Cappella di San Galgano in Montesiepi where is located the real Sword in the stone
The sword of Galgano Guidotti, embedded in stone. Photo credit: lkonya / Shutterstock.com
ตำนาน
King Arthur ดึงดาบ
Excalibur จากก้อนหิน
การที่พระองค์ทรงดึงดาบขึ้นจากก้อนหินได้
แสดงว่าพระองค์ทรงสิทธิ์ในการสืบราชสมบัติ
มีในตำนานนิทานพระเจ้าอาเธอร์กับอัศวินโต๊ะกลมของอังกฤษ
แต่มีเรื่องจริงที่อิตาลี
ในอารามแคว้น
Tuscan
ที่
La Rotonda di Montesiepi
มีดาบเล่มหนึ่งฝังแน่นอยู่บนก้อนหิน
ดาบที่ยังฉายประกายคมดาบกับด้ามดาบเพียงไม่กี่นิ้ว
ยังคงตั้งอยู่ที่โบสถ์
San Galgano ใน La Rotonda di Montesiepi
ระยะทางราว 30 กิโลเมตรห่างจากเมือง
Siena
ตำนานเริ่มต้นที่นี่
ดาบเล่มนี้ถูกฝังลงแน่นในก้อนหินโดย Galgano Guidotti
อัศวินบุตรขุนนางในศตวรรษที่ 12 ของนครรัฐ Tuscan
หลังจากท่านพบเห็นการปรากฎตัวของอัครทูตสวรรค์
Michael
บอกให้ท่านละทิ้งชีวิตเสเพลและการเป็นเครื่องจักรสังหาร
เข้าสู่ร่มกาสาวพัตสร์คริสตศาสนา
ในวันรุ่งขึ้น ท่านจึงตัดสินใจทำตามคำบอกเล่าของอัครทูตสวรรค์
ท่านเดินบอกเพื่อนผองน้องพี่กับญาติ ๆ ของท่านว่า
ท่านจะไปเป็นนักพรตบำเพ็ญบุณย์กุศลและอยู่ในถ้ำ/ป่าเขา
ทุกคนต่างหัวเราะเยาะเย้ยท่าน หาว่าท่านบ้าไปแล้ว
แต่ Dionisia แม่ของท่านมอบเสื้อผ้าชุดที่หรูหรามากที่สุดให้กับท่าน
เพื่อให้ท่านแต่งเสื้อผ้าชุดนี้เดินทางไปบอกลาคู่หมั้นของท่าน
และต่อมาท่านได้รับการประกาศว่าป็นนักบุญ
Saint
หลังจากท่านมตะไปแล้วเพียง 4 ปีตอนวัย 33 ปี
Galgano Guidotti เกิดในปี 1148 ที่หมู่บ้าน
Chiusdino
ในช่วงวัยรุ่น ท่านใช้ชีวิตแบบคนเสเพลและเป็นเครื่องจักรสังหาร
ท่านกลายเป็นอัศวินและผ่านการฝึกฝนด้านศิลปะการรบ
ท่านมีความเย่อหยิ่งและเป็นแกนนำพวกอันธพาลในท้องถิ่น
จนกระทั่ง อัครทูตสวรรค์ Michael ได้ปรากฏตัวต่อหน้าท่าน
และแสดงอัศจรรย์ให้ท่านเห็นถึงหนทางสู่ความรอดมีชีวิตในสรวงสวรรค์
หลังจากท่านบอกลาขออโหสิกับทุกคนเท่าที่ทำได้แล้ว
ในวันต่อมา ม้าศึกของ Galgano Guidotti ไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งท่านอีกแล้ว
วิ่งควบนำท่านไปนอกเส้นทางจนฝุ่นตลบขึ้นไปบนเนินเขา Montesiepi
