อุทัยธานี เอ่ยชื่อนี้ขึ้นมาแล้วหลายคนจะมีคำถามขึ้นมาว่ามีอะไรให้เที่ยว ผมเองก็เป็นคนนึงที่มีคำถามแบบนี้เกิดขึ้นมาเหมือนกัน ขับผ่านไปผ่านมาก็หลายครั้งแต่ก็ยังไม่เคยเปิดไฟเล้วแวะเวียนเข้าไปซักทีเลย
ก่อนจะแวะไปอุทัยธานี สามารถไปชมกระทู้เที่ยวไทยที่อื่นได้ตามลิงค์นี้ครับ
ทองผาภูมิ [ เสน่ห์แห่งซีกตะวันตกของไทย ]
https://ppantip.com/topic/35894133
แม่ฮ่องสอน ทะเลหมอกและขุนเขา
https://ppantip.com/topic/35495747
ครั้งนี้ตั้งใจมุ่งตรงสู่อุทัยธานี วางแผนคร่าวๆ 2 วัน 1 คืน ที่เที่ยวที่พัก หาเอาข้างหน้านี่คือแผนที่คร่าวมากๆ
เดินทางโดยรถยนต์ใช้ทางหลวงหมายเลข32 ถึงอุทัยธานีประมาณบ่ายโมง
แยกจากถนนสายเอเชีย หมายเลข 32 ไม่กี่อึดใจ ก็จะเห็นเขาสะแกกรังตั้งตระหง่านต้อนรับอยู่ตรงหน้า
เนื่องจากไม่ได้จองที่พักมาก่อน ก็เสียเวลาขับรถตระเวนหากันหน่อย เราเลือก Modern loft Homestay เป็นที่พักไม่แพงมากมาย แต่บรรยากาศดีมาก
เมื่อหาที่พักเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาออกไปเที่ยวกันต่อเป้าหมายแรกคือไปชิมปลาแรด
จังหวัดอุทัยธานีนั้นขึ้นชื่อว่าปลาแรดอร่อยมากและไม่เหม็นคาวเราแวะไปที่ร้านอาหารน้องทราย ที่นี่ก็มีที่พักแบบโฮมเสตย์อีกด้วย
เราสั่งอาหารมา 2 อย่าง คือ ปลาแรดทอดสมุนไพรและแกงคั่วหอยขม
ความเห็นส่วนตัว ปลาแรดทอดสมุนไพรนั้น เนื้อปลาจัดว่าอร่อยมีรสออกหวานของเนื้อและหอมสมุนไพร
ส่วนแกงคั่วหอยขมนั้นจัดว่าแย่เลยครับ น้ำแกงใสๆไม่เข้มข้นซักเท่าไหร่บวกกับหน่อไม้เยอะมากทำให้ขาดรสชาติของแกงไป
มีเพียงปลาแรดทอดสมุนไพรเท่านั้นที่กินหมดไป
.
.
.
ตลาดถนนคนเดินตรอกโรงยา
ตลาดแห่งนี้เป็นชุมชนเก่าอายุนับร้อยปี บ้านเรือนยังคงสภาพดั้งเดิมไว้ ที่นี่มีทั้งของกินของพื้นบ้านและประวัติศาสตร์ของชุมชนไว้ให้ชม
บรรยากาศของตลาดนั้นไม่ใช่ตลาดแบบในเมืองเลยซะทีเดียว ยังคงมีคนนรุ่นตา-ยาย มานั่งปูเสื่อขายผักขายอาหาร จนกระทั่งของใช้แบบพื้นบ้าน
ซึ่งเป็นกลิ่นอายชนบทที่เข้ามาผสมผสานกับเมืองได้อย่างลงตัว
อีกจุดนึงของตลาดคือบ้านนกเขา
ที่นี่รวมสิ่งของต่างๆมากมายตั้งแต่ในอดีตเล่าเรื่องราวความเป็นมาให้คนรุ่นหลังได้ชมจะเห็นของเก่ามากมายวางเรียงรายกันในที่แห่งนี้
ตลาดไม่ยาวมากนักเดินวนอยู่2-3 รอบ ไม่นานนักก็อิ่มแปล้
แล้วก็เดินชมวิถีชีวิตคนเมืองอุทัยธานีโดยรอบ บ้านเรือน หรืออาคารที่หลายหลังยังคงสภาพเดิมไว้
ยังมีร้านซ่อมจักรยาน
ยังมีคุณยายล้างขวดที่เก็บมาเพื่อนำไปขาย
ยังมีร้านค้าขายของเก่าเมื่อเรายังวัยเด็กอีกมากมาย และร้านอาหารสูตรดั้งเดิมอีกเยอะแยะมากมายนับว่าเป็นเมืองที่ยังคงวัฒนธรรมและอนุรักษืไว้ได้ดีเลยที่เดียว
.
