ตระเวนเดี่ยวเที่ยวเมืองอุตรดิตถ์ เมืองพะเยาต่อเมืองน่าน ตอนที่ 4


                          กลับมารีวิวกระทู้ตระเวนเดี่ยวเที่ยวทั่วไทยกันอีกนะครับ   คราวนี้จะเป็นการเล่าประสบการณ์การท่องเที่ยวในวันที่ 6  ของทริปนี้กันครับ โดยเที่ยวยังสถานที่ท่องเที่ยวในอำเภอเมืองพะเยาและอำเภอดอกคำใต้    สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งยังไม่เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางมากนักในหมู่นักท่องเที่ยว  และบางสถานที่ก็เพิ่งเปิดตัวมาได้ไม่นาน     จังหวัดพะเยาจัดเป็นเมืองรองที่ใครหลาย ๆ คนมักมองผ่านคิดว่าไม่น่าจะมีแหล่งท่องเที่ยวอะไรสวยงามแปลกตา   แต่แท้จริงแล้วทุกจังหวัดล้วนมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวยากที่จะหาสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดอื่นมาทดแทนได้  ด้วยความงามในเสน่ห์ของมันเอง     ดังนั้นกระทู้ในตอนนี้จึงเป็นการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ของจังหวัดพะเยาให้ผู้ชมได้รู้จักกันนะครับ   เผื่อมีโอกาสดีท่านจะได้แวะเวียนกันไปชมบ้างว่าสวยงามดังที่ผมโพสลงกระทู้นี้หรือไม่   

                           ก่อนอื่นมาทำความรู้จักการกำหนดการตระเวนเที่ยวของผมในทริปนี้  จำนวน  8  วันก่อนนะครับ
                           วันแรก    :   เดินทางจากกรุงเทพุฯ - อุตรดิตถ์  และเที่ยวย่านเมืองลับแล
                           วันที่  2   :   เที่ยวอุทยานแห่งชาติน้ำตกชาติตระการ
                           วันที่  3   :   เที่ยวเก็บตกในเมืองอุตรดิตถ์  และนั่งรถต่อไปยังเมืองน่าน
                           วันที่  4   :   เที่ยวย่านอำเภอปัว  และอำเภอท่าวังผา
                           วันที่  5   :   เที่ยวชมทะเลหมอกภูลังกา  และเที่ยวย่านอำเภอเชียงคำ
                           วันที่  6   :   เที่ยวย่านเมืองพะเยา  และอำเภอดอกคำใต้
                           วันที่  7   :   เที่ยวย่านอำเภอเชียงม่วน  และเที่ยวยามค่ำคืนในเมืองน่าน
                           วันที่  8   :   เที่ยวเก็บตกในเมืองน่าน  และเดินทางกลับกรุงเทพฯ

วันที่  6   :   เที่ยวย่านเมืองพะเยา และอำเภอดอกคำใต้
      
                            วันนี้ออกจากโรงแรมที่พักสายหน่อยเพราะเห็นว่าสถานที่เที่ยวในวันนี้กระจุกตัวอยู่ใกล้กันในย่านตัวเมืองพะเยา   ที่แรกที่ผมขี่รถไปชมก็คือ   วัดศรีอุโมงค์คำ    ที่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่พักมากนัก    เมื่อวานตอนมืดขี่รถจักรยานผ่านเห็นแวบ ๆ ในความมืดระหว่างทางไปเที่ยวถนนคนเดินเมืองพะเยา


                             จอดรถไว้ริมถนนเดินขึ้นบันไดวัดไปได้เลย   วัดนี้มีเจดีย์ทรงกลมแบบล้านนาสีทองโดดเด่นตั้งเป็นสง่าอยู่หน้าวิหาร   


                               ระหว่างบันไดทางขึ้นเราจะเห็นวิหารน้อยประดิษฐานอยู่ข้างกำแพงของวัด   ตรงราวบันไดทำเป็นรูปสัตว์ประหลาดกำลังกินหางพญานาคอยู่


                               บริเวณโดยรอบวิหารมีซุ้มปรเะดิษฐานใบเสมาทำเป็นซุ้มนาคพันตามแบบหน้าบันของวิหารของวัดในภาคเหนือ