ณ ที่นั่น ท่านได้พบกับพระเยซู พระแม่มารี กับอัครสาวก 12 คน
เรื่องราวมหัศจรรย์นี้ทำให้ท่านเกิดศรัทธามากยิ่งขึ้น
ทำให้ Galgano Guidotti ตัดสินใจลดละเลิกชีวิตเลวร้ายในอดีต
มีเสียงบัญชาจากอัครทูตสวรรค์
บอกให้ท่านสละข้าวของท่านทั้งหมด
และให้นำดาบฝังลงในก้อนหิน
ในตอนแรก Galgano Guidotti ไม่เชื่อเรื่องนี้
แต่เพื่อพิสูจน์ความมหัศจรรย์ที่เทวดาจะมอบให้
ท่านจึงแทงดาบลงบนก้อนหินทันที
ท่านต้องประหลาดใจอย่างมากทีเดียว
เพราะดาบของท่านทะลุผ่านก้อนหินได้อย่างง่ายดาย
เหมือนการเสียบดาบลงบนก้อนเนยแข็งขนาดใหญ่
Galgano Guidotti จึงเกิดความเชื่อและศรัทธาทันที
ท่านจึงพำนักพักอาศัยและสร้างอาศรมบนเนินเขาแห่งนั้น
และดำรงตนเป็นนักพรตที่ต่ำต้อยและยากจน
ท่านไม่เคยเดินทางออกจากบริเวณเนินเขาที่อยู่อาศัยเลย
ท่านยังชีพอยู่ด้วยพิชผักผลไม้และสัตว์ป่าละแวกนั้น
ในบางครั้งก็ได้รับอาหารจากชาวบ้านที่มาขอคำอวยพร
ท่านยังมีฝูงหมาป่าห้อมล้อมคุ้มกันภัยให้ท่าน
มีครั้งหนึ่ง ซาตานได้เข้าสิงบาทหลวงที่ชั่วร้าย
เพื่อจะลอบเข้าไปฆ่าท่านในอาศรม
แต่ฝูงหมาป่าได้ช่วยชีวิตท่านไว้
แล้วกัดกินเลือดเนื้อกระดูกศัตรูของท่าน
บางตำนานเล่าว่า Galgano Guidotti
ต้องการจะสร้างไม้กางเขนบนเนินเขา
แต่บริเวณรอบ ๆ ไม่มีต้นไม้อยู่เลย
ท่านจึงตัดสินใจฝังดาบลงบนพื้นหิน
เพื่อแทนไม้กางเขนสัญลักษณ์ศาสนาคริสต์
ดาบเล่มนี้จึงโผล่ขึ้นมาเหนือพื้นหิน
และยังไม่มีใครสามารถดึงออกได้
ชาวบ้านมักจะมีตำนานความเชื่อกันว่า
ใครก็ตามที่พยายามจะดึงดาบเล่มนี้ออกมา
จะต้องสูญเสียแขนข้างที่ดึงดาบเล่มนี้ในภายหลัง
หมายเหตุ
บาทหลวงคริสตศาสนายิงนกตกปลาได้
ถ้านำมากินเป็นอาหาร ถือว่าไม่บาปแต่ประการใด
มีใน
โลกใบเล็กของหลวงพ่อดอน คามิลโล
เรื่องนี้น่าจะเป็นที่มาของ สมภารกร่าง กับ วัดไผ่แดง
ที่ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้แรงบันดาลใจแต่งขึ้นมาในภายหลัง
ที่โรงเรียนแคทอลิค(แสงทองวิทยา)
สมัยผมยังเป็นนักเรียนชั้นประถมหลายปีก่อน
ก็ยังเคยเห็นบาทหลวงชาวไทย/ฝรั่งอิตาลี
ใช้ปืนลมยิงนกพิราบแถวสนามฟุตบอล
เพื่อให้แม่ครัวโรงเรียนนำไปทำเป็นอาหาร
What is Ground Penetrating Radar (GPR)? And how does it work?
