ทุน'จีน-ญี่ปุ่น' ย้ายฐานการผลิตมาไทย : นิกเกอิ เอเชียน รีวิว รายงานว่าโครงการเมืองอัจฉริยะ (สมาร์ทซิตี้) ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี ประเทศไทย จะเป็นโครงการแรกของความร่วมมือโครงการลงทุนพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานในประเทศที่ 3 ร่วมกันระหว่างจีนและญี่ปุ่น ที่มีอยู่ทั้งหมดมากกว่า 50 โครงการ ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างที่นายกรัฐมนตรี ชินโสะ อาเบะ แห่งญี่ปุ่น เยือนจีนเพื่อหารือกับนายกรัฐมนตรี หลี่เค่อเฉียง และประธานาธิบดี สีจิ้นผิง
รายงานระบุว่า เจเอสซีซี บริษัทก่อสร้างของจีน จะเข้าร่วมกับโยโกฮามา เออร์บัน โซลูชั่น อลิอันซ์ (วายยูเอสเอ) และอมตะ คอร์ปอเรชัน ในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร โดยจะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) เพื่อให้เริ่มต้นก่อสร้างได้เร็วที่สุดในปีนี้
ทั้งนี้ วายยูเอสเอจะใช้ความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีสะอาดในการพัฒนาเมืองเข้ามาใช้กับสมาร์ทซิตี้ ขณะที่เจเอสซีซีจะใช้ความเชี่ยวชาญในการผลิตต้นทุนต่ำ ซึ่งทั้งสองฝ่ายมั่นใจว่าการผนึกกำลังกันจะช่วยให้ได้ผลที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ สำนักข่าวเกียวโดรายงานอ้างเอกสารว่า เจเอฟอี เอ็นจีเนียริ่ง บริษัทก่อสร้างญี่ปุ่น จะเตรียมร่วมมือกับบริษัทจีนแห่งหนึ่ง เพื่อเข้ามาพัฒนาโครงการสมาร์ทซิตี้แห่งหนึ่งในประเทศไทย แต่ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม
พิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการ ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและ นำเข้าแห่งประเทศไทย (ธนส.) หรือ เอ็กซิมแบงก์ เปิดเผยว่า นอกจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะทำให้การลงทุนไหลเข้ามาในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่อื่นๆ แล้ว หากสหรัฐประกาศสงครามการค้ากับชาติอื่นๆ อีกตามที่ได้ประกาศจะลดขาดดุลการค้ากับประเทศที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐมากอย่างญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐสูงเป็นอันดับ 3 ก็จะทำให้ทุนญี่ปุ่นไหลออกมาลงทุนต่างชาติเพิ่มเช่นกัน
ทั้งนี้ นับตั้งแต่สนธิสัญญา Plaza Accord ในปี 2528 ที่ส่งผลให้เงินเยนแข็งค่าอย่างรวดเร็วจนกระทบต่อการส่งออกของญี่ปุ่น ผู้ประกอบการรายใหญ่สัญชาติญี่ปุ่นต่างมุ่งดำเนินนโยบายย้ายฐานการผลิตออกจากญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ปัจจุบันญี่ปุ่นมีการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศมากเป็นอันดับ 2 ของโลก โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานักลงทุนญี่ปุ่นออกไปลงทุนคิดเป็นมูลค่าสะสมราว 4.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หากสหรัฐใช้มาตรการกีดกันทางการค้ากับญี่ปุ่นก็อาจก่อให้เกิดวิกฤตในภาคส่งออกของญี่ปุ่นครั้งใหม่ เนื่องจากปัจจุบันญี่ปุ่นส่งออกไปสหรัฐมากเป็นอันดับ 1 ด้วยสัดส่วนสูงถึง 20% ของมูลค่าส่งออกรวมของญี่ปุ่น
"เมื่อประกอบกับปัญหาเงินเยนแข็งค่าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาจากการที่เงินเยนถือเป็นแหล่งลงทุนที่ปลอดภัยสวนทางกับค่าเงินสกุลอื่นๆ ทั่วโลกที่มีทิศทางอ่อนค่าลงถ้วนหน้าตามความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าอาจมีการย้ายฐานการผลิตออกจากญี่ปุ่นไปยังประเทศ อื่นๆ อีกระลอกรวมถึงไทย เนื่องจากปัจจุบันไทยเป็นแหล่งลงทุนอันดับ 5 ของนักลงทุนญี่ปุ่นตามหลังสหรัฐ จีน สหราชอาณาจักร และเนเธอร์แลนด์ ซึ่งทุกประเทศข้างต้นล้วนกำลังพัวพันกับสงครามการค้ากับสหรัฐแทบทั้งสิ้น ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้อานิสงส์จากการย้ายฐานดังกล่าว" พิศิษฐ์ กล่าว
Source: Posttoday
