บอกตรงๆ ไม่คิดว่าตัวเองจะมาตั้งกระทู้พันทิปเลยค่ะ อุตส่าห์แอบตามอยู่เงียบๆ มาหลายปี 555 แต่วันนี้จิตตกมาก ขออนุญาตใช้พื้นที่นะคะ
เจ้าของกระทู้เป็นผู้หญิงค่ะ เพศสภาพเป็นหญิงธรรมดา ไม่ใช่ทอม ไม่ห้าว และมีความเป็นชะนีในตัวพอดู
เอาง่ายๆ คือมีน้อยคนที่รู้รสนิยมทางเพศของเราค่ะ เพราะเรายังไม่กล้าเปิดเผยตัวตน 555
หลายปีมานี้โสดสนิท คนทั่วไปก็มองว่าเราเอาแต่เรียน แล้วก็ทำแต่งาน ทั้งที่จริงแล้วเราแอบชอบเพื่อนสนิทคนหนึ่งมาตลอดค่ะ ขอตั้งชื่อให้ว่าเพื่อนรัก เพื่อความเป็นสิริมงคล
เรารู้จักกับเพื่อนรักตั้งแต่ตอนม.ปลายจากการไปเข้าค่ายแห่งหนึ่ง ตอนแรกเราเห็นก็ปิ๊งทันที เขาดูออกเรียบร้อย หน้าหวานๆ เราก็ยิ้มๆ ให้เขา โดยไม่ได้มีจุดประสงค์ร้ายแอบแฝง (จริงๆ) แต่เพื่อนรักไม่ยิ้มตอบ แถมยังเบือนหน้าหนี 5555 โอย ณ ตอนนั้นแอบเซ็งค่ะ แต่ก็ไม่อะไรมาก ยังดีที่ฟ้าเบื้องบนเมตตา ทำให้เราสองคนได้อยู่กลุ่มเดียวกันระหว่างเข้าค่าย แล้วก็เป็นไปตามธรรมชาติของเด็กวัยรุ่นน่ะค่ะ... อย่า...อย่าคิดลึก คือเราหมายถึงเราได้กลายเป็นเพื่อนกัน แล้วก็สนิทกันเร็วมากๆ เหมือนจูนกันติดเร็ว ตอนหลังเขาถึงค่อยบอกเราว่า เขาสายตาสั้น มองไม่เห็นว่าเรายิ้มให้ โถ
หลังจบค่าย เราก็ติดต่อกันเรื่อยๆ ต่อให้อยู่กันคนโรงเรียน แต่ก็นัดเจอกันบ่อยมากค่ะ เรียนพิเศษที่เดียวกันบ้าง ไปดูหนัง กินข้าว คุยเรื่องอนาคต ทั้งสาระและไร้สาระ คือเจอกันอย่างน้อยเดือนละสองสามครั้งเป็นปกติ แล้วยิ่งเจอก็ยิ่งสนิท ยิ่งสนิทก็ยิ่งหวั่นไหว...
พอเข้ามหาลัยก็เรียนอยู่มอเดียวกันค่ะ แต่คนละคณะ... แห้ว เอ๊ย ยังไม่ถึงจุดนั้น
บอกตามตรงว่าเมื่อก่อนมีหลายครั้งที่จขกท.สงสัยตัวเองค่ะ แบบสับสนไม่แน่ใจว่า ชั้นเป็นอะไรของชั้น ชอบจริงๆ หรือแค่คิดไปเอง
ก่อนหน้านี้ เราเคยมีแค่แฟนที่เป็นทอมและเป็นผู้ชาย ดูเหมือนไม่เลือกใช่ไหมคะ 555 แต่สรุปกับแฟนเก่าทั้งสองคนก็เลิกรากันไปในเวลาไม่นานเพราะเราไม่ได้รักชอบพวกเขาจริงๆ และก่อนหน้าเพื่อนรักคนนี้ เราเคยรู้สึกชอบผู้หญิงมาก่อน แต่ด้วยความที่ไม่อยากยอมรับ ก็ปฏิเสธตัวเองไปหน้าด้านๆ แล้วก็ใส่หน้ากากชะนี้ชะนีต่อไป (พยายาม)
เราไม่เคยมีความสุขกับการอยู่กับใครเท่าเขาน่ะค่ะ ไลฟ์สไตล์ ทัศนคติคล้ายคลึงกันมาก แบบว่าเหมือนมีเรื่องให้คุยกันได้เรื่อยๆ หรือไม่ต้องคุยก็ได้ แค่อยู่ข้างๆ กันก็พอ บางทีก็ไปเที่ยวต่างจังหวัดกันสองคน แต่เพื่อนรักนางเป็นคนไม่ชอบวางแผน เราเลยเป็นคนจองตั๋ว จองที่พักอะไรเอง แล้วเราก็มักจงใจจองเตียงควีน/คิงไซส์ แบบที่ต้องนอนด้วยกัน แทนที่จะเป็นสองเตียง... รู้ตัวค่ะว่าไม่ถูก แต่นิดๆ หน่อยๆ... ฮือ จริงๆ ไปเที่ยวค้างคืนกันทีไร เรานอนไม่เคยหลับเลยค่ะ ทำตัวเอง 5555
