สวัสดีค่ะ เราเชื่อว่าทุคนคงเคยรู้จัก เคยได้ยิน หรือแม้กระทั่งเคยไป “อัมพวา” กันมาแล้ว
แต่การรีวิวของเราในครั้งนี้ เราอยากนำเสนอ “อัมพวา” ในอีกมุมมองหนึ่ง มุมมองที่นอกเหนือจากแค่นึกถึงหิ่งห้อย หรือแค่ตลาดน้ำทั่วไป
เพราะเราจะนำความทรงจำมาเสนอไปพร้อมกับความประทับใจที่เรามีต่อสถานที่นี้

เริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ55555
.
.
.
.


เราวางแผนว่าจะไปค้าง1คืนในคืนวันศุกร์เพราะคนไม่เยอะมากเหมาะกับการนั่งชมหิ่งห้อย แล้วกลับวันเสาร์ตอนเย็นเพราะเดินตลาดต้องเลือกวันที่คนครึกครื้นถึงจะสนุกค่ะ
เราเริ่มเดินทางตั้งแต่ตอนบ่าย3 ไปถึงที่นั่นตอนประมาณ 5โมงกว่า เพราะรถติดนิดหน่อย (อย่าลืมเผื่อเวลาให้วันศุกร์นะคะ)

เนื่องจากไปถึงที่นั่นตอนเย็นแล้ว บรรยากาศโพล้เพล้ของอัมพวา ก็เป็นอีกฟิลนึงที่ดูสบายๆ ไม่วุ่นวาย สงบแต่ไม่ถึงกับสงัด





โดยส่วนตัวเราชอบอัมพวาตอนเย็นวันศุกร์มาก เราลองถามแม่ค้าแถวนั้นเขาบอกว่า ปกติคนจะมาถึงเย็นวันศุกร์อย่างเราแล้วเข้าที่พักก่อนแล้ววันเสาร์ค่อยมาตลาด



ดังนั้นเราอยากแนะนำใครที่อยากมาเดินชิลๆ หรือ ฟังดนตรีสดริมคลอง

หลังจากเดินเล่นมาสักพักเราก็ไปเหมาเรือชมหิ่งห้อยและขอต่อราคาเป็นที่เรียบร้อย ทุกเจ้าจะหมดรอบที่2ทุ่ม ราคา600บาท แต่เราไปเจอเจ้านึงขอเขาดึกสุด3ทุ่ม 500บาท (เจ้านี้อยู่ตรงท่าเรือเทศบาลนะ555 ป้ากับลุงน่ารักและใจดีมาก)

ก่อนที่เราจะไปชมหิ่งห้อยกัน เราก็ต้องหาอะไรลองท้องกัน









นี่คือร้านไอติมร้านนึงที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว แต่เรายังอยากจะแนะนำให้ทุกคนได้ไปลองนะ เป็นร้านที่มีไอติมรสชาตืแปลกๆเยอะมาก อาทิ กะท้อนน้ำปลาหวาน, งาดำโอริโอ้, มันม่วง, ส้มยูสุ, สายไหม  ฯลฯ ในภาพคือสายไหมกับส้มยูสุของเพื่อนเรา อร่อยยย ส่วนของเราเรากิน โอริโอ้งาดำกับมันม่วง ได้เยอะมาก และอร่อยมากกกกกกก ชอบโอริโอ้งาดำมาก อยากให้ลอง ที่สำคัญพี่คนขายน่ารักมาก มี servive mind ประทับใจมากค่ะ


เราเริ่มเดินทางไปดูหิ่งห้อยแล้ว เราอยากรู้มากว่าเป็นสายไฟจริงไหมและเราก็คิดว่ามันต้องไฟหยดน้ำแน่ๆ เราไม่สามารถเก็บรูปมาได้เพราะถ่ายไม่เห็น แต่เรายืนยันเลยว่ามันคือหิ่งห้อยจริงๆ ลุงที่ขับเรือเปิดไฟสีแดงล่อมันมาบนเรือ ตอนหิ่งห้อยค่อยบินเข้ามา เหมือนภาพในหนังมาก มันเหมือนเป็น cgอะ มันน่ารักมาก เห็นแล้วรู้สึกเราลอยได้55555 ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร แล้วหิ่งห้อยก็บินมาเกาะที่มือ อยากขโมยกลับบ้านมาก แต่สงสารมันเดี๋ยวมันงง

หลังจากชมหิ่งห้อยเรียบร้อยก็กลับที่พักกัน เตรียมตื่นเช้ามาใส่บาตร

05:00น. เราก็เริ่มปลุกเพื่อนๆ ลุกไปใส่บาตร โชคดีที่ที่พักเราห่างจากตลาดแค่ประมาณ200เมตร พวกเราก็เดินไปง่วงไป แต่พอไปถึงสิ่งที่เราเห็นตรงหน้ามันคุ้มค่ามาก มันคือบรรยากาศยามเช้าที่ตลดน้ำโบราณ ชาวบ้านออกมาใส่บาตร กับพระสงฆ์ที่พายเรือมา ผนวกกับสภาพอากาศในวันนั้นที่เป็นใจ ตอนนั้นเรารู้สึกปลอดโปล่งมาก หลังจากใส่บาตรเสร็จ เรากับเพื่อนเลยตัดสินใจอยู่เงียบๆ ต่างคนต่างเก็บรูปและซึมซับบรรยากาศตรงนั้น











หลังจากนั้นเราก็กลับมาทานอาหารเช้า อาบน้ำ เก็บข้าวเก็บของเตรียม check out และเตรียมไปตลาดอีกครั้ง

ในวันเสาร์ตลาดน้ำอัมพวาแตกต่างไปจริงๆ ผู้คนเริ่มหลั่งใหล บรรยากาศคึกคัก คราวนี้ก็ทำให้เก็บประสบการณ์ได้อีกฟิลนึง

















อาหารต้อนกลางวันก็มีมากขึ้น








พอทานเสร็จเรียบร้อยเราก็จองเรือเจ้าเดิมเตรียมไปไหว้พระ




วัดที่ไปคือวัดดังย่านนั้น วัดบางกะพ้อม หลวงพ่อคง ใครที่มาอัมพวาแล้วไม่ไปแปลว่ายังไปไม่ถึงนะคะ







หลังจากนั้นพวกเราก็แทบจะหมดแรง และเราก็เดินทางกลับจากอัมพวา

สิ่งที่เราได้จากทริปนี้คือ ความอบอุ่นจากสิ่งรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นคน หรือธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้ทำให้เรารู้สึกว่าที่อัมพวาคือที่เที่ยวที่หนึ่งที่ไม่ได้หวือหวาอะไร ความสุขจากทริปนี้ไม่ได้เกิดจากการจ่ายเงินมากมายแลกกับที่พักดีๆ หรืออาหารเลิศรส แต่มันคือความสบายกายและสบายใจ ที่จะใช้งบประมาณน้อยนิดซื้อความสุขเล็กน้อยให้กับตัวเราเอง และแม่ค้าพ่อค้าแถวนั้น ทุกๆคนขายของ และบริการกันด้วยใจ ดังนั้นเราถึงได้ความประทับใจที่มีต่อตลาดน้ำอัมพวากลับมา