.
บทที่ ๕๔ ความจริงปรากฏ
บรรยากาศในห้องพระช่างน่าอึดอัด หน้าต่างปิดหมดทุกบาน แต่ปมคดีทองคำสูญหายเริ่มคลี่คลายออกบ้างแล้ว
ทุกคนกลับมานั่งยังโถงชานกว้างตามพระประสงค์ขององค์หญิงกัณฐิมาศ
สายลมพัดโชยเย็นสบาย แสงแดดอ่อนแรงลงเป็นสัญญาณเตือนว่าเวลาของสำนักบ้านเงินบ้านทองใกล้หมดลงทุกที และนั่นเป็นสิ่งเดียวที่ทุกคนกังวลใจ
สีพระพักตร์องค์หญิงกัณฐิมาศทรงเคร่งเครียดขึ้น เพ่งพระเนตรแวววาวแข็งกล้าไปยังผู้ต้องสงสัยสองคน รับสั่งด้วยพระสุรเสียงก้องกังวานขึ้น
“บุญจัน จุก...เจ้าจะสารภาพออกมาหรือไม่ ว่าเป็นคนลักลอบนำทองออกไปจากห้องพระ”
บุญจันเอาแต่ก้มศีรษะสั่นหน้า มิกล้าประสานสายพระเนตร
“เกล้ากระหม่อมมิรู้สิ่งใดทั้งสิ้น.. ตะกั่วอยู่ดีๆ มาอยู่ในแท่งเทียนได้อย่างไร เกล้ากระหม่อมก็ไม่รู้...”
ส่วนจุกฟุบหน้านิ่งอยู่กับพื้น ดูจากหัวไหล่ที่ขยับขึ้นลงคล้ายกำลังสะอึกสะอื้นเพียงแต่ไม่มีเสียงร้องออกมา
ขุนวังดูอาการคนทั้งสองแล้วพลันทอดถอนใจ คาดว่าต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะเค้นความจริงจากสองคนนี้ได้ จึงกราบทูลขึ้นว่า
“เกล้ากระหม่อมเชื่อว่า ด้วยพระสติปัญญาของพระองค์ คงติดตามทองคำพระราชทานกลับคืนมาได้ในที่สุด.. แต่คดีนี้ประจักษ์แล้วว่าซับซ้อนแยบยลนัก ถ้าพระองค์ทรงต้องการเวลาเพิ่ม เกล้ากระหม่อมจะเข้าเฝ้าองค์พ่อขุน กราบทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตผัดเวลาให้อีกสัก ๒ วัน เพราะอย่างไรตามกฎการประกวด ก็ยังพอมีช่องให้คืนทองคำที่เหลือทั้งหมดภายใน ๓ วันหลังจากการประกวดเสร็จสิ้น พระเจ้าค่ะ”
“ท่านอา...” ขุนกาฬรีบแย้งขึ้น “ทุกอย่างได้ประกาศไปต่อเบื้องพระพักตร์และต่อหน้าชาวเมืองที่มาชุมนุมกันเมื่อวานนี้ ทำเช่นนี้ท่านไม่เกรงว่าจะพลอยเสื่อมเสียพระเกียรติยศขององค์พ่อขุนหรือ”
ขุนวังหันไปมองหน้าผู้แย้งอย่างขัดใจ ขณะคิดจะสรรหาเหตุผลใดยกขึ้นมาโต้กลับ ก็ได้ยินองค์หญิงรับสั่งขึ้นว่า
“ขอบคุณท่านขุนวังที่เมตตา แต่ไม่จำเป็นต้องเลื่อนเวลาออกไปหรอก.. ในเมื่อบุญจันและจุก ไม่ยอมพูดขึ้นมา เราก็จะพูดเอง...”
ทุกคนคล้ายถูกสะกดนิ่ง แม้แต่แสงพรายเองก็นึกไม่ถึงว่าองค์หญิงกัณฐิมาศจะมีพระสติปัญญาและพระบุคคลิกภาพที่เลิศล้ำปานนี้... แตกต่างจาก “องค์หญิง” และ “นางข้าหลวง” ที่ตนเคย “เกี่ยวข้อง” มาอย่างสิ้นเชิง...
“เราเริ่มสงสัยจุกและบุญจันตั้งแต่เย็นวันขึ้น ๒ ค่ำแล้ว หลังจากไปพบแสงพรายที่วัดศรีชุมและเจ้าตัวยืนยันว่าไม่เห็นห่อผ้าคลุมทองหลุดลุ่ยออกมาตอนที่ขึ้นไปบนเรือน ส่วนพิไลถ้าเป็นคนนำทองออกไปก็คงไม่มาบอกเรื่องทองคำที่สูญหายให้เรารู้แน่ แต่อย่างไรเราก็มิได้ตัดประเด็นพิไล คำแปงและคนอื่นๆ ออกเสียทีเดียว...