Galgano Guidotti มตะในปี 1181 ตอนอายุได้ 33 ปี
หลังจากนั้นอีก 4 ปีต่อมา มีการจัดพิธีศพของท่านอย่างยิ่งใหญ่
โดยหัวหน้าบาทหลวง และนักบวชนิกาย
Cistercian 3 รูป
ต่อมามีรูปหนึ่งหายสาบสูญไปช่วงเดินทางไปยัง Rome
ในปีต่อมา หัวหน้าบาทหลวง Bishop of Volterra
ได้มอบ Monte Siepi ให้กับคณะบาทหลวง Cistercian
เพื่อสร้างอนุสรณ์สถานให้กับ Galgano Guidotti
พวกท่านจึงลงมือสร้างอารามในปี 1185
โบสถ์ที่เรียกกันว่า
La Cappella di San Galgano a Montesiepi บนเนินเขา
โดยมีดาบบนแท่นหินเป็นหมุดหมายสำคัญของโบสถ์
La Cappella San Galgano a Montesiepi ล้อมรอบไปด้วยทัศนียภาพที่งดงาม
อาคารข้างเคียงก็มีการสร้างอย่างสวยงามและเป็นระเบียย
ส่วนกระดูกของ Galgano Guidotti กระจัดกระจายหายไป
เพราะมีเส้นผมสีทองงอกจากศีรษะของท่านหลังตายไปแล้วหลายปี
ยังมีการฝังเส้นผมและกระดูกแขนของท่านที่ด้านหนึ่งของโบสถ์
ส่วนเศษกระดูกแขนบาทหลวงศัตรูที่จะมาลอบฆ่าท่าน
ที่มีรอยกัดเคี้ยวของฝูงหมาป่าก็ถูกฝังที่อีกด้านหนึ่งของโบสถ์
ศีรษะของ Saint Galgano Guidotti ถูกนำไปเก็บรักษาไว้ที่
Museo dell'Opera del Duomo ใน Siena
เพราะสาเหตุที่มีนักแสวงบุณย์จำนวนมากมาที่นี่
คณะบาทหลวงนิกาย Cistercians จึงได้สร้างอารามอีกแห่ง
ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก เป็นอาคารงานศิลปะ Gothic ที่งดงามมากใน Italy
และเป็นหนึ่งในอาคารสองแห่งของนิกาย Cistercians ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
ทำให้ต่อมา คณะบาทหลวงนิกายนี้ทรงอำนาจอิทธิพลและเป็นที่ศรัทธาอย่างมาก
บาทหลวงจาก San Galgano จึงกลายเป็นหัวหน้าบาทหลวงระดับสูงในนครรัฐ Tuscany
ในศตวรรษที่ 14 โบสถ์แบบ Gothic
มีการสร้างเสริมเข้าไปด้านข้าง
เลียนแบบศิลปะ Romanesque Cappella
ในศตวรรษที่ 18 บ้านพักบาทหลวง
ก็มีการเสริมเพิ่มเข้าไปด้วย
ยังมี จิตรกรรมที่เขียนบนปูนเปียกของ
Ambrogio Lorenzetti
จิตรกรที่มีชื่อเสียงมากในยุคกลาง
วาดภาพ Galgano Guidotti ฝังดาบลงในหิน
ตามคำบัญชาของ Saint Michael
ในปี 1397 โบสถ์แห่งนี้กลายเป็นอารามร้าง
เพราะถูกปล้นทรัพย์สินภายในเท่าที่จะขนไปได้
โดย Sir
John Hawkwoodกับ
White Company
ผู้นำกองทหารรับจ้างที่มีชื่อเสียโด่งดังมากจากเรื่องชั่วร้ายต่าง ๆ
มีหลายยุคที่อังกฤษจ้างพวกโจรสลัดไปปล้นประเทศต่าง ๆ
หลาย ๆ ชาติเลยเลียนแบบบ้างแบบกลัวขาดทุน
อารามแห่งนี้จึงมีทั้งการบูรณะและมีทั้งความเสื่อมโทรม
สืบต่อ ๆ กันมาอีกหลายศตวรรษ
หลงเหลือแต่สภาพปรักหักพังอย่างที่เห็นและเป็นอยู่ในทุกวันนี้
นับเป็นเวลาหลายศตวรรษแล้ว
มีหลายคนเชื่อกันว่า ดาบเล่มนี้เป็นของปลอม
แต่มีผลการวิเคราะห์เนื้อโลหะ
โดย Luigi Garlaschelli จาก
University of Pavia
ยืนยันความเก่าแก่ของดาบเล่มนี้
และเป็นดาบเหล็กจริงแท้แน่นอน
ดาบเล่มนี้ที่โผล่ขึ้นมาทำจากเหล็ก
ความยาวดาบถึงโกร่งดาบ(กั้นมือ) 144 มิลลิเมตร
ความยาวทั้งหมด 172 มิลลิเมตร
ความกว้างใบมีด 43 มิลลิเมตร
โกร่งดาบทำจากไม้เนื้อแข็ง
