หลงเสน่ห์มุมที่แตกต่าง”ตลาดน้ำอัมพวา”ในวันที่ไม่ท่องเที่ยว วิถีและอาหารแบบชาวบ้าน


ตลาดน้ำอัมพวา เป็นตลาดน้ำในจังหวัดสมุทรสงคราม ตั้งอยู่ใกล้วัดอัมพวันเจติยาราม เป็นตลาดน้ำที่มีมาแต่โบราณนับร้อยปี 
และก็ทรุดโทรมจนเลิกไป ต่อมาเทศบาลตำบลอัมพวาได้ฟื้นฟูตลาดน้ำขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเป็นจุดขายในสมัยก่อน 
จนเป็นเรื่องขบขันว่าทำให้คนต่างชาติบางคนเข้าใจผิดว่าประเทศไทยสัญจรทางน้ำเป็นหลัก ค้าขายและใช้ชีวิตกันในน้ำ 
โดยปกติแล้วตลาดจะเปิดทำการในวันศุกร์ เสาร์และอาทิตย์ โดยมีร้านต่าง ๆ ที่เปิดขายเรียงรายอยู่ทั้งสองฝั่งคลอง 
เช่น อาหารหรือขนมบางอย่าง สินค้าที่ระลึกในรูปแบบย้อนยุค มีบริการล่องเรือชมวิว ชมชีวิตริมคลองอัมพวา และสถานที่สำคัญต่าง ๆ
ล่องเรือดูหิ่งห้อยส่องแสงรายรอบต้นลำพู หิ่งห้อยจริงหรือหลอดไฟก็ไม่แน่ใจ แต่โซนบางคณฑียังหิ่งห้อยแท้ๆอยู่
ถึงกระนั้นเนื่องจากความพัฒนาจึงทำให้หิ่งห้อยเริ่มหายไป ปัญหาตามมาเพียบ เช่น ตลิ่งทรุด ขยะเละ จัดการไม่ดีพอ รถติด
รูปแบบสถาปัตยกรรมผิดเพี้ยน การรุกคืบจากนายทุน จนถึงวิถีชุมชนดั้งเดิมจะหายลับ
จึงได้มีโครงการอัมพวา-ชัยพัฒนานุรักษ์ (มูลนิธิชัยพัฒนา) เข้ามาช่วยดูแลให้เดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่แค่วาระฉาบฉวย

ต้องยอมรับความจริงก่อนว่า ผมเคยมาที่ตลาดน้ำอัมพวาหลายครั้ง ทั้งมาเอง พาเพื่อนต่างชาติมาเที่ยว กลับไม่ประทับใจสักครั้ง 
คนเยอะ แออัด วุ่นวาย ร้อน อาหารก็หาได้ทั่วๆไป บ้านผมอยู่บางลำพู ก็มีทุกสิ่งที่อัมพวามี ไม่เห็นจำเป็นต้องเดินทางมา 
แต่...มีครั้งหนึ่งผมไปอัมพวาเพียงเพื่อต่อเรือไปนอนบ้านเพื่อนอยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง กลับจำบรรยากาศครั้งนั้นได้ดี 
วิถีมันช่างเรียบง่าย กลางวันก็นอนบนเรือน นั่งตกกุ้งบ้างพอสนุก รอเรือชาวบ้านพายมาขายของ 
เช่น ก๋วยเตี๋ยว ขนมถังแตก ไอศครีมกะทิ ความทรงจำนั้นยังชัดเจน 