เราให้ “คนของเรา” แฝงกายไปสืบดูที่บ้านของบุญจัน และพบว่าที่บุญจันลางานออกจากสำนักบ่อย เพราะมารดาป่วยหนักนั้นเป็นเรื่องจริง.. แต่เรื่องที่ตัวมารดาเองมิเคยรับรู้เลย คือการนำธูปเทียนมาบูชาทองคำที่จะหล่อเป็นองค์พระพุทธ ดังนั้นที่บุญจันอ้างว่ามารดาตนขอนำเทียนไขมาบูชาทองจึงไม่มีมูลใด แต่ต้องการใช้เทียนไขเป็นเครื่องมือซุกซ่อนสับเปลี่ยนทองออกไป..และทองคำก็ได้ถูกนำออกไปก่อนวันแรม ๑๕ ค่ำ แล้วค่อยสร้างพยานแวดล้อมชี้นำไปยังแสงพราย...
เริ่มตั้งแต่บุญจันอาสาเข้ามาช่วยแสงพรายพอกดินแบบปั้นองค์พระ ด้วยฝีมือช่างระดับบุญจันการที่จะคิดวิธีแอบใส่สารเข้าไปในเนื้อดินผสมแกลบจนเกิดรอยแยกร้าวขึ้นภายใน จากนั้นค่อยส่งเนื้อดินดีให้แสงพรายพอกทับปิดไว้คงไม่ใช่เรื่องยาก... ทำไมแสงพรายที่ฝีมือช่างเลอเลิศจึงไม่พบตำหนิ แต่บุญจันกลับพบรอยตำหนิ...ก็เพราะเป็นรอยร้าวข้างในและบุญจันรู้ตำแหน่งแล้วฉวยจังหวะคุ้ยปัดผิวด้านนอกออก แสร้งชี้ให้แสงพรายดูในตอนเช้า แม้แสงพรายจะบอกวิธีแก้ไขซึ่งบุญจันก็รู้ว่าเป็นวิธีที่ถูกต้อง แต่ก็ยังยืนกรานจะให้ตามปู่ครูและครูพิธานลงมาจากเรือน เพื่อให้บนเรือนเหลือพิไลเพียงลำพัง...
แล้วจุกก็ขึ้นไปบนชานพักบันได พูดคุยกับพิไลแล้วชักจูงให้นางรีบมอบเสื้อที่นางตัดเย็บให้แสงพราย ทั้งยังบอกด้วยว่าเดี๋ยวแสงพรายจะขึ้นมาบนเรือน.. จุกรู้ได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่ร่วมมือกันกับบุญจันอยู่ก่อน ทำไมคำแปงจึงมิได้เห็นจุก หากมิใช่เพราะจุกเองที่เป็นคนคอยระวังหลบซ่อน แอบดูเหตุการณ์ในโรงช่าง...
บุญจันลงทุนเป็นลูกมือแสงพรายนับว่าเกินคุ้ม รอยตำหนิบนดินพอกแบบองค์พระทำให้แสงพรายต้องขึ้นไปบนเรือน และทำให้บนเรือนเหลือเพียงพิไล... พอพิไลเห็นแสงพรายมา ก็เข้าห้องไปเอาเสื้อออกมา ส่วนแสงพรายต้องไปชะเง้อมองหน้าห้องพระนับแท่งเทียน ตามคำขอของบุญจัน...
คำแปงควรจะเป็นคนเดียวที่ไปทำงานในวันหยุด และคงจะออกไปช่วงสาย ไม่เหมือนคนที่กลับบ้านหรือออกไปเที่ยวกันที่วัดซึ่งออกไปแต่หัวรุ่ง ดังนั้นบุญจันจึงอาสาช่วยงานเป็นลูกมือให้คำแปง เพียงเพื่อให้ “ไม่มีใคร นอกจากแสงพราย” ที่หายออกไปจากสำนัก ในช่วงระหว่างการถวายข้าวพระพุทธและการลาข้าว... ซึ่งความจริงแท่งตะกั่วได้ถูกสับเปลี่ยนกลับเข้ามาอยู่ในแท่งเทียนสิบสองเล่ม แล้วพับกระดาษรองธูปขึ้นเป็นโครงหลอกไว้อยู่ภายใต้ผ้าแพรหุ้ม ตั้งแต่ตอนจุกเข้าไปทำความสะอาดก่อนหน้าแล้ว...”