ยังมีการพบดาบแบบเดียวกันในปี 1173
(ราวศตวรรษที่ 12 ซึ่งเป็นยุคเดียวกัน)
พบว่าใกล้กับ Bury St. Edmunds ในอังกฤษ
มีคำบรรยายว่า Records of the Medieval Sword ในปี 2001
ส่วนผลการวิเคราะห์จาก
Ground-penetrating radar
ยืนยันว่าใต้ดาบเล่มนี้ มีโพรงหินขนาดใหญ่
กว้างราว 1 เมตร ยาวราว 2 เมตร
คาดว่าเดิมเป็นถ้ำ/ที่ฝังศพของ Galgano Guidotti
"
มีการถกเถียงกันว่า
ตำนานของ Saint Galgano Guidotti
ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับตำนานยุคกลาง
เกี่ยวกับ King Arthur และ Sword in the Stone
เพราะเรื่องเล่าของ Saint Galgano Guidotti
แพร่หลายไปทั่วทั้งยุโรป
และเรื่องที่น่าสนใจที่มีคนตั้งข้อสังเกตก็คือ
เรื่อง King Arthur ดึงดาบ Excalibur ออกจากก้อนหิน
(หรือออกจากทั่งเหล็กที่ฝังอยู่บนก้อนหิน)
ปรากฏขึ้นครั้งแรกในช่วงหลายสิบปี
หลังจากเรื่องราว Saint Galgano Guidotti แพร่หลาย
ในบทกวีชาวฝรั่งเศส Burgundian โดย Robert de Boron "
Björn Hellqvist ผู้ค้นคว้าให้สัมภาษณ์
อนึ่ง หลังจากตำนาน Galgano Guidotti แพร่หลาย
มีงานเขียนเกี่ยวกับเรื่องราวตำนานของท่าน
ตำนานอัศวินผู้ชนะใจตนเองในการต่อสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ โดย
Chretien de Troyes' Perceval (1190)
และ Wolfram von Eschenbach's Parzival (c. 1220)
เรียยเรียง/ที่มา
https://bit.ly/1WOQVJI
https://bbc.in/2CPTF6e
https://bit.ly/1W1qQGh
https://bit.ly/2P6CFOI
https://bit.ly/2CkbDwC
Galgano Guidotti กับดาบที่ผังแน่นบนแท่นหิน
Cappella di San Galgano in Montesiepi where is located the real Sword in the stone
The sword of Galgano Guidotti, embedded in stone. Photo credit: lkonya / Shutterstock.com
ตำนาน King Arthur ดึงดาบ Excalibur จากก้อนหิน
การที่พระองค์ทรงดึงดาบขึ้นจากก้อนหินได้
แสดงว่าพระองค์ทรงสิทธิ์ในการสืบราชสมบัติ
มีในตำนานนิทานพระเจ้าอาเธอร์กับอัศวินโต๊ะกลมของอังกฤษ
แต่มีเรื่องจริงที่อิตาลี
ในอารามแคว้น Tuscan
ที่ La Rotonda di Montesiepi
มีดาบเล่มหนึ่งฝังแน่นอยู่บนก้อนหิน
ดาบที่ยังฉายประกายคมดาบกับด้ามดาบเพียงไม่กี่นิ้ว
ยังคงตั้งอยู่ที่โบสถ์ San Galgano ใน La Rotonda di Montesiepi
ระยะทางราว 30 กิโลเมตรห่างจากเมือง Siena
ตำนานเริ่มต้นที่นี่
ดาบเล่มนี้ถูกฝังลงแน่นในก้อนหินโดย Galgano Guidotti
อัศวินบุตรขุนนางในศตวรรษที่ 12 ของนครรัฐ Tuscan
หลังจากท่านพบเห็นการปรากฎตัวของอัครทูตสวรรค์ Michael
บอกให้ท่านละทิ้งชีวิตเสเพลและการเป็นเครื่องจักรสังหาร
เข้าสู่ร่มกาสาวพัตสร์คริสตศาสนา
ในวันรุ่งขึ้น ท่านจึงตัดสินใจทำตามคำบอกเล่าของอัครทูตสวรรค์
ท่านเดินบอกเพื่อนผองน้องพี่กับญาติ ๆ ของท่านว่า
ท่านจะไปเป็นนักพรตบำเพ็ญบุณย์กุศลและอยู่ในถ้ำ/ป่าเขา
ทุกคนต่างหัวเราะเยาะเย้ยท่าน หาว่าท่านบ้าไปแล้ว
แต่ Dionisia แม่ของท่านมอบเสื้อผ้าชุดที่หรูหรามากที่สุดให้กับท่าน
เพื่อให้ท่านแต่งเสื้อผ้าชุดนี้เดินทางไปบอกลาคู่หมั้นของท่าน