.
.
เดินเล่นลัดเลาะอยู่แถวนั้นแล้วก็มาพบร้านหนังสือ
"กาลครั้งหนึ่ง"
เป็นห้องไม่ใหญ่มากนักในตึกแถวห้องหนึ่ง เข้าไปด้านในแล้วบรรยากาศอบอุ่นด้านในเต็มไปด้วยคลังหนังสือให้เลือกมากมาย เป็นร้านที่ก่อตั้งขึ้นมาด้วยความฝันของพี่เจ้าของร้าน ด้วยความรักการอ่าน การเขียน และจินตนาการการต้อนรับที่อุ่นอุ่นและเป็นกันเอง ทำให้ความรู้สึกเหมือนว่ามานั่งเล่นในห้องหนังสือที่บ้าน
.
.
.
ร้านกาแฟบ้านอาม่า
เมืองเล็กๆกับบรรยากาศสโลว์ไลฟ์ริมแม่น้ำแห่งนี้พลาดไม่ได้ที่จะต้องนั่งจิบกาแฟทิ้งเวลาให้สมองได้ล่องลอยออกไป
ที่นี่มีร้านกาแฟอยู่หลายร้านซึ่งตัวผมเองนั้นชอบดื่มกาแฟเป็นยิ่งนัก
วันนี้เราเลือกร้าน บ้านอาม่า ที่นี่มีทั้งกาแฟและเครื่องดื่มอื่นๆที่เจ้าของร้านตั้งใจบรรจงชงมาให้ดื่มอย่างละเมียดละไม
บรรยากาศร้านก็สมกับชื่อร้านเลยครับร้านตกแต่งสไตล์บ้านยุคเก่ามีของเก่าเก็บวางเรียงรายอยู่โดยรอบ ให้ความรู้สึกเหมือนว่าเราแวะมานั่งจิบกาแฟอยู่ที่บ้านอากง-อาม่า
.
.
.
ชุมชนเรือนแพลำน้ำสะแกกรัง
เป็นอีกหนึ่งมนต์เสน่ห์ของจังหวัดอุทัยธานีที่ยังคงมีวิถีชีวิตเรือนแพริมน้ำให้ได้เห็นเรือนแพแห่งแม่น้ำสะแกกรังนี้มีอยู่ราวๆ 200 หลัง มีที่อยู่ ทะเบียนบ้านโดยถูกต้องตั้งทอดยาวไปตามโค้งแม่น้ำ
ชาวบ้านใช้ความอุมสมบูรณ์ของน้ำประกอบอาชีพประมงน้ำจืด ปลาที่ได้มานั้นเป็นปลาที่มีรสชาติอร่อยมาก โดยเฉพาะปลาแรดที่ขึ้นชื่อโด่งดังไปไกล
ถัดมาคือวัดโบสถ์ ที่ทีอายุเก่าแก่กว่า 100 ปี ซึ่งในหลวงรัชกาลที่5 เคยเสด็จประพาสต้นมายังที่นี่และยังเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชุมชนละแวกนั้นมาแสนนาน
.
.
.
จุดชมวิวเขาสะแกกรัง
ช่วงท้ายของวัน มาดูตะวันตกดินบนยอดเขาสะแกกรังซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดสังกัสรัตนคีรี ด้านบนอากาศดีมาก ขนาดไม่ใช่หน้าหนาวอากาศยังเย็นๆ
ที่นี่มองเห็นเกือบ360 องศา สามารถชมตะวันขึ้นในยามเช้าและตะวันตกดินในยามเย็นซึ่งด้านทิศตะวันออกนี้จะเป็นวิวเมืองอุทัยธานี
.