ทรงเล่าสรุปอย่างยืดยาว ทุกอย่างมีคำตอบชัดเจน...พร้อมหลักฐานแท่งเทียน แท่งตะกั่ว และพฤติกรรมของบุคคลต่างๆ
...เหลือแต่เพียงฉากเหตุการณ์การนำทองออกมาจากห้องพระ
“พิไลช่วยไปหยิบถังน้ำและสิ่งของที่ปกติจุกจะนำเข้าไปเช็ดถูทำความสะอาดในห้องพระมาวางข้างๆ ถาดธูปเทียนนี้... แต่ไม่ต้องนำไม้กวาดและผ้าถูพื้นมา”
“เพคะ” พิไลลุกไปหยิบถังน้ำและผ้าที่ตากไว้ตรงชานนอก
ตอนที่ทุกคนย้ายกลับมานั่งยังโถงชานกว้าง ก็ได้นำหลักฐานทุกอย่างในห้องพระมาวางไว้กับพื้น ตรงหน้าที่นั่งของทุกคน สักครู่ถังที่ใส่ผ้าผืนขนาดกลางและขนาดเล็กรวม ๓ ผืนจึงถูกนำมาวางไว้ใกล้กัน
“พิไลนั่งอยู่ก่อน... นี่คือสิ่งที่จุกนำเข้าไปเวลาทำความสะอาดห้องพระ และอันที่จริงมีทั้งผ้าเปียกชุบน้ำบิดหมาดและผ้าแห้ง.. พิไลหยิบแท่งทองสมมุติและแท่งตะกั่วทั้งหมดใส่เข้าไปในถัง.. เอาผ้าแห้งคลุมปิดไว้.. เจ้าถอยออกไปได้แล้ว” รับสั่งบอกบทพิไลให้กระทำทีละอย่าง
สิ่งที่ทุกคนเห็นคือถังน้ำที่มีผ้าแห้งอยู่ภายใน แต่ไม่เห็นสิ่งของภายในที่ซ่อนอยู่...
“นี่คือเครื่องมืออย่างดี ที่จุกใช้ในการหาจังหวะสับเปลี่ยนของ...”
ย่อมไม่มีใครสงสัยว่าถังเปล่าในมือเด็กชายที่ใส่ผ้าบิดหมาดและผ้าแห้งจะซุกซ่อนความลับสำคัญอยู่ภายใน
“ทองคำหายไปก่อนหน้านั้นหลายวันแล้ว.. รุ่งเช้าวันแรม ๑๕ ค่ำ ตอนที่ปู่ครูไปเปิดห้องพระให้จุกเข้าไปทำความสะอาด ในห่อผ้าแพรมีทองคำจริงเหลืออยู่เพียงแค่ ๕ แท่ง ส่วนอีก ๔ แท่งเป็นแท่งโลหะตะกั่วซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยกระดาษสีทอง ซึ่งทุกคนได้เห็นแล้วว่าแท่งตะกั่วจำนวน ๑๒ แท่งสามารถประกอบขึ้นเป็นทองปลอม ๔ แท่ง ซึ่งถ้าเราเข้าใจไม่ผิด ทองปลอมทั้ง ๔ แท่งคงถูกจัดวางไว้ด้านล่างเพื่อมิให้ปู่ครูสังเกตเห็นยามแก้ห่อผ้าแพรออกตรวจดู...
เมื่อจุกเข้าไปในห้องพระก็นำถาดธูปเทียน และถังใส่ผ้าทำความสะอาดเข้าไป จุกมีเวลามากมายในห้องพระแต่ต้องใช้เวลาให้สั้นที่สุดในการยุ่งเกี่ยวกับห่อทอง... สิ่งที่จุกต้องเตรียมก่อนลงมือคือ นำกระดาษรองธูปเทียนที่ถูกพับแนวไว้แล้ว ขึ้นมาพับประกบเป็นโครงแล้วซ่อนไว้ในถังน้ำ และอาจหาจังหวะสั้นๆ เข้าไปคลายปมห่อทองให้หลวมไว้แต่ไม่แก้ออก..
รอจนบุญจันขึ้นมาบนชานพักบันไดร้องเรียกให้ครูพิธานไปคุยเรื่องขอกลับไปนอนค้างที่บ้านหลังเสร็จช่วยงานแสงพราย นั่นคงเรียกความสนใจของพิไลไปด้วย และบุญจันคงหาจังหวะขึ้นมาเมื่อเห็นชัดว่าปู่ครูนั่งอยู่หน้าห้องนอนของปู่ท่านเหมือนทุกวัน และนี่คือโอกาสของจุกที่จะสับเปลี่ยนแท่งตะกั่วซึ่งห่อด้วยกระดาษสีทองออกจากห่อผ้าแพร จุกอาจชะโงกหน้าออกมาดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่หน้าห้องพระ ทำเหมือนดูว่าใครมาร้องเรียกคนบนเรือน...
จากนั้นจุกก็ใช้เวลาเพียงแค่นับหนึ่งถึงห้า ในการแกะปมห่อทอง เอา “ทองปลอม” ๔ แท่งใส่ไว้ในถัง เอาโครงกระดาษสลับเข้าไปในห่อผ้าแพรทดแทนขนาดของทอง ๔ แท่ง แล้วผูกปมผ้าแพรไว้ดังเดิม.. หลังจากนั้นจุกก็มีเวลามากมาย ในการซุกมือแอบทำสิ่งใดในถังที่มีผ้าพาดอยู่ แม้ใครจะมาเห็นเข้าก็มิรู้ว่าจุกทำอะไร เพราะพื้นห้องพระสูงกว่าพื้นโถงชานกว้าง มองไปก็เห็นแต่ขอบถังน้ำ...
