอจะมาที่นี่ไหมนะวันนี้ เราเคยเห็นเธอแกล้งเพื่อนให้ตกใจแล้วก็ยิ้มหัวเราะสดใส เราชอบรอยยิ้มของเธอโดยเฉพาะรอยยิ้มที่แย้มออกนิดๆ พร้อมกับประกายตื่นเต้นในดวงตาโตของเธอยามที่เธอแอบมาเสียบม้วนกระดาษไว้ที่มุมปากของเรา
เอ๊ะ... แล้วจะเกิดอะไรขึ้นนะ ถ้าวันนี้เธอจะเอาม้วนกระดาษมาเสียบไว้กับเราเหมือนครั้งก่อนๆ
เสียงเพลงแผ่วเบามาจากเคาน์เตอร์ผสานกับกลิ่นดอกไม้สดสีหวานบนโต๊ะ ทำให้เรารู้สึกสดชื่น มีคนเดินออกไปกลุ่มใหญ่ คุยกันเสียงดังเอะอะแล้วก็ค่อยจางลงเมื่อเดินห่างออกไปไกล
สายลมพัดมาเย็นชื่น ขณะที่ผู้หญิงคนหนึ่งก้าวผ่านประตูเข้ามา เราเห็นเธอกวาดสายตามองดูที่ชั้นวางของก่อนจะหยุดตรงที่เรา เธอ... ใช่แล้ว...เธอนั่นเอง
วันนี้เธอปล่อยผมฟูยาวเคลียต้นคอ ใส่ที่คาดผม มองดูเรียบร้อยน่ารัก ในมือเธอมีม้วนกระดาษชิ้นเล็กติดมาด้วยเหมือนเคย เธอเดินตรงเข้ามาที่เราแล้วก็ชะงัก ดวงตาฉายแววฉงน เมื่อแลเห็นม้วนกระดาษชิ้นเล็กที่มุมปากเรา เธอเหลียวมองไปรอบๆ จากนั้นจึงรีบหยิบมันออกไปอย่างรวดเร็วและค่อยๆ คลี่ม้วนกระดาษนั้นออกช้าๆ
ดูเหมือนเธอจะกลั้นหายใจขณะที่ทอดสายตาไปตามตัวหนังสือตั้งแต่บรรทัดแรกจนถึงบรรทัดสุดท้าย เราเห็นริมฝีปากเธอสั่นและแย้มออกน้อยๆ แต่ยังไม่ทันจะสังเกตอะไรมากไปกว่านี้ เราก็รู้สึกใจหายแทนเธอ นายเดินลงบันไดมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เขามองลงมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ตาเป็นประกายระยับ เธอของเรายังยืนนิ่งมองข้อความในกระดาษกลับไปกลับมา สีหน้านายเข้มขึ้นขณะเดินออกมาตรงทางออกและเลี้ยวเข้ามาหยุดยืนไม่ห่างจากเธอนักพร้อมกับเอ่ยขึ้นเบาๆ
“ผมไม่ดีเอง ลงมาเร็วไปหน่อย ขอโทษนะครับ”
แล้วนายก็ยิ้มให้เธอ เหมือน... อะไรล่ะ เหมือนดวงตะวันฉายแสงให้ดอกไม้ คล้ายๆ อย่างนั้น เราเห็นดวงตาโตของเธอโตขึ้นอีกเมื่อหันมามองคนที่ยืนพูดอยู่ใกล้ๆ เธอยกมือปิดปาก หน้าเป็นสีเข้มเช่นเดียวกับนาย ไม่ได้ยิ้ม... แต่เธอหัวเราะ และนายก็หัวเราะด้วย
เหมือนกับเป็นยามเช้าที่อากาศดี แสงแดดสดใส และฟ้าดูงามกระจ่างกว่าทุกวัน
เราอยากจะเปิดปากหัวเราะบ้างจังเลย
...................
(2533)
ขอขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่านค่ะ