วันนี้ผมเลยเลือกที่จะมานอนอัมพวา ในวันที่คนไม่ท่องเที่ยว วันที่ไร้คน วันที่ว่างเปล่า 
อัมพวาในวันที่พิษโควิดออกฤทธิ์ แม้ปัจจุบันนักท่องเที่ยวยังกลับมาไม่ถึง 80% ด้วยซ้ำ แถมผมยังเลือกไปวันธรรมดาอีกด้วย 
จะเป็นอย่างไรตามมาดูกันครับ ผมเลือกวันไปพัก คือ พฤหัสบดี – เสาร์ โดยกันเหนียวเผื่อเบื่อเอาไว้ด้วย 
วันพฤหัส เช็คอิน บ่ายสอง จนถึงวันศุกร์เย็น คิดว่าน่าจะไม่มีนักท่องเที่ยวเลย 
เผื่อแก้เหงาไว้ศุกร์เย็นกับกลางวันวันเสาร์ ที่น่าจะคึกคักบ้าง แต่ยังไม่มาก เพราะคาดว่าออกจากอัมพวาบ่ายสอง 
คนน่าจะแน่นแถวๆเที่ยง ยังทันอยู่ครับ 
เริ่มจากที่พัก ผมเลือกที่จะพักที่ ริม พรีเมี่ยมโฮมสเตย์ RIM Premium Homestay by RoomQuest ที่นี่มี 3 ห้องนอน 
ราคาเมื่อเทียบดูกับรายอื่นใกล้เคียงก็นับว่าสูงพอสมควรครับ แต่ข้อดี คือ อยู่ใจกลางตลาดน้ำอัมพวาเลย 0 เมตรของจริง 
เดินเข้ามาจากใต้สะพานตรงวัดอัมพวัน เข้าปุ๊บเจอปั๊บ เข้าปั๊บเจอปุ๊บ เผื่อหาของกินไม่ได้ยังเข้าง่ายออกง่าย ตัวที่พักสงบเงียบ 
เป็นส่วนตัว อยู่บนเรือนไม้ ห้องขนาดไม่ใหญ่ ไม่เล็ก วิวดี โดยรวมจัดว่าดีครับ ที่เหลือจุดติ 
คือ ความเรื่องมากของผมล้วนๆ เช่น เตียงนุ่มไป มุมแอร์จ่อไป กระจกเป็นแบบฝ้า ไม่ใส ถามว่าเป็นปัญหามั้ย ก็ไม่ ผมเรื่องมากเองล้วนๆ 555 



พอเข้าที่พักเก็บกระเป๋าแล้วก็เดินสำรวจ เงียบสงบ นี่แหละใช่เลย เดินไปเดินมาเจอก๋วยเตี๋ยวชามละ 20-30 บาท 
ขายยังไงราคานี้ ว่าแล้วอย่าให้เสียศรัทธา จัดมาสองชามด่วนๆ เกี๊ยวกรอบฟรี จะเป็นก๋วยเตี๋ยวแบบที่โรยกุ้งแห้ง มีหมูแดง หมูสับ ฮือก๊วย 
จะเรียกแนวโบราณก็ไม่เขินนะครับ รสชาติดี ผมไม่ปรุงเพิ่ม นั่งกินเตี๋ยวไปดูเรือเข้าออกไป เพลินดี ใกล้น้ำกว่านี้ก็ต้องลงไปกินในน้ำละครับ


ตกเย็นเพื่อนผมมารับพาไปกินร้านเด็ดในตำนานที่วัดช่องลม ข้าวแห้งเรือตาเจ๊กแม่กลอง 
ตามประวัติเค้าว่า “ตาเจ๊ก” เป็นชาวบ้าน ต.คลองเขิน อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม กล่าวว่า เริ่มขายข้าวต้มเครื่องไก่ เป็ด และปลา 
ขายทางเรือมากว่า 50 ปี สมัยก่อนช่วยพ่อพายเรือออกเร่ขายไปตามสองฝั่งคลองแม่กลอง ตั้งแต่ท่าน้ำบ้านตัวเอง
แวะตามท่าน้ำบ้านลูกค้าเจ้าประจำที่จะรู้เวลาและได้ยินเสียงตะโกนร้องขายข้าวต้ม
จนไปถึงบริเวณท่าน้ำวัดเพชรสมุทรวรวิหาร ตลาดแม่กลอง สมัยนั้นขายเพียง จากนั้นพ่อก็ได้หยุดขายไปเนื่องจากอายุที่มากขึ้น