จากนั้นจุกก็แอบฉีกกระดาษสีทองที่ห่อหุ้มแท่งตะกั่วออกจนหมด ฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วทยอยหยิบเทียนไขครั้งละเล่มสองเล่มเข้าไปในถัง ถอดเชิงเทียนออก แล้วยัดแท่งตะกั่วเข้าไปในกลางลำตัวเทียนไข อุดด้วยสีผึ้งตรงปลายให้แท่งตะกั่วแน่นกระชับและสวมเชิงเทียนกลับ.. สีผึ้งคงเป็นสิ่งเดียวที่จุกแอบนำติดตัวมา ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากอันใดเลย...
เมื่อจัดการใส่แท่งตะกั่วเข้าไปภายในแท่งเทียนไขเสร็จแล้วก็นำเทียนไขกลับไปวางไว้ในถาด ทำเช่นนี้ไปจนครบ ๑๒ แท่งแล้วจึงค่อยหย่อนเศษกระดาษสีทองที่ฉีกไว้ ลอดช่องพื้นไม้กระดานลงไปยังใต้ถุนเรือน จากนั้นก็ทำความสะอาดห้องพระให้เสร็จ เอาถังและผ้าไปคว่ำไปตากที่ชานนอก แล้วก็เดินตัวเปล่าลงเรือนไป แอบลงไปเก็บเศษกระดาษสีทองที่ใต้ถุน นำไปเผาในห้องครัวปรุงอาหาร.. จุกเป็นเด็กอยู่ในครัว การจะเข้าออกไปทำอะไรในครัวย่อมเป็นเรื่องง่ายและคุ้นตา...
งานถัดไปของจุก คือรอให้บุญจันมาตามปู่ครูและครูพิธานไปโรงหล่อ ค่อยขึ้นไปชานพักบันไดคุยกับพิไล บอกให้มอบเสื้อให้แสงพราย แล้วก็เดินจากไปไกลๆ ให้พิไลเห็นได้ชัดว่าจุกไม่สามารถย้อนขึ้นบนเรือนช่วงที่นางอยู่ในห้อง...
จากนั้นก็คืองานสุดท้าย คอยท่าให้ปู่ครูและครูพิธานกลับขึ้นเรือนมา เมื่อมาถึงแล้วก็ขึ้นตามไป ให้รู้ว่ามิได้ขึ้นบนเรือนก่อนปู่ครู เมื่อบุญจันแสร้งตามมาขออนุญาตเปลี่ยนเวลากลับสำนักจากเช้าเป็นเที่ยง ก็ทำทีเป็นวิ่งไปหยิบถาดใส่ธูปเทียนมาคืนให้.. แล้วเรื่องในห้องพระก็แค่เพียงนับหนึ่งถึงสี่ดังที่พิไลได้แสดงเมื่อสักครู่ คือแก้ปมผ้าแพร นำโครงกระดาษออกมาคลี่กางสอดไว้ใต้เทียน ๑๒ เล่มในถาดและผูกปมผ้าแพรอย่างหยาบๆ ให้ทุกคนประจักษ์ว่าทองคำหายไป โดยแสงพรายเป็นคนเดียวที่ขึ้นมาบนเรือนและเป็นคนเดียวที่ออกจากสำนักไป”
ทรงเล่ามาอย่างยืดยาวและละเอียดจนทุกคนเห็นลำดับภาพชัดเจน...
“ถ้าเช่นนั้น ทองคำหายไปเมื่อใด...”
ขุนวังขมวดคิ้ว รำพึงออกมา
องค์หญิงกัณฐิมาศทรงแย้มพระสรวล รับสั่งด้วยพระสุรเสียงกังวาน
“แท่งตะกั่วถูกสับเปลี่ยนออกมาเยี่ยงใด ทองคำก็ถูกสับเปลี่ยนออกมาเยี่ยงเดียวกัน”
----------------------------------
(มีต่อ)
----------------------------------
โพลสอบถาม ตามที่ได้เเจ้งต่อท่านผู้อ่านไว้ในบทที่เเล้ว ว่าผู้เขียนขอความกรุณาสอบถามถึงตัวละคร เพื่อกำหนดการเขียนภาคต่อ จีงขออนุญาตเเทรกคำถามเเละขอความกรุณาให้ท่านผู้อ่านช่วยเเสดงความคิดเห็น เลือกคำตอบตามความคิดของท่าน หลังจากอ่านบทนี้จบลงเเล้วครับ (ลงจบบทปัจจุบันไว้ที่ คคห.ที่ ๒ ครับ - ส่วนเรื่องราวบทต่อไป ยังคงนำลงทุกสัปดาห์ตามปกติครับ)
.
