[CR] Slowlife อุทัยธานี 2วัน1คืน ฉบับ สว.Travel

กระทู้รีวิว
หลาย ๆ คนคงจะเหมือนเราที่อุทัยธานีอาจไม่ใช่จุดหมายปลายทางในการเดินทางท่องเที่ยว แต่ทริปนี้ได้มีโอกาสพาเพื่อนรักซึ่งเดินทางมาจากทางภาคใต้เที่ยว เราจึงมีระยะเวลาสั้น ๆ และไม่ไกลกรุงเทพฯนัก กาญจนบุรี สมุทรสงคราม ราชบุรี  อยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี เราไปมาหมดแล้วยกเว้น อุทัยธานี ตอนนั้นมองว่าเมืองนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย เหมือนเมืองผ่านซะมากกว่า แต่เอาเข้าจริง ๆ  ทำเอาอยากไปอีกซะด้วยซ้ำ

ต้องบอกก่อนว่า lifestyle การเที่ยวของเรา ไม่ว่าจะเป็นเมืองไทย เมืองนอก เราเน้นความสะดวกสบาย ทั้งการกิน และการเดินทาง ไม่ต้องรีบเร่งทำกิจกรรม หรือเที่ยว ไปได้แค่ไหนแค่นั้น (เพราะจขกท.สูงวัยแล้วจ้า)

Day 1

เราใช้รถส่วนตัวออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่ 07.00 น. มุ่งหน้านครสวรรค์ โดยใช้ถนนสายเอเซีย (หมายเลข32) ผ่าน อยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท จนถึงทางแยกมีป้ายบอกทางเข้าจังหวัดอุทัยธานี (ทางหลวงหมายเลข333)

จุดหมายแรกที่เราไปคือวัดท่าซุง ชมวิหารแก้วที่โดดเด่นและสวยงามภายในสร้างด้วยโมเสก สีขาว ใสเหมือนแก้วงามระยิบระยับ รวมถึงเป็นที่เก็บรักษาสังขาร่างของหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่ไม่เน่าเปื่อยในโลงแก้ว วิหารแก้วจะเปิดให้ชมเป็นช่วงเวลา คือ ช่วงเช้า ตั้งแต่ 9.00-11.45 น .และช่วงบ่าย 14.00-16.00 น.


ออกจากวัดท่าซุง แวะร้านอาหารริมแม่น้ำสะแกกรัง ชมวิว-ชิมปลาแรด หลากหลายเมนู ผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อของอุทัยธานี ที่มาเยือนแล้วต้องลองชิมซักครั้ง  แต่บังเอิญว่า ร้านที่เราไปเอาปลาแรดที่ทอดค้างไว้มาทอดให้เรากิน หนังเหนียวและเหม็นคาวมาก เป็นอันว่าไม่ประทับใจเท่าไหร่ แนะนำให้หาร้านที่รีวิวดี ๆ เพราะความหิวเราเลยไม่ได้เลือกร้านอร่อย ๆ (แอบเสียดาย)


อิ่มแล้วเราเข้าเช็คอินที่โรงแรมพิบูลย์สุข  ที่เลือกโรงแรมนี้เพราะตั้งอยู่ในเมือง ห่างตลาดเช้า และถนนคนเดิน ประมาณ 200 เมตร มีร้าน 7-11 อยู่ใกล้ ๆ มีรถจักรยานให้เช่า 20 บาท มีที่จอดรถด้านหลังโรงแรม แต่บอกไว้ก่อนว่าโรงแรมนี้ไม่เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบที่นอนแข็ง ๆ นะ 555 แต่พนักงานบริการดีมากจ้า


เช็คอินเสร็จแล้ว ข้ามถนนหน้าโรงแรมไปจิบกาแฟ กินขนมปังเย็น ถ่ายรูปชิลล์ ๆ ที่ร้านจงรัก (ร้านนี้อยู่ตรงข้ามโรงแรมพิบูลย์สุข) ชั้น 2 ของร้านมีพิพิธภัณฑ์ของเก่าให้ชมฟรี ๆ  เจ้าของร้านใจดีรวบรวมของเก่าตั้งแต่รุ่นคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายมาให้เราชม พร้อมเป็นไกด์แนะนำข้อมูลให้อีก


อิ่มเอมกับของเก่าแล้วไปเที่ยววัดสังกัสรัตนคีรี วัดที่อยู่บนยอดเขาสะแกกรัง เราสามารถเดินผ่านบันได 449 ขั้น ขึ้นสู่ยอดเขาชมวิวเมืองอุทัยกันได้ที่นี่ แนะนำให้มาช่วงเย็น ๆ  แต่เราขอชมบันไดวัดละกันขึ้นไม่ไหวจริง ๆ เพราะสังขารไม่อำนวย 555


ภาพถ่ายจากวัดอุโปสถารามสามารถมองเห็นวัดสังกัสรัตนคีรีที่อยู่บนยอดเขาสะแกกรัง


ช่วงเย็นนำรถกลับมาจอดไว้ที่โรงแรม เพื่อหาอาหารเย็นรับประทานที่ถนนคนเดินตรอกโรงยา แต่ระหว่างทางเจอร้านนี้ซะก่อน ก็เลยสั่งไอติมรับประทานเรียกน้ำย่อยกันคนละถ้วย


ชิมไอติมเสร็จ เราเดินต่อไปที่ถนนคนเดินตรอกโรงยา ตลาดถนนคนเดินที่นี่มีเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ เปิดตั้งแต่ 4 โมงเย็น ของกินเยอะมาก จบวันที่ 1 ของทริปคนสูงวัยแบบเรา ด้วยบรรยากาศถนนคนเดิน


Day 2

เราตื่นกันแต่ 6 โมงเช้า เพื่อไปตักบาตรที่ตลาดเช้า และปล่อยปลาดุกลงแม่น้ำสะแกกรัง (หาซื้อปลาจากแม่ค้าที่เค้านำมาขายในตลาด เป็นการช่วยชีวิตสัตว์, อาหารใส่บาตร+ดอกไม้ถวายพระมีขายที่ตลาดทั้งหมด เตรียมแต่เงินไปก็พอจ้า) ตลาดเช้าอยู่ใกล้ ๆ ถนนคนเดินตรอกโรงยานั่นแหละเดินประมาณ 200 เมตรจากโรงแรม


หลังทำบุญเสร็จ นั่งจิบกาแฟร้านภูผากาแฟ ชมตลาดเช้า ข้ามสะพานไปชมวัดอุโปสถาราม ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับตลาดเช้า หรือใครจะปั่นจักรยานชมวิวเลียบแม่น้ำสะแกกรังก็ไม่ว่ากัน  ได้ออกกำลังกายพร้อมสูดอากาศบริสุทธิ์ (ขอแผนที่เส้นทางปั่นจักรยานได้ที่โรงแรมเลยจ้า)



ได้เวลากลับกรุงเทพฯแล้ว เช็คเอ้าท์โรงแรม ขับรถมุ่งหน้ากรุงเทพฯ แวะกินมื้อเที่ยงและซื้อของฝากที่ร้านสปัจน์ ริมถนนสายเอเซีย




สายช๊อป ต้องแวะ Flynow outlet สิงห์บุรี ก่อนเข้ากรุงเทพฯ


จบทริป Slowlife ฉบับ สว. Travel แล้ว ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะจ้ะ

อมยิ้ม01
ชื่อสินค้า:   อุทัยธานี
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่