.
.
สุดท้ายที่วัดท่าซุง
หลวงพ่อใหญ่องค์แรกเป็นผู้สร้างวัดจนกระทั่ง ถึงปี พ.ศ. 2511 หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร) (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ)ได้มาริเริ่มบูรณะวัดอีกครั้งโดยได้สร้างโบสถ์และวิหารมากมาย
วิหารแก้ว
เป็นวิหารที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ภายในสร้างด้วยโมเสก สีขาว ใสดูเหมือนแก้ววาววับ นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปจำลองพระพุทธชินราชซึ่งเป็นพระประทานในวิหาร อีกด้วย วิหารแก้วจะเปิดให้ชมเป็นช่วงเวลา คือ ช่วงเช้า ตั้งแต่ 9.00-11.45 น .และช่วงบ่าย 14.00-16.00 น.
.
.
.
.
สรุปเที่ยวอุทัยธานี
เป็นเมืองเล็กๆ บรรยากาศดี มีเส้นทางจักรยาน เส้นทางการออกกำลังกายเยอะมาก อากาศบริสุทธิ์ แนะนำว่าต้องลองมาปั่นเล่นให้ได้
บ้านเรือนยังคงสภาพสมัยเก่าราวๆ50ปีที่แล้ว คนทั้งเมืองโดยส่วนใหญ่ก็ดี คนเฒ่าคนแก่มีน้ำใจเมตตามาก
การเดินเที่ยวในเมืองนั้นไม่ลำบากจนเกินไป คนที่นี่ขับรถกันใจเย็นดีมาก ข้ามถนนสบายไม่มีรถพุ่งใส่
ร้านอาหารอร่อยเยอะมาก เพราะส่วนใหญ่เป็นร้านที่สืบทอดสูตรมาจากบรรพบุรุษ
เป็นวิถีชีวิตที่ผสมผสานกันทั้งชีวิตเมือง ชนบท ป่า ลุ่มน้ำ
ถ้ามีโอกาสจะไปเยี่ยมเยียนอีกแน่นนอน
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาจนถึงบรรทัดนี้ครับ แล้วพบกันใหม่ทริปหน้า
เที่ยวอุทัยธานี [เมืองดี คนดี น้ำใจงาม]
ก่อนจะแวะไปอุทัยธานี สามารถไปชมกระทู้เที่ยวไทยที่อื่นได้ตามลิงค์นี้ครับ
ทองผาภูมิ [ เสน่ห์แห่งซีกตะวันตกของไทย ]
https://ppantip.com/topic/35894133
แม่ฮ่องสอน ทะเลหมอกและขุนเขา
https://ppantip.com/topic/35495747
ครั้งนี้ตั้งใจมุ่งตรงสู่อุทัยธานี วางแผนคร่าวๆ 2 วัน 1 คืน ที่เที่ยวที่พัก หาเอาข้างหน้านี่คือแผนที่คร่าวมากๆ
เดินทางโดยรถยนต์ใช้ทางหลวงหมายเลข32 ถึงอุทัยธานีประมาณบ่ายโมง
แยกจากถนนสายเอเชีย หมายเลข 32 ไม่กี่อึดใจ ก็จะเห็นเขาสะแกกรังตั้งตระหง่านต้อนรับอยู่ตรงหน้า
เนื่องจากไม่ได้จองที่พักมาก่อน ก็เสียเวลาขับรถตระเวนหากันหน่อย เราเลือก Modern loft Homestay เป็นที่พักไม่แพงมากมาย แต่บรรยากาศดีมาก
เมื่อหาที่พักเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาออกไปเที่ยวกันต่อเป้าหมายแรกคือไปชิมปลาแรด
จังหวัดอุทัยธานีนั้นขึ้นชื่อว่าปลาแรดอร่อยมากและไม่เหม็นคาวเราแวะไปที่ร้านอาหารน้องทราย ที่นี่ก็มีที่พักแบบโฮมเสตย์อีกด้วย
เราสั่งอาหารมา 2 อย่าง คือ ปลาแรดทอดสมุนไพรและแกงคั่วหอยขม
ความเห็นส่วนตัว ปลาแรดทอดสมุนไพรนั้น เนื้อปลาจัดว่าอร่อยมีรสออกหวานของเนื้อและหอมสมุนไพร
ส่วนแกงคั่วหอยขมนั้นจัดว่าแย่เลยครับ น้ำแกงใสๆไม่เข้มข้นซักเท่าไหร่บวกกับหน่อไม้เยอะมากทำให้ขาดรสชาติของแกงไป
มีเพียงปลาแรดทอดสมุนไพรเท่านั้นที่กินหมดไป
.