*** ปิดโหวต วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2562 เวลา 07:30:04 น.
ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๕๔ เเละขออนุญาตทำโพลสอบถามถึงตัวละครในเรื่อง ตามที่ได้เเจ้งไว้ในบทก่อนหน้าครับ
บทที่ ๕๔ ความจริงปรากฏ
บรรยากาศในห้องพระช่างน่าอึดอัด หน้าต่างปิดหมดทุกบาน แต่ปมคดีทองคำสูญหายเริ่มคลี่คลายออกบ้างแล้ว
ทุกคนกลับมานั่งยังโถงชานกว้างตามพระประสงค์ขององค์หญิงกัณฐิมาศ
สายลมพัดโชยเย็นสบาย แสงแดดอ่อนแรงลงเป็นสัญญาณเตือนว่าเวลาของสำนักบ้านเงินบ้านทองใกล้หมดลงทุกที และนั่นเป็นสิ่งเดียวที่ทุกคนกังวลใจ
สีพระพักตร์องค์หญิงกัณฐิมาศทรงเคร่งเครียดขึ้น เพ่งพระเนตรแวววาวแข็งกล้าไปยังผู้ต้องสงสัยสองคน รับสั่งด้วยพระสุรเสียงก้องกังวานขึ้น
“บุญจัน จุก...เจ้าจะสารภาพออกมาหรือไม่ ว่าเป็นคนลักลอบนำทองออกไปจากห้องพระ”
บุญจันเอาแต่ก้มศีรษะสั่นหน้า มิกล้าประสานสายพระเนตร
“เกล้ากระหม่อมมิรู้สิ่งใดทั้งสิ้น.. ตะกั่วอยู่ดีๆ มาอยู่ในแท่งเทียนได้อย่างไร เกล้ากระหม่อมก็ไม่รู้...”
ส่วนจุกฟุบหน้านิ่งอยู่กับพื้น ดูจากหัวไหล่ที่ขยับขึ้นลงคล้ายกำลังสะอึกสะอื้นเพียงแต่ไม่มีเสียงร้องออกมา
ขุนวังดูอาการคนทั้งสองแล้วพลันทอดถอนใจ คาดว่าต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะเค้นความจริงจากสองคนนี้ได้ จึงกราบทูลขึ้นว่า
“เกล้ากระหม่อมเชื่อว่า ด้วยพระสติปัญญาของพระองค์ คงติดตามทองคำพระราชทานกลับคืนมาได้ในที่สุด.. แต่คดีนี้ประจักษ์แล้วว่าซับซ้อนแยบยลนัก ถ้าพระองค์ทรงต้องการเวลาเพิ่ม เกล้ากระหม่อมจะเข้าเฝ้าองค์พ่อขุน กราบทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตผัดเวลาให้อีกสัก ๒ วัน เพราะอย่างไรตามกฎการประกวด ก็ยังพอมีช่องให้คืนทองคำที่เหลือทั้งหมดภายใน ๓ วันหลังจากการประกวดเสร็จสิ้น พระเจ้าค่ะ”
“ท่านอา...” ขุนกาฬรีบแย้งขึ้น “ทุกอย่างได้ประกาศไปต่อเบื้องพระพักตร์และต่อหน้าชาวเมืองที่มาชุมนุมกันเมื่อวานนี้ ทำเช่นนี้ท่านไม่เกรงว่าจะพลอยเสื่อมเสียพระเกียรติยศขององค์พ่อขุนหรือ”
ขุนวังหันไปมองหน้าผู้แย้งอย่างขัดใจ ขณะคิดจะสรรหาเหตุผลใดยกขึ้นมาโต้กลับ ก็ได้ยินองค์หญิงรับสั่งขึ้นว่า
“ขอบคุณท่านขุนวังที่เมตตา แต่ไม่จำเป็นต้องเลื่อนเวลาออกไปหรอก.. ในเมื่อบุญจันและจุก ไม่ยอมพูดขึ้นมา เราก็จะพูดเอง...”
ทุกคนคล้ายถูกสะกดนิ่ง แม้แต่แสงพรายเองก็นึกไม่ถึงว่าองค์หญิงกัณฐิมาศจะมีพระสติปัญญาและพระบุคคลิกภาพที่เลิศล้ำปานนี้... แตกต่างจาก “องค์หญิง” และ “นางข้าหลวง” ที่ตนเคย “เกี่ยวข้อง” มาอย่างสิ้นเชิง...
“เราเริ่มสงสัยจุกและบุญจันตั้งแต่เย็นวันขึ้น ๒ ค่ำแล้ว หลังจากไปพบแสงพรายที่วัดศรีชุมและเจ้าตัวยืนยันว่าไม่เห็นห่อผ้าคลุมทองหลุดลุ่ยออกมาตอนที่ขึ้นไปบนเรือน ส่วนพิไลถ้าเป็นคนนำทองออกไปก็คงไม่มาบอกเรื่องทองคำที่สูญหายให้เรารู้แน่ แต่อย่างไรเราก็มิได้ตัดประเด็นพิไล คำแปงและคนอื่นๆ ออกเสียทีเดียว...