ต่อมาเราไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศ ช่วงนั้นเราก็ยุ่งวุ่นวายกับการปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่ๆ ก็ไม่ค่อยได้คุยกับเขาเท่าไร แต่เราน่ะคิดถึงเขาเสมอ ปัญหาคือถ้าเราไม่ทักแชทไปก่อน เพื่อนรักก็จะไม่เคยทักมาก่อนเลยค่ะ... แห้ว
บางทีก็คิดไปถึงขั้นที่ว่า เราเข้าใจไปเองฝ่ายเดียวว่าเราสนิทกัน เพราะปกติก็เรียนคนละคณะ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็รักษาความสัมพันธ์แบบนี้มาเรื่อยๆ แล้วพอเรากลับไทย เพื่อนรักก็กลับมาเจอกันบ่อยๆ เหมือนเดิม ตอนเพิ่งกลับมาใหม่ๆ เจอกันครั้งแรก เราก็หน้าด้านเข้าไปกอดเขา ฉวยโอกาสทุกเม็ดค่ะ เขาก็กอดตอบ ยิ้มดีใจกันปกติ (แต่เราไม่ปกติค่ะ ใจเต้นแรงเว่อร์)
แต่วันนั้นมาพร้อมกับข่าวร้ายค่ะ คืออยู่ๆ นางก็บอกว่า... นางมีแฟนแล้วนะ
พีค... เวลาหนึ่งปีที่เราไปแลกเปลี่ยน อยู่ๆ ก็มีผู้ชายที่ไหนไม่รู้จีบเพื่อนรักเราไปเฉยเลยค่ะ จีบติดอีกต่างหาก... ณ ตอนนั้นคือร้องไห้หนักมากในใจ แต่หน้าน่ะต้องทำเป็นตื่นเต้นยินดี จริงดิแกรรรร... ตื่นเต้นเว่อร์
ช่วงนั้นโลกมันมืดๆ ไปหลายวัน กินข้าวไม่ค่อยลงเลยค่ะ ต่อให้ทำใจไว้นานแล้ว แต่พอมันเกิดขึ้นจริงก็เศร้าแปบ... ถึงยังงั้นชีวิตมันก็ต้องเดินหน้าต่อไป
ช่วงที่เขาเรียนจบ (แต่เรายังเรียนไม่จบ) หางาน เราเป็นห่วงเลยช่วยติดต่อหาคอนเนคชันจากญาติและเพื่อนๆ ที่รู้จักที่ทำงานสายที่เขาเรียนจบมา ช่วยเขาส่งเรซูเม่ให้ แล้วเพื่อนรักก็ได้งานทำค่ะ แต่เราเชื่อนะว่าเป็นเพราะความสามารถของเขาเป็นหลักน่ะแหละ
พอเขาจะสอบโทอิค เราก็ช่วยติวให้ เอาตรงๆ คือแค่อยากได้เวลาช่วงเย็นอยู่กับเขาบ่อยๆ บางทีนางก็ไม่มาติวตามนัดหรอกค่ะ... ถ้าชนกับนัดแฟน
เราก็อยู่แบบเจ็บๆ บ้าๆ คนเดียวไปพักใหญ่ จนช่วงหนึ่งได้คุยกับน้องผู้หญิงคนหนึ่ง กิ๊กๆ กันไปพักหนึ่ง พอทำให้ลืมเพื่อนรักไปได้บ้าง
แล้วอยู่ๆ เพื่อนรักก็เลิกกับแฟนหนุ่มของนาง
ที่จริงเราอยากตบหน้าตัวเองมากเลยค่ะ แต่พอรู้ข่าวนี้ผ่านทางไลน์ เรายิ้มไม่หุบเลย ทั้งที่ไลน์ตอบเขาไปว่า เสียใจด้วยนะแก แกโอเคมั้ย
คือนางคงไม่โอเค แต่เราโอเคมาก... บาปกรรม