และต่อมาท่านได้รับการประกาศว่าป็นนักบุญ Saint
หลังจากท่านมตะไปแล้วเพียง 4 ปีตอนวัย 33 ปี
Galgano Guidotti เกิดในปี 1148 ที่หมู่บ้าน Chiusdino
ในช่วงวัยรุ่น ท่านใช้ชีวิตแบบคนเสเพลและเป็นเครื่องจักรสังหาร
ท่านกลายเป็นอัศวินและผ่านการฝึกฝนด้านศิลปะการรบ
ท่านมีความเย่อหยิ่งและเป็นแกนนำพวกอันธพาลในท้องถิ่น
จนกระทั่ง อัครทูตสวรรค์ Michael ได้ปรากฏตัวต่อหน้าท่าน
และแสดงอัศจรรย์ให้ท่านเห็นถึงหนทางสู่ความรอดมีชีวิตในสรวงสวรรค์
หลังจากท่านบอกลาขออโหสิกับทุกคนเท่าที่ทำได้แล้ว
ในวันต่อมา ม้าศึกของ Galgano Guidotti ไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งท่านอีกแล้ว
วิ่งควบนำท่านไปนอกเส้นทางจนฝุ่นตลบขึ้นไปบนเนินเขา Montesiepi
ณ ที่นั่น ท่านได้พบกับพระเยซู พระแม่มารี กับอัครสาวก 12 คน
เรื่องราวมหัศจรรย์นี้ทำให้ท่านเกิดศรัทธามากยิ่งขึ้น
ทำให้ Galgano Guidotti ตัดสินใจลดละเลิกชีวิตเลวร้ายในอดีต
มีเสียงบัญชาจากอัครทูตสวรรค์
บอกให้ท่านสละข้าวของท่านทั้งหมด
และให้นำดาบฝังลงในก้อนหิน
ในตอนแรก Galgano Guidotti ไม่เชื่อเรื่องนี้
แต่เพื่อพิสูจน์ความมหัศจรรย์ที่เทวดาจะมอบให้
ท่านจึงแทงดาบลงบนก้อนหินทันที
ท่านต้องประหลาดใจอย่างมากทีเดียว
เพราะดาบของท่านทะลุผ่านก้อนหินได้อย่างง่ายดาย
เหมือนการเสียบดาบลงบนก้อนเนยแข็งขนาดใหญ่
Galgano Guidotti จึงเกิดความเชื่อและศรัทธาทันที
ท่านจึงพำนักพักอาศัยและสร้างอาศรมบนเนินเขาแห่งนั้น
และดำรงตนเป็นนักพรตที่ต่ำต้อยและยากจน
ท่านไม่เคยเดินทางออกจากบริเวณเนินเขาที่อยู่อาศัยเลย
ท่านยังชีพอยู่ด้วยพิชผักผลไม้และสัตว์ป่าละแวกนั้น
ในบางครั้งก็ได้รับอาหารจากชาวบ้านที่มาขอคำอวยพร
ท่านยังมีฝูงหมาป่าห้อมล้อมคุ้มกันภัยให้ท่าน
มีครั้งหนึ่ง ซาตานได้เข้าสิงบาทหลวงที่ชั่วร้าย
เพื่อจะลอบเข้าไปฆ่าท่านในอาศรม
แต่ฝูงหมาป่าได้ช่วยชีวิตท่านไว้
แล้วกัดกินเลือดเนื้อกระดูกศัตรูของท่าน
บางตำนานเล่าว่า Galgano Guidotti
ต้องการจะสร้างไม้กางเขนบนเนินเขา
แต่บริเวณรอบ ๆ ไม่มีต้นไม้อยู่เลย
ท่านจึงตัดสินใจฝังดาบลงบนพื้นหิน
เพื่อแทนไม้กางเขนสัญลักษณ์ศาสนาคริสต์
ดาบเล่มนี้จึงโผล่ขึ้นมาเหนือพื้นหิน
และยังไม่มีใครสามารถดึงออกได้
ชาวบ้านมักจะมีตำนานความเชื่อกันว่า
ใครก็ตามที่พยายามจะดึงดาบเล่มนี้ออกมา
จะต้องสูญเสียแขนข้างที่ดึงดาบเล่มนี้ในภายหลัง
หมายเหตุ
บาทหลวงคริสตศาสนายิงนกตกปลาได้
ถ้านำมากินเป็นอาหาร ถือว่าไม่บาปแต่ประการใด
มีใน โลกใบเล็กของหลวงพ่อดอน คามิลโล
เรื่องนี้น่าจะเป็นที่มาของ สมภารกร่าง กับ วัดไผ่แดง
ที่ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้แรงบันดาลใจแต่งขึ้นมาในภายหลัง
ที่โรงเรียนแคทอลิค(แสงทองวิทยา)
สมัยผมยังเป็นนักเรียนชั้นประถมหลายปีก่อน
ก็ยังเคยเห็นบาทหลวงชาวไทย/ฝรั่งอิตาลี
ใช้ปืนลมยิงนกพิราบแถวสนามฟุตบอล
เพื่อให้แม่ครัวโรงเรียนนำไปทำเป็นอาหาร
What is Ground Penetrating Radar (GPR)? And how does it work?