เราให้ “คนของเรา” แฝงกายไปสืบดูที่บ้านของบุญจัน และพบว่าที่บุญจันลางานออกจากสำนักบ่อย เพราะมารดาป่วยหนักนั้นเป็นเรื่องจริง.. แต่เรื่องที่ตัวมารดาเองมิเคยรับรู้เลย คือการนำธูปเทียนมาบูชาทองคำที่จะหล่อเป็นองค์พระพุทธ ดังนั้นที่บุญจันอ้างว่ามารดาตนขอนำเทียนไขมาบูชาทองจึงไม่มีมูลใด แต่ต้องการใช้เทียนไขเป็นเครื่องมือซุกซ่อนสับเปลี่ยนทองออกไป..และทองคำก็ได้ถูกนำออกไปก่อนวันแรม ๑๕ ค่ำ แล้วค่อยสร้างพยานแวดล้อมชี้นำไปยังแสงพราย...
เริ่มตั้งแต่บุญจันอาสาเข้ามาช่วยแสงพรายพอกดินแบบปั้นองค์พระ ด้วยฝีมือช่างระดับบุญจันการที่จะคิดวิธีแอบใส่สารเข้าไปในเนื้อดินผสมแกลบจนเกิดรอยแยกร้าวขึ้นภายใน จากนั้นค่อยส่งเนื้อดินดีให้แสงพรายพอกทับปิดไว้คงไม่ใช่เรื่องยาก... ทำไมแสงพรายที่ฝีมือช่างเลอเลิศจึงไม่พบตำหนิ แต่บุญจันกลับพบรอยตำหนิ...ก็เพราะเป็นรอยร้าวข้างในและบุญจันรู้ตำแหน่งแล้วฉวยจังหวะคุ้ยปัดผิวด้านนอกออก แสร้งชี้ให้แสงพรายดูในตอนเช้า แม้แสงพรายจะบอกวิธีแก้ไขซึ่งบุญจันก็รู้ว่าเป็นวิธีที่ถูกต้อง แต่ก็ยังยืนกรานจะให้ตามปู่ครูและครูพิธานลงมาจากเรือน เพื่อให้บนเรือนเหลือพิไลเพียงลำพัง...
แล้วจุกก็ขึ้นไปบนชานพักบันได พูดคุยกับพิไลแล้วชักจูงให้นางรีบมอบเสื้อที่นางตัดเย็บให้แสงพราย ทั้งยังบอกด้วยว่าเดี๋ยวแสงพรายจะขึ้นมาบนเรือน.. จุกรู้ได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่ร่วมมือกันกับบุญจันอยู่ก่อน ทำไมคำแปงจึงมิได้เห็นจุก หากมิใช่เพราะจุกเองที่เป็นคนคอยระวังหลบซ่อน แอบดูเหตุการณ์ในโรงช่าง...
บุญจันลงทุนเป็นลูกมือแสงพรายนับว่าเกินคุ้ม รอยตำหนิบนดินพอกแบบองค์พระทำให้แสงพรายต้องขึ้นไปบนเรือน และทำให้บนเรือนเหลือเพียงพิไล... พอพิไลเห็นแสงพรายมา ก็เข้าห้องไปเอาเสื้อออกมา ส่วนแสงพรายต้องไปชะเง้อมองหน้าห้องพระนับแท่งเทียน ตามคำขอของบุญจัน...
คำแปงควรจะเป็นคนเดียวที่ไปทำงานในวันหยุด และคงจะออกไปช่วงสาย ไม่เหมือนคนที่กลับบ้านหรือออกไปเที่ยวกันที่วัดซึ่งออกไปแต่หัวรุ่ง ดังนั้นบุญจันจึงอาสาช่วยงานเป็นลูกมือให้คำแปง เพียงเพื่อให้ “ไม่มีใคร นอกจากแสงพราย” ที่หายออกไปจากสำนัก ในช่วงระหว่างการถวายข้าวพระพุทธและการลาข้าว... ซึ่งความจริงแท่งตะกั่วได้ถูกสับเปลี่ยนกลับเข้ามาอยู่ในแท่งเทียนสิบสองเล่ม แล้วพับกระดาษรองธูปขึ้นเป็นโครงหลอกไว้อยู่ภายใต้ผ้าแพรหุ้ม ตั้งแต่ตอนจุกเข้าไปทำความสะอาดก่อนหน้าแล้ว...”