ทุน'จีน-ญี่ปุ่น' ย้ายฐานการผลิตมาไทย
ทุน'จีน-ญี่ปุ่น' ย้ายฐานการผลิตมาไทย : นิกเกอิ เอเชียน รีวิว รายงานว่าโครงการเมืองอัจฉริยะ (สมาร์ทซิตี้) ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี ประเทศไทย จะเป็นโครงการแรกของความร่วมมือโครงการลงทุนพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานในประเทศที่ 3 ร่วมกันระหว่างจีนและญี่ปุ่น ที่มีอยู่ทั้งหมดมากกว่า 50 โครงการ ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างที่นายกรัฐมนตรี ชินโสะ อาเบะ แห่งญี่ปุ่น เยือนจีนเพื่อหารือกับนายกรัฐมนตรี หลี่เค่อเฉียง และประธานาธิบดี สีจิ้นผิง
รายงานระบุว่า เจเอสซีซี บริษัทก่อสร้างของจีน จะเข้าร่วมกับโยโกฮามา เออร์บัน โซลูชั่น อลิอันซ์ (วายยูเอสเอ) และอมตะ คอร์ปอเรชัน ในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร โดยจะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) เพื่อให้เริ่มต้นก่อสร้างได้เร็วที่สุดในปีนี้
ทั้งนี้ วายยูเอสเอจะใช้ความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีสะอาดในการพัฒนาเมืองเข้ามาใช้กับสมาร์ทซิตี้ ขณะที่เจเอสซีซีจะใช้ความเชี่ยวชาญในการผลิตต้นทุนต่ำ ซึ่งทั้งสองฝ่ายมั่นใจว่าการผนึกกำลังกันจะช่วยให้ได้ผลที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ สำนักข่าวเกียวโดรายงานอ้างเอกสารว่า เจเอฟอี เอ็นจีเนียริ่ง บริษัทก่อสร้างญี่ปุ่น จะเตรียมร่วมมือกับบริษัทจีนแห่งหนึ่ง เพื่อเข้ามาพัฒนาโครงการสมาร์ทซิตี้แห่งหนึ่งในประเทศไทย แต่ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม
พิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการ ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและ นำเข้าแห่งประเทศไทย (ธนส.) หรือ เอ็กซิมแบงก์ เปิดเผยว่า นอกจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะทำให้การลงทุนไหลเข้ามาในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่อื่นๆ แล้ว หากสหรัฐประกาศสงครามการค้ากับชาติอื่นๆ อีกตามที่ได้ประกาศจะลดขาดดุลการค้ากับประเทศที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐมากอย่างญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐสูงเป็นอันดับ 3 ก็จะทำให้ทุนญี่ปุ่นไหลออกมาลงทุนต่างชาติเพิ่มเช่นกัน
ทั้งนี้ นับตั้งแต่สนธิสัญญา Plaza Accord ในปี 2528 ที่ส่งผลให้เงินเยนแข็งค่าอย่างรวดเร็วจนกระทบต่อการส่งออกของญี่ปุ่น ผู้ประกอบการรายใหญ่สัญชาติญี่ปุ่นต่างมุ่งดำเนินนโยบายย้ายฐานการผลิตออกจากญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ปัจจุบันญี่ปุ่นมีการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศมากเป็นอันดับ 2 ของโลก โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานักลงทุนญี่ปุ่นออกไปลงทุนคิดเป็นมูลค่าสะสมราว 4.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หากสหรัฐใช้มาตรการกีดกันทางการค้ากับญี่ปุ่นก็อาจก่อให้เกิดวิกฤตในภาคส่งออกของญี่ปุ่นครั้งใหม่ เนื่องจากปัจจุบันญี่ปุ่นส่งออกไปสหรัฐมากเป็นอันดับ 1 ด้วยสัดส่วนสูงถึง 20% ของมูลค่าส่งออกรวมของญี่ปุ่น
"เมื่อประกอบกับปัญหาเงินเยนแข็งค่าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาจากการที่เงินเยนถือเป็นแหล่งลงทุนที่ปลอดภัยสวนทางกับค่าเงินสกุลอื่นๆ ทั่วโลกที่มีทิศทางอ่อนค่าลงถ้วนหน้าตามความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าอาจมีการย้ายฐานการผลิตออกจากญี่ปุ่นไปยังประเทศ อื่นๆ อีกระลอกรวมถึงไทย เนื่องจากปัจจุบันไทยเป็นแหล่งลงทุนอันดับ 5 ของนักลงทุนญี่ปุ่นตามหลังสหรัฐ จีน สหราชอาณาจักร และเนเธอร์แลนด์ ซึ่งทุกประเทศข้างต้นล้วนกำลังพัวพันกับสงครามการค้ากับสหรัฐแทบทั้งสิ้น ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้อานิสงส์จากการย้ายฐานดังกล่าว" พิศิษฐ์ กล่าว
Source: Posttoday