สวัสดีครับพี่ ป้า น้า อา แห่งห้องคนบ้ามือหมุนที่เคารพรักทั่วโลก
ถึงแม้ว่าช่วงเวลาปัจจุบันห้องมือหมุนแห่งนี้ได้กลายสภาพเป็น
“ห้องร้าง” เกือบจะถาวรบนโลกออนไลน์ไปแล้ว
แต่ผมก็เชื่อว่าคงมีสมาชิกบางท่านได้แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมเยียนบ้างเป็นครั้งคราว ตามแต่สะดวกและตามแต่จิตศรัทธา
อย่างไรก็ตาม การฝังภาพไว้ในห้องมือหมุนแห่งนี้ยังคงพอจะมีประโยชน์แก่บรรดา
“สมาชิกขาจร” อยู่บ้าง
ในการติดตามข้อมูลของเลนส์บางตัวที่อาจเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อ
เป็นข้อมูลที่มิได้มีเป้าหมายในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เพื่อมุ่งหวังผลประโยชน์ทางการค้า
ส่วนจะถือเป็นการ
“ป้ายยา” หรือไม่ ก็แล้วแต่วิจารณญานของแต่ละบุคคลครับ
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีโอกาสพาครอบครัวไปเที่ยวหัวหิน
(อีกแล้ว) ตามวาระปีละสองครั้ง
โดยครั้งนี้ก่อนที่จะเข้าสู่ตัวเมืองหัวหินนั้น ได้แวะเข้าไปที่เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน
ตามคำแนะนำของน้าพี ชายหนุ่มผู้หลงใหลการใช้ชีวิตหลังลูกกรงสแตนเลสวันละแปดชั่วโมง
ซึ่งมันตั้งอยู่ในบริเวณค่ายพระรามหก ก่อนถึงตัวอำเภอประมาณสิบนาทีครับ
สภาพอากาศตอนนั้นมันค่อนข้างร้อนแล้วครับ เพราะเป็นเวลาบ่ายต้นๆ
ทำให้ลูกชายไม่มีอารมณ์เดินศึกษาธรรมชาติเท่าไรนัก
หมดอารมณ์มองหาปูก้ามดาบ หมดอารมณ์ดูปลาตีน ฯลฯ จึงได้รูปมาไม่มาก
หลังจากนั้นก็ไปพักผ่อนดูการ์ตูนในห้องพัก รอเวลาเล่นน้ำทะเลไปตามเรื่องตามราวครับ
ซึ่งช่วงเวลาที่ผมไปนั้นน้ำทะเลใสมากครับ ใสแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน
ลงไปแช่น้ำทะเลในระดับลึกเท่าหน้าอก แต่กลับสามารถมองเห็นปลายเล็บเท้าที่อยู่ใต้น้ำได้อย่างชัดเจน
แต่บริเวณหาดทรายกลับเต็มไปด้วยเศษขยะ แต่เป็นขยะธรรมชาตินะครับ
เช่นพวกเศษใบไม้ กิ่งไม้ ลูกมะพร้าว แม้แต่ต้นกล้วยทั้งต้นยังลอยมาเกยชายหาดเลย
เข้าใจว่าก่อนหน้านั้นไม่นานฝนคงตกหนัก ทำให้เศษขยะธรรมชาติเหล่านั้นคงลอยมาจากคลองเล็กๆละแวกนั้นนั่นแหละ
ตกเย็นก็ไปกินอาหารในตลาดโต้รุ่ง มีภาพมาให้ชมกันเล็กน้อย
วันรุ่งขึ้นถือโอกาสไปเที่ยว
“น้ำตกป่าละอู” ซึ่งสมัยก่อนเมื่อสักยี่สิบปีที่แล้วต้องขับโฟร์วีลไดรฟ์เข้าไปเท่านั้น
แต่สมัยนี้การเดินทางสะดวกสบาย ถนนดี ดนตรีไพเราะ อีโคคาร์คันเล็กๆก็วิ่งมาถึงได้สบายๆ
ห่างจากตัวเมืองหัวหินเพียง 60 กิโลเมตร ใช้เวลาราวๆหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น
ป่าละอูในปัจจุบัน จึงเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ที่มาแบบเป็นคู่และแบบครอบครัวที่นิยมเข้าไปเดินป่าสูดอากาศ
เข้าไปเล่นน้ำ หรือเข้าไปถ่ายรูปแล้วแชร์ในโลกออนไลน์ให้เพื่อนๆอิจฉา
แต่เชื่อว่าคงไม่มีใครเข้าไปล่าเสือดำ หรือล่าน้องหมีขอมาทำอาหารเที่ยงกินกับข้าวเหนียวกันหรอก HA HA HA!!!