ต่อมาตาเจ๊กกลับมาขายข้าวต้มเครื่องอีกครั้ง เมื่อปี 2542 ใช้สูตรเดิม โดยใส่เรืออีป๊าบติดเครื่องยนต์วิ่งตามคลองแม่กลอง
มาจอดขายที่ท่าน้ำศาลาหน้าวัดเพชรสมุทรวรวิหาร ตลาดแม่กลอง แต่ในปี 2562 ศาลาท่าน้ำซึ่งมีสภาพชำรุดทรุดโทรมตามกาลเวลา
ได้พังถล่มลงแม่น้ำแม่กลองทั้งหลัง ทำให้ไม่มีที่ขายจึงหยุดขายประมาณ 1 เดือน
จนได้ที่ขายใหม่บริเวณท่าน้ำริมแม่น้ำแม่กลองหน้าวัดช่องลม ตำบลบ้านปรก อำเภอเมืองสมุทรสงคราม
โดยได้รับความอนุเคราะห์จากเจ้าอาวาสให้ยกเรือขึ้นมาตั้งบนฝั่งแล้วนั่งขายในเรือ
พร้อมตั้งโต๊ะเก้าอี้นั่งในศาลาริมน้ำและยังขายชามละ 20 บาทเท่าเดิม ปัจจุบันมีลูกค้าทั้งขาจรและขาประจำ มาอุดหนุนกันเป็นจำนวนมาก
ยืนเข้าคิวรอใจร่มๆ ตาเจ๊ก เล่าว่า ทุกวันนี้ยังคงต้องตื่นตีห้า เพื่อออกไปจ่ายตลาด ซื้อวัตถุดิบมาทำเครื่องปรุงทั้งข้าวต้มเป็ด ข้าวต้มไก่ ข้าวต้มปลา
เตรียมขายให้ได้วันละประมาณ 450 ชาม เมื่อทำเสร็จ ตาเจ๊ก ก็จะนำใส่รถปิกอัพออกจากบ้านไปถึงที่บริเวณท่าน้ำวัดช่องลม ประมาณ 15.30 น.
ของทุกวัน ซึ่งบรรยากาศจะชาวบ้านเป็นกันเอง มีโต๊ะเก้าอี้นั่งกินริมน้ำแม่น้ำแม่กลอง

ตอนผมไปถึงบ่ายสี่โมงหน่อยๆ ปลาโทงเทงจะหมดแล้ว เหลือไก่ ข้อไก่ เครื่องในเป็ด
โดยมากจะปิดจ็อบจะขายหมดกลับบ้านก่อนหกโมงเย็นทุกวัน เท่าที่ได้ลองชิม 
ข้าวแห้งปลาโทงเทง เนื้อนุ่มหอมคล้ายปลาอินทรีย์ ไร้คาว ข้าวสวยปกติเลยไม่มีอะไรพิศดาร 
ข้าวสวย แตงกวา ผักโรย กระเทียมเจียว พริกไทยขาว ง่ายๆ แต่รู้เรื่อง 

ข้าวแห้งเป็ด เท่าที่เจอ มีกึ๋น หัวใจ เลือด นุ่มเนียนหนึบ ไม่เหนียว เคี้ยวง่าย ราดบนข้าวสวย แตงกวา ผักโรย 
กระเทียมเจียว พริกไทยขาว ง่ายๆ แต่อร่อย


ข้าวต้มไก่ ไม่เอาข้อ เนื้อไก้นุ่มหอมตุ๋นมาแบบมีรสเค็มอ่อน ข้าวต้มนุ่มร้อนจัด รสชาติกินง่ายๆ ตบพริกไทยถึงๆ แค่นี้เอง