ทรงเล่าสรุปอย่างยืดยาว ทุกอย่างมีคำตอบชัดเจน...พร้อมหลักฐานแท่งเทียน แท่งตะกั่ว และพฤติกรรมของบุคคลต่างๆ
...เหลือแต่เพียงฉากเหตุการณ์การนำทองออกมาจากห้องพระ
“พิไลช่วยไปหยิบถังน้ำและสิ่งของที่ปกติจุกจะนำเข้าไปเช็ดถูทำความสะอาดในห้องพระมาวางข้างๆ ถาดธูปเทียนนี้... แต่ไม่ต้องนำไม้กวาดและผ้าถูพื้นมา”
“เพคะ” พิไลลุกไปหยิบถังน้ำและผ้าที่ตากไว้ตรงชานนอก
ตอนที่ทุกคนย้ายกลับมานั่งยังโถงชานกว้าง ก็ได้นำหลักฐานทุกอย่างในห้องพระมาวางไว้กับพื้น ตรงหน้าที่นั่งของทุกคน สักครู่ถังที่ใส่ผ้าผืนขนาดกลางและขนาดเล็กรวม ๓ ผืนจึงถูกนำมาวางไว้ใกล้กัน
“พิไลนั่งอยู่ก่อน... นี่คือสิ่งที่จุกนำเข้าไปเวลาทำความสะอาดห้องพระ และอันที่จริงมีทั้งผ้าเปียกชุบน้ำบิดหมาดและผ้าแห้ง.. พิไลหยิบแท่งทองสมมุติและแท่งตะกั่วทั้งหมดใส่เข้าไปในถัง.. เอาผ้าแห้งคลุมปิดไว้.. เจ้าถอยออกไปได้แล้ว” รับสั่งบอกบทพิไลให้กระทำทีละอย่าง
สิ่งที่ทุกคนเห็นคือถังน้ำที่มีผ้าแห้งอยู่ภายใน แต่ไม่เห็นสิ่งของภายในที่ซ่อนอยู่...
“นี่คือเครื่องมืออย่างดี ที่จุกใช้ในการหาจังหวะสับเปลี่ยนของ...”
ย่อมไม่มีใครสงสัยว่าถังเปล่าในมือเด็กชายที่ใส่ผ้าบิดหมาดและผ้าแห้งจะซุกซ่อนความลับสำคัญอยู่ภายใน
“ทองคำหายไปก่อนหน้านั้นหลายวันแล้ว.. รุ่งเช้าวันแรม ๑๕ ค่ำ ตอนที่ปู่ครูไปเปิดห้องพระให้จุกเข้าไปทำความสะอาด ในห่อผ้าแพรมีทองคำจริงเหลืออยู่เพียงแค่ ๕ แท่ง ส่วนอีก ๔ แท่งเป็นแท่งโลหะตะกั่วซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยกระดาษสีทอง ซึ่งทุกคนได้เห็นแล้วว่าแท่งตะกั่วจำนวน ๑๒ แท่งสามารถประกอบขึ้นเป็นทองปลอม ๔ แท่ง ซึ่งถ้าเราเข้าใจไม่ผิด ทองปลอมทั้ง ๔ แท่งคงถูกจัดวางไว้ด้านล่างเพื่อมิให้ปู่ครูสังเกตเห็นยามแก้ห่อผ้าแพรออกตรวจดู...
เมื่อจุกเข้าไปในห้องพระก็นำถาดธูปเทียน และถังใส่ผ้าทำความสะอาดเข้าไป จุกมีเวลามากมายในห้องพระแต่ต้องใช้เวลาให้สั้นที่สุดในการยุ่งเกี่ยวกับห่อทอง... สิ่งที่จุกต้องเตรียมก่อนลงมือคือ นำกระดาษรองธูปเทียนที่ถูกพับแนวไว้แล้ว ขึ้นมาพับประกบเป็นโครงแล้วซ่อนไว้ในถังน้ำ และอาจหาจังหวะสั้นๆ เข้าไปคลายปมห่อทองให้หลวมไว้แต่ไม่แก้ออก..
รอจนบุญจันขึ้นมาบนชานพักบันไดร้องเรียกให้ครูพิธานไปคุยเรื่องขอกลับไปนอนค้างที่บ้านหลังเสร็จช่วยงานแสงพราย นั่นคงเรียกความสนใจของพิไลไปด้วย และบุญจันคงหาจังหวะขึ้นมาเมื่อเห็นชัดว่าปู่ครูนั่งอยู่หน้าห้องนอนของปู่ท่านเหมือนทุกวัน และนี่คือโอกาสของจุกที่จะสับเปลี่ยนแท่งตะกั่วซึ่งห่อด้วยกระดาษสีทองออกจากห่อผ้าแพร จุกอาจชะโงกหน้าออกมาดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่หน้าห้องพระ ทำเหมือนดูว่าใครมาร้องเรียกคนบนเรือน...
จากนั้นจุกก็ใช้เวลาเพียงแค่นับหนึ่งถึงห้า ในการแกะปมห่อทอง เอา “ทองปลอม” ๔ แท่งใส่ไว้ในถัง เอาโครงกระดาษสลับเข้าไปในห่อผ้าแพรทดแทนขนาดของทอง ๔ แท่ง แล้วผูกปมผ้าแพรไว้ดังเดิม.. หลังจากนั้นจุกก็มีเวลามากมาย ในการซุกมือแอบทำสิ่งใดในถังที่มีผ้าพาดอยู่ แม้ใครจะมาเห็นเข้าก็มิรู้ว่าจุกทำอะไร เพราะพื้นห้องพระสูงกว่าพื้นโถงชานกว้าง มองไปก็เห็นแต่ขอบถังน้ำ...