ระหว่างทางไปป่าละอูก็จะมีป้ายเตือนนักท่องเที่ยวห้ามให้อาหารช้างเด็ดขาดครับ
เพราะมันอันตราย อาจหมายถึงไม่ได้กลับบ้านโดยไม่รู้ตัว เพราะเป็นช้างป่า ไม่ใช่ช้างในสวนสัตว์
และเราก็จะสามารถพบเห็นหลักฐานการมีอยู่จริงของพวกพี่ๆช้างป่าเขาครับ
มันคือ
“กองขี้” แบบสดๆอุ่นๆวางตัวเรียงรายอยู่สองข้างทางเป็นระยะๆ
ผมได้แต่ภาวนาขออย่าได้พบเจอพวกพี่ๆเขากลางป่าแบบนี้เลย
ถ้าอยากจะเจอ ผมไปหาพี่ๆเขาได้ที่ฟาร์มจรเข้สามพรานจะดีกว่า HA HA HA!!!
เสร็จจากป่าละอู ก็กลับมานั่งๆนอนๆรอเวลาเล่นน้ำทะเลกับลูกชายตามระเบียบ
ทริปนี้พกเลนส์ไป 4 ตัวครับ เป็นเลนส์ที่บังเอิญซื้อมาเก็บไว้งั้นๆ
เนื่องจากมีใครบางคนทำล๊อตเตอรี่หล่นเอาไว้หน้าบ้าน
ปรากฎว่ามันถูกรางวัลที่สาม ผมเลยเอาไปขึ้นเงินรางวัลที่กองสลาก โดยไม่มีผู้ใดมาแจ้งความร้องทุกข์
และเอาเงินที่ได้ไปซื้อหา
Leitz Wetzlar มาประดับบารมีเล่นๆสักสี่ตัวก็พอ HA HA HA!!!
Leitz Elmar 3.5/3.5cm ปี 1939
Leitz Summitar 2/5cm ปี 1948
Leitz Elmar 4/9cm ปี 1948
Leitz Hektor 4.5/135 ปี 1958
ซึ่งผมมีแต่ภาพมาให้ชมกันอย่างเพลิดเพลินครับ
แต่ไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับคุณภาพหรือคาแรคเตอร์ของเลนส์แบรนด์นี้
เพราะอากู๋ของเพื่อนผม ซึ่งเป็นช่างภาพอาชีพยุคสี่สิบปีก่อน
แกเป็นเซียนไลก้าขนานแท้ แกเคยบอกผมเอาไว้เมื่อครั้งถ่ายภาพรับงานใหม่ๆเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนว่า
อย่าได้ถามว่าเลนส์ไลก้ารุ่นเก่าๆ สไตล์ดึกดำบรรพ์มันฟุ้งหรือเปล่า มันคมแค่ไหน
สีสันมันยอดเยี่ยมหรือไม่ หรือว่ามันคุ้มค่าแก่การลงทุนเสียกะตังค์หรือเปล่า
เพราะถ้าหากจะเล่นกับแบรนด์หรูสุดเก่าแก่แบรนด์นี้ ก็ไม่ต้องเสียเวลาคิดมากครับ
เพราะมันคือไลก้า
ขอให้มีความสุข เดินทางด้วยความไม่ประมาทเสมอครับ
สวัสดี!!!