                               ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปประธานที่สร้างตามศิลปะล้านนา   พระพุทธรูปที่วัดนี้สียังทองอร่ามอยู่  แม้แต่ตัววิหารและอาคารประกอบต่าง ๆ ก็มีสีสดสวยงามอยู่เสมอ    เท่าที่ผมสังเกตจากการเที่ยววัดต่าง ๆ ในทริปนี้   จะเห็นว่าชาวบ้านและช่างของวัดในภาคเหนือจะพยายามเอาใจใส่ดูแลซ่อมแซมทาสีตกแต่งให้ศาสนสถาน และศิลปวัตถุของวัดดูสวยงามใหม่อยู่เสมอ   โดยเฉพาะวัดในอำเภอปัว  จังหวัดน่านและอำเภอเมือง
จังหวัดพะเยา


                                เสร็จจากการเที่ยวชมวัดศรีอุโมงค์คำแล้ว   ผมก็ขี่รถไปเที่ยวนอกเมืองพะเยา   เพราะบริเวณสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ริมกว๊านพะเยาอย่างวัดติโลกอารามที่ตอนแรกที่ไปชมต่อดันเข้าไปไม่ได้   เพราะมีทหารตำรวจนำแผงเหล็กกั้นทางไม่ให้รถราสัญจรผ่านถนนริมกว๊านพะเยาได้   เนื่องจากช่วงสายนายกรัฐมนตรีท่านจะมาพูดปราศรัยและเยี่ยมชมงานที่จังหวัดพะเยานี้     ผมเลยขี่รถไปชม  วัดป่าแดงบุญนาค   เป็นที่ต่อไปแทน


                                 วัดป่าแดงบุญนาคเป็นวัดที่ตั้งอยู่นอกเมืองทางตะวันออกของเมืองพะเยา    เป็นโบราณสถานอันเก่าแก่ของเมืองพะเยา   สันนิษฐานว่าวัดนี้น่าจะสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอาณาจักรภูกามยาว  น่าจะมีอายุราว  700 - 800  ปีได้    โดยโบราณสถานที่สำคัญของวัดป่าแดงบุญนาคก็คือ  เจดีย์ทรงกลมแบบล้านนา   


                                  แต่ตอนที่ผมไปชมเจดีย์เก่าของวัดนี้   ผมก็ไม่ทราบว่ามันตั้งอยู่ตรงไหนของวัด   เห็นแต่เจดีย์สีทองที่ยังดูใหม่เอี่ยมอยู่ข้างวิหาร  ไม่แน่ใจว่าใช่เจดีย์เก่าของวัดที่ผ่านการบูรณะปฏิสังขรณ์มาหรือไม่    เพราะรูปแบบของเจดีย์องค์นี้เป็นเจดีย์ทรงกลมบนฐานสูงที่มีฐานล่างทำเป็นสี่เหลี่ยมย่อเก็จ   ต่อด้วยฐานที่ผังแปดเหลี่ยมย่อเก็จที่รองรับองค์ระฆังของเจดีย์    พิจารณาดูแล้วยังไง ๆ รูปแบบนี้ก็น่าจะเป็นศิลปะล้านนาสมัยหลัง ๆ แล้วนะครับ


                                   ต่อจากวัดป่าแดงบุญนาคผมขี่รถต่อไปทางเดียวกับที่ไปอำเภอแม่ใจ   เพื่อไปชม  จุดชมวิวผาหัวเรือของบ่อสิบสอง  ที่อยู่ห่างจากที่นี่ไปเพียง  7  กิโลเมตรเท่านั้น     ถนนสายนี้เป็นถนนหลักที่ราดยางอย่างดี   รถราสัญจรไปมาน้อยทำให้เราสามารถขับขี่ได้สบายฉิ๋วมากขึ้น


                                    ขี่รถตามถนนขึ้นเนินลงเนินได้สักพักก็จะเจอกับป้ายสีเขียวทางขวาของถนนบอกทางแยกเข้าไปบ่อสิบสอง   ระยะทางจากทางแยกของถนนหลักเข้าไปยังป้อมตรวจของบ่อสิบสองอยู่ที่  3 - 4  กิโลเมตรได้เป็นถนนราดยางขับขี่รถสบายครับ


                                ขี่รถเข้ามาสุดทางจะเจอกับป้อมตรวจทางซ้ายมือ   ซึ่งจุดนี้ถ้าเราเอารถบัสหรือรถยนต์มาจะต้องจอดตรงลานจอดรถตรงนี้  เพราะกฎของที่นี่เข้าห้ามนำรถยนต์หรือรถบัสส่วนตัวขับเข้าไปถึงบ่อสิบสองนะครับ   หน้าตาป้อมตรวจก็จะเป็นดังภาพด้านล่างนี้   ในจุดนี้เราจะต้องเสียค่าเข้าชมคนละ  30  บาทนะครับ   แต่ถ้าใครขี่รถมอเตอร์ไซค์มาเหมือนผมก็สามารถขี่รถเข้าไปถึงบ่อสิบสองไหด้เลยครับ   เขาไม่เก็บเงินค่ารถเพิ่มอีก