จากนั้นจุกก็แอบฉีกกระดาษสีทองที่ห่อหุ้มแท่งตะกั่วออกจนหมด ฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วทยอยหยิบเทียนไขครั้งละเล่มสองเล่มเข้าไปในถัง ถอดเชิงเทียนออก แล้วยัดแท่งตะกั่วเข้าไปในกลางลำตัวเทียนไข อุดด้วยสีผึ้งตรงปลายให้แท่งตะกั่วแน่นกระชับและสวมเชิงเทียนกลับ.. สีผึ้งคงเป็นสิ่งเดียวที่จุกแอบนำติดตัวมา ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากอันใดเลย...
เมื่อจัดการใส่แท่งตะกั่วเข้าไปภายในแท่งเทียนไขเสร็จแล้วก็นำเทียนไขกลับไปวางไว้ในถาด ทำเช่นนี้ไปจนครบ ๑๒ แท่งแล้วจึงค่อยหย่อนเศษกระดาษสีทองที่ฉีกไว้ ลอดช่องพื้นไม้กระดานลงไปยังใต้ถุนเรือน จากนั้นก็ทำความสะอาดห้องพระให้เสร็จ เอาถังและผ้าไปคว่ำไปตากที่ชานนอก แล้วก็เดินตัวเปล่าลงเรือนไป แอบลงไปเก็บเศษกระดาษสีทองที่ใต้ถุน นำไปเผาในห้องครัวปรุงอาหาร.. จุกเป็นเด็กอยู่ในครัว การจะเข้าออกไปทำอะไรในครัวย่อมเป็นเรื่องง่ายและคุ้นตา...
งานถัดไปของจุก คือรอให้บุญจันมาตามปู่ครูและครูพิธานไปโรงหล่อ ค่อยขึ้นไปชานพักบันไดคุยกับพิไล บอกให้มอบเสื้อให้แสงพราย แล้วก็เดินจากไปไกลๆ ให้พิไลเห็นได้ชัดว่าจุกไม่สามารถย้อนขึ้นบนเรือนช่วงที่นางอยู่ในห้อง...
จากนั้นก็คืองานสุดท้าย คอยท่าให้ปู่ครูและครูพิธานกลับขึ้นเรือนมา เมื่อมาถึงแล้วก็ขึ้นตามไป ให้รู้ว่ามิได้ขึ้นบนเรือนก่อนปู่ครู เมื่อบุญจันแสร้งตามมาขออนุญาตเปลี่ยนเวลากลับสำนักจากเช้าเป็นเที่ยง ก็ทำทีเป็นวิ่งไปหยิบถาดใส่ธูปเทียนมาคืนให้.. แล้วเรื่องในห้องพระก็แค่เพียงนับหนึ่งถึงสี่ดังที่พิไลได้แสดงเมื่อสักครู่ คือแก้ปมผ้าแพร นำโครงกระดาษออกมาคลี่กางสอดไว้ใต้เทียน ๑๒ เล่มในถาดและผูกปมผ้าแพรอย่างหยาบๆ ให้ทุกคนประจักษ์ว่าทองคำหายไป โดยแสงพรายเป็นคนเดียวที่ขึ้นมาบนเรือนและเป็นคนเดียวที่ออกจากสำนักไป”
ทรงเล่ามาอย่างยืดยาวและละเอียดจนทุกคนเห็นลำดับภาพชัดเจน...
“ถ้าเช่นนั้น ทองคำหายไปเมื่อใด...”
ขุนวังขมวดคิ้ว รำพึงออกมา
องค์หญิงกัณฐิมาศทรงแย้มพระสรวล รับสั่งด้วยพระสุรเสียงกังวาน
“แท่งตะกั่วถูกสับเปลี่ยนออกมาเยี่ยงใด ทองคำก็ถูกสับเปลี่ยนออกมาเยี่ยงเดียวกัน”
----------------------------------
(มีต่อ)
----------------------------------
โพลสอบถาม ตามที่ได้เเจ้งต่อท่านผู้อ่านไว้ในบทที่เเล้ว ว่าผู้เขียนขอความกรุณาสอบถามถึงตัวละคร เพื่อกำหนดการเขียนภาคต่อ จีงขออนุญาตเเทรกคำถามเเละขอความกรุณาให้ท่านผู้อ่านช่วยเเสดงความคิดเห็น เลือกคำตอบตามความคิดของท่าน หลังจากอ่านบทนี้จบลงเเล้วครับ (ลงจบบทปัจจุบันไว้ที่ คคห.ที่ ๒ ครับ - ส่วนเรื่องราวบทต่อไป ยังคงนำลงทุกสัปดาห์ตามปกติครับ)
.