LEITZ WETZLAR @ Hua-Hin!!!
ถึงแม้ว่าช่วงเวลาปัจจุบันห้องมือหมุนแห่งนี้ได้กลายสภาพเป็น “ห้องร้าง” เกือบจะถาวรบนโลกออนไลน์ไปแล้ว
แต่ผมก็เชื่อว่าคงมีสมาชิกบางท่านได้แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมเยียนบ้างเป็นครั้งคราว ตามแต่สะดวกและตามแต่จิตศรัทธา
อย่างไรก็ตาม การฝังภาพไว้ในห้องมือหมุนแห่งนี้ยังคงพอจะมีประโยชน์แก่บรรดา “สมาชิกขาจร” อยู่บ้าง
ในการติดตามข้อมูลของเลนส์บางตัวที่อาจเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อ
เป็นข้อมูลที่มิได้มีเป้าหมายในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เพื่อมุ่งหวังผลประโยชน์ทางการค้า
ส่วนจะถือเป็นการ “ป้ายยา” หรือไม่ ก็แล้วแต่วิจารณญานของแต่ละบุคคลครับ
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีโอกาสพาครอบครัวไปเที่ยวหัวหิน (อีกแล้ว) ตามวาระปีละสองครั้ง
โดยครั้งนี้ก่อนที่จะเข้าสู่ตัวเมืองหัวหินนั้น ได้แวะเข้าไปที่เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน
ตามคำแนะนำของน้าพี ชายหนุ่มผู้หลงใหลการใช้ชีวิตหลังลูกกรงสแตนเลสวันละแปดชั่วโมง
ซึ่งมันตั้งอยู่ในบริเวณค่ายพระรามหก ก่อนถึงตัวอำเภอประมาณสิบนาทีครับ
สภาพอากาศตอนนั้นมันค่อนข้างร้อนแล้วครับ เพราะเป็นเวลาบ่ายต้นๆ
ทำให้ลูกชายไม่มีอารมณ์เดินศึกษาธรรมชาติเท่าไรนัก
หมดอารมณ์มองหาปูก้ามดาบ หมดอารมณ์ดูปลาตีน ฯลฯ จึงได้รูปมาไม่มาก
หลังจากนั้นก็ไปพักผ่อนดูการ์ตูนในห้องพัก รอเวลาเล่นน้ำทะเลไปตามเรื่องตามราวครับ
ซึ่งช่วงเวลาที่ผมไปนั้นน้ำทะเลใสมากครับ ใสแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน
ลงไปแช่น้ำทะเลในระดับลึกเท่าหน้าอก แต่กลับสามารถมองเห็นปลายเล็บเท้าที่อยู่ใต้น้ำได้อย่างชัดเจน
แต่บริเวณหาดทรายกลับเต็มไปด้วยเศษขยะ แต่เป็นขยะธรรมชาตินะครับ
เช่นพวกเศษใบไม้ กิ่งไม้ ลูกมะพร้าว แม้แต่ต้นกล้วยทั้งต้นยังลอยมาเกยชายหาดเลย
เข้าใจว่าก่อนหน้านั้นไม่นานฝนคงตกหนัก ทำให้เศษขยะธรรมชาติเหล่านั้นคงลอยมาจากคลองเล็กๆละแวกนั้นนั่นแหละ
ตกเย็นก็ไปกินอาหารในตลาดโต้รุ่ง มีภาพมาให้ชมกันเล็กน้อย
วันรุ่งขึ้นถือโอกาสไปเที่ยว “น้ำตกป่าละอู” ซึ่งสมัยก่อนเมื่อสักยี่สิบปีที่แล้วต้องขับโฟร์วีลไดรฟ์เข้าไปเท่านั้น
แต่สมัยนี้การเดินทางสะดวกสบาย ถนนดี ดนตรีไพเราะ อีโคคาร์คันเล็กๆก็วิ่งมาถึงได้สบายๆ
ห่างจากตัวเมืองหัวหินเพียง 60 กิโลเมตร ใช้เวลาราวๆหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น
ป่าละอูในปัจจุบัน จึงเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ที่มาแบบเป็นคู่และแบบครอบครัวที่นิยมเข้าไปเดินป่าสูดอากาศ
เข้าไปเล่นน้ำ หรือเข้าไปถ่ายรูปแล้วแชร์ในโลกออนไลน์ให้เพื่อนๆอิจฉา
แต่เชื่อว่าคงไม่มีใครเข้าไปล่าเสือดำ หรือล่าน้องหมีขอมาทำอาหารเที่ยงกินกับข้าวเหนียวกันหรอก HA HA HA!!!