Galgano Guidotti มตะในปี 1181 ตอนอายุได้ 33 ปี
หลังจากนั้นอีก 4 ปีต่อมา มีการจัดพิธีศพของท่านอย่างยิ่งใหญ่
โดยหัวหน้าบาทหลวง และนักบวชนิกาย Cistercian 3 รูป
ต่อมามีรูปหนึ่งหายสาบสูญไปช่วงเดินทางไปยัง Rome
ในปีต่อมา หัวหน้าบาทหลวง Bishop of Volterra
ได้มอบ Monte Siepi ให้กับคณะบาทหลวง Cistercian
เพื่อสร้างอนุสรณ์สถานให้กับ Galgano Guidotti
พวกท่านจึงลงมือสร้างอารามในปี 1185
โบสถ์ที่เรียกกันว่า La Cappella di San Galgano a Montesiepi บนเนินเขา
โดยมีดาบบนแท่นหินเป็นหมุดหมายสำคัญของโบสถ์
La Cappella San Galgano a Montesiepi ล้อมรอบไปด้วยทัศนียภาพที่งดงาม
อาคารข้างเคียงก็มีการสร้างอย่างสวยงามและเป็นระเบียย
ส่วนกระดูกของ Galgano Guidotti กระจัดกระจายหายไป
เพราะมีเส้นผมสีทองงอกจากศีรษะของท่านหลังตายไปแล้วหลายปี
ยังมีการฝังเส้นผมและกระดูกแขนของท่านที่ด้านหนึ่งของโบสถ์
ส่วนเศษกระดูกแขนบาทหลวงศัตรูที่จะมาลอบฆ่าท่าน
ที่มีรอยกัดเคี้ยวของฝูงหมาป่าก็ถูกฝังที่อีกด้านหนึ่งของโบสถ์
ศีรษะของ Saint Galgano Guidotti ถูกนำไปเก็บรักษาไว้ที่
Museo dell'Opera del Duomo ใน Siena
เพราะสาเหตุที่มีนักแสวงบุณย์จำนวนมากมาที่นี่
คณะบาทหลวงนิกาย Cistercians จึงได้สร้างอารามอีกแห่ง
ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก เป็นอาคารงานศิลปะ Gothic ที่งดงามมากใน Italy
และเป็นหนึ่งในอาคารสองแห่งของนิกาย Cistercians ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
ทำให้ต่อมา คณะบาทหลวงนิกายนี้ทรงอำนาจอิทธิพลและเป็นที่ศรัทธาอย่างมาก
บาทหลวงจาก San Galgano จึงกลายเป็นหัวหน้าบาทหลวงระดับสูงในนครรัฐ Tuscany
ในศตวรรษที่ 14 โบสถ์แบบ Gothic
มีการสร้างเสริมเข้าไปด้านข้าง
เลียนแบบศิลปะ Romanesque Cappella
ในศตวรรษที่ 18 บ้านพักบาทหลวง
ก็มีการเสริมเพิ่มเข้าไปด้วย
ยังมี จิตรกรรมที่เขียนบนปูนเปียกของ Ambrogio Lorenzetti
จิตรกรที่มีชื่อเสียงมากในยุคกลาง
วาดภาพ Galgano Guidotti ฝังดาบลงในหิน
ตามคำบัญชาของ Saint Michael
ในปี 1397 โบสถ์แห่งนี้กลายเป็นอารามร้าง
เพราะถูกปล้นทรัพย์สินภายในเท่าที่จะขนไปได้
โดย Sir John Hawkwoodกับ White Company
ผู้นำกองทหารรับจ้างที่มีชื่อเสียโด่งดังมากจากเรื่องชั่วร้ายต่าง ๆ
มีหลายยุคที่อังกฤษจ้างพวกโจรสลัดไปปล้นประเทศต่าง ๆ