.
.
ตลาดถนนคนเดินตรอกโรงยา
ตลาดแห่งนี้เป็นชุมชนเก่าอายุนับร้อยปี บ้านเรือนยังคงสภาพดั้งเดิมไว้ ที่นี่มีทั้งของกินของพื้นบ้านและประวัติศาสตร์ของชุมชนไว้ให้ชม
บรรยากาศของตลาดนั้นไม่ใช่ตลาดแบบในเมืองเลยซะทีเดียว ยังคงมีคนนรุ่นตา-ยาย มานั่งปูเสื่อขายผักขายอาหาร จนกระทั่งของใช้แบบพื้นบ้าน
ซึ่งเป็นกลิ่นอายชนบทที่เข้ามาผสมผสานกับเมืองได้อย่างลงตัว
อีกจุดนึงของตลาดคือบ้านนกเขา
ที่นี่รวมสิ่งของต่างๆมากมายตั้งแต่ในอดีตเล่าเรื่องราวความเป็นมาให้คนรุ่นหลังได้ชมจะเห็นของเก่ามากมายวางเรียงรายกันในที่แห่งนี้
ตลาดไม่ยาวมากนักเดินวนอยู่2-3 รอบ ไม่นานนักก็อิ่มแปล้
แล้วก็เดินชมวิถีชีวิตคนเมืองอุทัยธานีโดยรอบ บ้านเรือน หรืออาคารที่หลายหลังยังคงสภาพเดิมไว้
ยังมีร้านซ่อมจักรยาน
ยังมีคุณยายล้างขวดที่เก็บมาเพื่อนำไปขาย
ยังมีร้านค้าขายของเก่าเมื่อเรายังวัยเด็กอีกมากมาย และร้านอาหารสูตรดั้งเดิมอีกเยอะแยะมากมายนับว่าเป็นเมืองที่ยังคงวัฒนธรรมและอนุรักษืไว้ได้ดีเลยที่เดียว
.
.
.
เดินเล่นลัดเลาะอยู่แถวนั้นแล้วก็มาพบร้านหนังสือ "กาลครั้งหนึ่ง"
เป็นห้องไม่ใหญ่มากนักในตึกแถวห้องหนึ่ง เข้าไปด้านในแล้วบรรยากาศอบอุ่นด้านในเต็มไปด้วยคลังหนังสือให้เลือกมากมาย เป็นร้านที่ก่อตั้งขึ้นมาด้วยความฝันของพี่เจ้าของร้าน ด้วยความรักการอ่าน การเขียน และจินตนาการการต้อนรับที่อุ่นอุ่นและเป็นกันเอง ทำให้ความรู้สึกเหมือนว่ามานั่งเล่นในห้องหนังสือที่บ้าน
.
.
.
ร้านกาแฟบ้านอาม่า
เมืองเล็กๆกับบรรยากาศสโลว์ไลฟ์ริมแม่น้ำแห่งนี้พลาดไม่ได้ที่จะต้องนั่งจิบกาแฟทิ้งเวลาให้สมองได้ล่องลอยออกไป
ที่นี่มีร้านกาแฟอยู่หลายร้านซึ่งตัวผมเองนั้นชอบดื่มกาแฟเป็นยิ่งนัก
วันนี้เราเลือกร้าน บ้านอาม่า ที่นี่มีทั้งกาแฟและเครื่องดื่มอื่นๆที่เจ้าของร้านตั้งใจบรรจงชงมาให้ดื่มอย่างละเมียดละไม
บรรยากาศร้านก็สมกับชื่อร้านเลยครับร้านตกแต่งสไตล์บ้านยุคเก่ามีของเก่าเก็บวางเรียงรายอยู่โดยรอบ ให้ความรู้สึกเหมือนว่าเราแวะมานั่งจิบกาแฟอยู่ที่บ้านอากง-อาม่า
.