ตื่นมาเช้าวันใหม่ ที่พักจัดเตรียมชุดอาหารเช้าให้ กินเสร็จก็เดินเล่นในตลาดน้ำครับ ไม่มีคน เดินสบาย ร้านเปิดประปราย 
โคตรมีความสุขครับ เดินไปจิบกาแฟพอเพลินๆ


กลางวันถ้าขี้เกียจออก ผมแจ้งพี่ที่ดูแลที่พักไว้ มีเรือท้องถิ่นมาขายของพี่เรียกผมด้วยนะครับ กลางวันก็นอนรอกินอยู่ในห้องนี่แหละครับ 
ซื้อเสร็จก็หิ้วขึ้นมากินบนห้อง พี่เค้าก็เอาจานชามช้อส้อมมาให้ วันนี้ได้เรือลุงต่าย 


บ๊ะจ่างลูกละ 30 เครื่องแน่นๆ แถมอร่อยมาก กุ้งแห้งแทรกทุกอณู มาทุกคำ รสชาติเค็มอ่อนอมหวานจากกุนเชียงที่เยิ้มมา 
ถ้าไม่เห็นราคาให้กินแล้วหยอดตังค์ผมวางร้อยนึงไม่เสียดายครับ โคตรอร่อย 

ส่วนขนมใส่ไส้ไม่ทันครับ ลูกค้าคนก่อนหน้าเอาไปสองพวง เหลือขนมสายบัวลุงต่ายบอกเหมือนขนมกล้วย 
ผมเลยเอาพวงเดียว 20 บาท ก็แปลกดี หนึบๆ แต่ไม่ว๊าวครับ ยังตกใจกับความอร่อยและคุ้มค่าของบ๊ะจ่างยังไม่หาย

ถึงเย็นค่ำ ก็ออกมาเดินตลาดบกตรงตีนสะพานตลาดน้ำอัมพวานั่นแหละครับ มีของกินเยอะอยู่ ตั้งแต่ตีนสะพานยาวไปยัน สภ.อัมพวา 
เดินสบายๆได้แวะกินข้าวแกงคุณหมู เสียดายมาไม่ทันแกงเผ็ดเป็ดย่าง เลยเอาแค่ข้าวราดแกงแพนงหมูกับไข่เจียว 
รสชาติดีมาก เค็ม ไม่หวาน แพนงต้องรสนี้แหละ แต่เจ้านี้ไม่ใส่ถั่วนะครับ บ้านผมจะใช้ถั่ว 2 แบบ ละเอียด กับ หยาบ 
ละเอียดใส่ก่อน หยาบใส่ปิดท้ายหลังปรุงรส




เช้าวันสุดท้ายก่อนกลับ กทม. ที่พักเตรียมข้าวต้มหมูไว้ให้ครับ ผมไม่ได้ถ่ายนะ ตัดมาที่กาแฟเลย 
ร้าน 83 KOF หรือ กาญจนพาณิชย์ 83 ผมเลือกชิม 2 แก้ว 
ตัวแรกเปิดปุ่มรับรสก่อนด้วย Caribbean Blend ผสมกันด้วย คอสตาริก้า เอธิโอเปีย ปานามา เปรี้ยวชัดสดชื่น 
โน๊ตออกแนว ส้มเขียวหวาน+เชอรี่ พริ้วๆเลย บอดี้กลางๆ สู้อากาศร้อนสบายๆ อาฟเตอร์เทสต์หวานเจี๊ยบบบบบบ ของเค้าโคตรดีเลยครับ 


ต่อแก้วที่สองบ้าง 83 Blend ตัวนี้เข้าใจว่าเป้นเมล็ดไทยนะครับ เบลนด์ออกมาได้นุ่ม เนียน บอดี้กลางๆ ไม่หนัก แต่เนียนกริ๊บเลย 
ซดไปไม่มีติดกระเดือก ลื่นปรื๊ดดดด จิบกาแฟพอครึ้มๆแล้วกลับมาเก็บกระเป๋าเตรียมเช็คเอ้าท์
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่