                                 จากป้อมตรวจตรงนี้จะมีถนนดินทรายสลับกรวดหินระยะทาง  2  กิโลเมตรผ่านป่าเต็งรังเข้าไปยังบ่อสิบสองและจุดชมวิวผาหัวเรือ   หากใครนำรถยนต์หรือรถบัสมาก็จะต้องเดินเท้าเข้าไปนะครับ  หรือจะจ้างรถปิกอัพของเจ้าหน้าที่ให้พาไปส่งที่บ่อสิบสองก็ได้   รู้สึกเขาจะเก็บค่าบริการ  50  บาทต่อคนนะครับ    ถ้าต้องการใช้บริการก็ติดต่อเบอร์โทรศัพท์นี้ได้เลยเผื่อไปแล้วไปเจอเจ้าหน้าที่อยู่ประจำป้อมตรวจจะได้ติดต่อได้ครับ

   

                                   ที่นี่เริ่มเปิดให้เข้าชมได้ตั้งแต่เวลาตี  5  นะครับเผื่อใครอยากมาชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น และปิดให้เข้าชมราว  5  โมงครึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการมาชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหัวเรือของบ่อสิบสอง


                                    ผมขี่รถมอเตอร์ไซค์มาเที่ยวชอบที่นี่จึงสบายสามารถขี่รถลัดเลาะตามทางเข้าไปถึงบ่อสิบสองได้เลย   แต่ก็ต้องขี่รถช้า ๆ ครับเพราะสภาพถนนเป็นทรายและมีก้อนหินใหญ่น้อยขวางตามทางตลอด   บางจุดยังไม่ร่องหรือหลุมเพราะน้ำหนักของรถที่ขับผ่านจนสึก

                                    ขี่มาสุดทางจะมีลานจอดรถบริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอยู่  2  แห่ง   ลานข้างบนเป็นลานจอดรถ 1  อยู่ด้านขวาของศูนย์บริกานักท่องเที่ยวมีห้องสุขาให้บริการพร้อมและมีจุดกางเต้นท์อยู่ตรงนั้น   ส่วนลานจอดรถ 2  จะเป็นลานจอดรถด้านล่างที่เราจะมาถึงก่อนและอยู่ติดกับบ่อสิบสองและทางเดินเท้าขึ้นจุดชมวิวผาหัวเรือด้วยครับ   ซึ่งจุดนี้รถปิกอัพที่พานักท่องเที่ยวมาส่งก็จะส่งที่ลานจอดรถตรงนี้


                                      จากลานจอดรถ 2  เดินไปข้าง ๆ จะเห็นลานหินขนาดใหญ่ตรงนั้นก็คือ  บ่อสิบสอง   ลักษณะของบ่อสิบสองเป็นหลุมหรือแอ่งลึกบนลานหินที่มีน้ำขังอยู่ในแอ่ง  


                                       เกิดจากการที่หินทรายถูกกรวดทรายและน้ำถูกัดเซาะบ่อย ๆ นานวันเข้าก็เกิดกลายเป็นแอ่งหรือหลุมลึกบนลานหิน   ระยะเวลาการเกิดของแอ่งเหล่านี้ก็อยู่ราว ๆ  แสนปีได้   ปรากฏการณ์เช่นนี้ทางภูมิศาสตร์เขาเรียกว่า  "กุมภลักษณ์"   ซึ่งจะเกิดในโครงสร้างหินทรายเท่านั้น    สถานที่ท่องเที่ยวดัง ๆ ที่เป็นกุมภลักษณ์ในบ้านเราก็อย่างเช่น   สามพันโบกของจังหวัดอุบลราชธานีนั่นเอง   ปรากฏการณ์นี้จะพบมากในภาคอีสานเพราะมีภูเขาหินทรายมากกว่าภาคอื่นของประเทศไทย

                                        แอ่งหรือหลุมบนลานหินนี้มีจำนวนนับได้  12  บ่อ  จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า  "บ่อสิบสอง"  นั่นเอง
จากบ่อสิบสองจะมีทางเดินเท้าตามที่ปูด้วยกรวดหินขึ้นไประยะทาง  600  เมตรได้  เป็นทางขึ้นเขาสู่จุดชมวิวผาหัวเรือ  

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่