หลาย ๆ ชาติเลยเลียนแบบบ้างแบบกลัวขาดทุน
อารามแห่งนี้จึงมีทั้งการบูรณะและมีทั้งความเสื่อมโทรม
สืบต่อ ๆ กันมาอีกหลายศตวรรษ
หลงเหลือแต่สภาพปรักหักพังอย่างที่เห็นและเป็นอยู่ในทุกวันนี้
นับเป็นเวลาหลายศตวรรษแล้ว
มีหลายคนเชื่อกันว่า ดาบเล่มนี้เป็นของปลอม
แต่มีผลการวิเคราะห์เนื้อโลหะ
โดย Luigi Garlaschelli จาก University of Pavia
ยืนยันความเก่าแก่ของดาบเล่มนี้
และเป็นดาบเหล็กจริงแท้แน่นอน
ดาบเล่มนี้ที่โผล่ขึ้นมาทำจากเหล็ก
ความยาวดาบถึงโกร่งดาบ(กั้นมือ) 144 มิลลิเมตร
ความยาวทั้งหมด 172 มิลลิเมตร
ความกว้างใบมีด 43 มิลลิเมตร
โกร่งดาบทำจากไม้เนื้อแข็ง
ยังมีการพบดาบแบบเดียวกันในปี 1173
(ราวศตวรรษที่ 12 ซึ่งเป็นยุคเดียวกัน)
พบว่าใกล้กับ Bury St. Edmunds ในอังกฤษ
มีคำบรรยายว่า Records of the Medieval Sword ในปี 2001
ส่วนผลการวิเคราะห์จาก Ground-penetrating radar
ยืนยันว่าใต้ดาบเล่มนี้ มีโพรงหินขนาดใหญ่
กว้างราว 1 เมตร ยาวราว 2 เมตร
คาดว่าเดิมเป็นถ้ำ/ที่ฝังศพของ Galgano Guidotti
" มีการถกเถียงกันว่า
ตำนานของ Saint Galgano Guidotti
ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับตำนานยุคกลาง
เกี่ยวกับ King Arthur และ Sword in the Stone
เพราะเรื่องเล่าของ Saint Galgano Guidotti
แพร่หลายไปทั่วทั้งยุโรป
และเรื่องที่น่าสนใจที่มีคนตั้งข้อสังเกตก็คือ
เรื่อง King Arthur ดึงดาบ Excalibur ออกจากก้อนหิน
(หรือออกจากทั่งเหล็กที่ฝังอยู่บนก้อนหิน)
ปรากฏขึ้นครั้งแรกในช่วงหลายสิบปี
หลังจากเรื่องราว Saint Galgano Guidotti แพร่หลาย
ในบทกวีชาวฝรั่งเศส Burgundian โดย Robert de Boron " Björn Hellqvist ผู้ค้นคว้าให้สัมภาษณ์
อนึ่ง หลังจากตำนาน Galgano Guidotti แพร่หลาย
มีงานเขียนเกี่ยวกับเรื่องราวตำนานของท่าน
ตำนานอัศวินผู้ชนะใจตนเองในการต่อสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ โดย
Chretien de Troyes' Perceval (1190)
และ Wolfram von Eschenbach's Parzival (c. 1220)
เรียยเรียง/ที่มา
https://bit.ly/1WOQVJI
https://bbc.in/2CPTF6e
https://bit.ly/1W1qQGh
https://bit.ly/2P6CFOI
https://bit.ly/2CkbDwC
Saint Galgano's sword embedded in stone in Montesiepi's Hermitage. Photo credit: lkonya / Shutterstock.com
Hermitage of Montesiepi. Photo credit: lkonya / Shutterstock.com