ระหว่างทางไปป่าละอูก็จะมีป้ายเตือนนักท่องเที่ยวห้ามให้อาหารช้างเด็ดขาดครับ
เพราะมันอันตราย อาจหมายถึงไม่ได้กลับบ้านโดยไม่รู้ตัว เพราะเป็นช้างป่า ไม่ใช่ช้างในสวนสัตว์
และเราก็จะสามารถพบเห็นหลักฐานการมีอยู่จริงของพวกพี่ๆช้างป่าเขาครับ
มันคือ “กองขี้” แบบสดๆอุ่นๆวางตัวเรียงรายอยู่สองข้างทางเป็นระยะๆ
ผมได้แต่ภาวนาขออย่าได้พบเจอพวกพี่ๆเขากลางป่าแบบนี้เลย
ถ้าอยากจะเจอ ผมไปหาพี่ๆเขาได้ที่ฟาร์มจรเข้สามพรานจะดีกว่า HA HA HA!!!
เสร็จจากป่าละอู ก็กลับมานั่งๆนอนๆรอเวลาเล่นน้ำทะเลกับลูกชายตามระเบียบ
ทริปนี้พกเลนส์ไป 4 ตัวครับ เป็นเลนส์ที่บังเอิญซื้อมาเก็บไว้งั้นๆ
เนื่องจากมีใครบางคนทำล๊อตเตอรี่หล่นเอาไว้หน้าบ้าน
ปรากฎว่ามันถูกรางวัลที่สาม ผมเลยเอาไปขึ้นเงินรางวัลที่กองสลาก โดยไม่มีผู้ใดมาแจ้งความร้องทุกข์
และเอาเงินที่ได้ไปซื้อหา Leitz Wetzlar มาประดับบารมีเล่นๆสักสี่ตัวก็พอ HA HA HA!!!
Leitz Elmar 3.5/3.5cm ปี 1939
Leitz Summitar 2/5cm ปี 1948
Leitz Elmar 4/9cm ปี 1948
Leitz Hektor 4.5/135 ปี 1958
ซึ่งผมมีแต่ภาพมาให้ชมกันอย่างเพลิดเพลินครับ
แต่ไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับคุณภาพหรือคาแรคเตอร์ของเลนส์แบรนด์นี้
เพราะอากู๋ของเพื่อนผม ซึ่งเป็นช่างภาพอาชีพยุคสี่สิบปีก่อน
แกเป็นเซียนไลก้าขนานแท้ แกเคยบอกผมเอาไว้เมื่อครั้งถ่ายภาพรับงานใหม่ๆเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนว่า
อย่าได้ถามว่าเลนส์ไลก้ารุ่นเก่าๆ สไตล์ดึกดำบรรพ์มันฟุ้งหรือเปล่า มันคมแค่ไหน
สีสันมันยอดเยี่ยมหรือไม่ หรือว่ามันคุ้มค่าแก่การลงทุนเสียกะตังค์หรือเปล่า
เพราะถ้าหากจะเล่นกับแบรนด์หรูสุดเก่าแก่แบรนด์นี้ ก็ไม่ต้องเสียเวลาคิดมากครับ
เพราะมันคือไลก้า
ขอให้มีความสุข เดินทางด้วยความไม่ประมาทเสมอครับ
สวัสดี!!!