.
.
ชุมชนเรือนแพลำน้ำสะแกกรัง
เป็นอีกหนึ่งมนต์เสน่ห์ของจังหวัดอุทัยธานีที่ยังคงมีวิถีชีวิตเรือนแพริมน้ำให้ได้เห็นเรือนแพแห่งแม่น้ำสะแกกรังนี้มีอยู่ราวๆ 200 หลัง มีที่อยู่ ทะเบียนบ้านโดยถูกต้องตั้งทอดยาวไปตามโค้งแม่น้ำ
ชาวบ้านใช้ความอุมสมบูรณ์ของน้ำประกอบอาชีพประมงน้ำจืด ปลาที่ได้มานั้นเป็นปลาที่มีรสชาติอร่อยมาก โดยเฉพาะปลาแรดที่ขึ้นชื่อโด่งดังไปไกล
ถัดมาคือวัดโบสถ์ ที่ทีอายุเก่าแก่กว่า 100 ปี ซึ่งในหลวงรัชกาลที่5 เคยเสด็จประพาสต้นมายังที่นี่และยังเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชุมชนละแวกนั้นมาแสนนาน
.
.
.
จุดชมวิวเขาสะแกกรัง
ช่วงท้ายของวัน มาดูตะวันตกดินบนยอดเขาสะแกกรังซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดสังกัสรัตนคีรี ด้านบนอากาศดีมาก ขนาดไม่ใช่หน้าหนาวอากาศยังเย็นๆ
ที่นี่มองเห็นเกือบ360 องศา สามารถชมตะวันขึ้นในยามเช้าและตะวันตกดินในยามเย็นซึ่งด้านทิศตะวันออกนี้จะเป็นวิวเมืองอุทัยธานี
.
.
.
สุดท้ายที่วัดท่าซุง
หลวงพ่อใหญ่องค์แรกเป็นผู้สร้างวัดจนกระทั่ง ถึงปี พ.ศ. 2511 หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร) (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ)ได้มาริเริ่มบูรณะวัดอีกครั้งโดยได้สร้างโบสถ์และวิหารมากมาย
วิหารแก้ว
เป็นวิหารที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ภายในสร้างด้วยโมเสก สีขาว ใสดูเหมือนแก้ววาววับ นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปจำลองพระพุทธชินราชซึ่งเป็นพระประทานในวิหาร อีกด้วย วิหารแก้วจะเปิดให้ชมเป็นช่วงเวลา คือ ช่วงเช้า ตั้งแต่ 9.00-11.45 น .และช่วงบ่าย 14.00-16.00 น.
.
.
.
.
สรุปเที่ยวอุทัยธานี
เป็นเมืองเล็กๆ บรรยากาศดี มีเส้นทางจักรยาน เส้นทางการออกกำลังกายเยอะมาก อากาศบริสุทธิ์ แนะนำว่าต้องลองมาปั่นเล่นให้ได้
บ้านเรือนยังคงสภาพสมัยเก่าราวๆ50ปีที่แล้ว คนทั้งเมืองโดยส่วนใหญ่ก็ดี คนเฒ่าคนแก่มีน้ำใจเมตตามาก
การเดินเที่ยวในเมืองนั้นไม่ลำบากจนเกินไป คนที่นี่ขับรถกันใจเย็นดีมาก ข้ามถนนสบายไม่มีรถพุ่งใส่
ร้านอาหารอร่อยเยอะมาก เพราะส่วนใหญ่เป็นร้านที่สืบทอดสูตรมาจากบรรพบุรุษ
เป็นวิถีชีวิตที่ผสมผสานกันทั้งชีวิตเมือง ชนบท ป่า ลุ่มน้ำ
ถ้ามีโอกาสจะไปเยี่ยมเยียนอีกแน่นนอน
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาจนถึงบรรทัดนี้ครับ แล้วพบกันใหม่ทริปหน้า