แล้วเราก็เลิกคุยกับน้องผู้หญิงคนนั้น บาปที่สองมาเยือน เรายิ่งตัดใจไม่ได้ เหมือนเลี้ยงไข้ตัวเองไปเรื่อยๆ ไม่ยอมรักษา
พอเราเรียนจบ เพื่อนรักกลับบอกอยากออกจากงาน แล้วทีนี้เราเจอโปรแกรมอาสาสมัครที่ต่างประเทศ เราสนใจเลยสมัครไป พอเขารู้ก็อยากไปบ้าง เลยลาออกแล้วก็เข้าร่วมโครงการเดียวกับเรา สุดท้ายก็ได้แพ็คกระเป๋าไปกันทั้งสองคน
ช่วงเดือนนั้น เราตัดสินใจพักที่เดียวกันเพื่อความปลอดภัย แต่พักคนละห้องเพราะเขาอยากอยู่คนเดียวมากกว่า (แต่จริงๆ เราแอบหวังเล็กน้อย... ไม่ใช่ละ 555) เราสองคนแยกกันไปทำงานคนละที่ แต่ยังเมืองเดียวกัน เราก็เจอกันทุกวัน บางทีก็ไปนั่งเล่นนอนเล่นในห้องของอีกคน บางวันเราปวดหัว เขาก็มานวดๆ ให้ (ถึงจะแค่ไม่กี่วินาที 555) กระทั่งกลับเข้าห้องแยกย้ายแล้วก็ยังแชทคุยกันเกี่ยวกับเรื่องในแต่ละวัน แล้วแบบผนังห้องมันบางมากค่ะ พอเสียงไลน์โทรศัพท์เราดัง มันก็ดังไปถึงห้องข้างๆ เพราะหัวเตียงมันติดกัน เขาที่พักอยู่ห้องข้างๆ ก็ได้ยิน ก็มักจะเคาะผนังห้องเหมือนจะล้อกันเล่นๆ บางทีก็เคาะกันกลับไปกลับมา
แล้วเราก็นั่งพิงหัวเตียงอ่านข้อความไลน์ยิ้มเป็นบ้าเป็นหลังอยู่คนเดียว
บางทีเราเลิกงานเร็ว หรือวันไหนไม่มีงานก็จะแวะไปหาที่ทำงานของเขา รอเขาเลิกงานแล้วเราก็ไปกินข้าวกัน บางทีก็ไปห้าง เขาไม่ชอบไปไหนมาไหนคนเดียวตอนที่อยู่ที่นั่นน่ะค่ะ เราก็มักตามไปรับเขา จะได้กลับเข้าที่พักด้วยกัน
ตอนเดินตามถนน คนที่นั่นมักจะมองพวกเรา เพราะดูออกเลยว่าเป็นคนต่างชาติ บางทีก็จะมีส่งเสียงเรียก ผิวปากเรียกบ้าง เพื่อนรักก็จะกลัวหน่อยๆ เราก็จับมือเขาไว้ แล้วก็พาเดิน คือกลายเป็นบอดี้การ์ด 555 แต่เรามีความสุขนะ รู้สึกว่าเขาน่ารักชะมัด
แล้วพอพวกเรากลับมาไทย วงจรชีวิตก็กลับไปเป็นปกติ ต่างคนต่างได้งานใหม่ทำ แล้วก็นานๆ ก็เจอกันที บางทีเราก็เงียบไปพักใหญ่ คือเราจงใจเว้นระยะห่าง เพราะรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว เหนื่อยใจ
ช่วงหลังๆ เพื่อนรักมักพูดถึงรุ่นพี่ผู้ชายที่นางแอบชอบน่ะค่ะ เอาตรงๆ เรื่องแบบนี้ก็ฟังมาหลายปีแล้วละ ปลงก็ปลงได้ตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่ได้อยากจะฟังเท่าไรหรอกค่ะ แล้วก็ไม่อยากให้คำปรึกษาด้วย ถึงจะตีหน้าเป็นที่ปรึกษาประจำก็เถอะ 555
ที่จริงเราเก็บความรู้สึกไว้ได้ตั้งหลายปี เก็บต่อไปก็ไม่ควรจะมีปัญหาใช่มั้ยคะ
แต่ตอนนี้ใกล้จะบ้าแล้วค่ะ เพราะช่วงหลังๆ เพื่อนรักอยากได้เพื่อนไปนั่งปรับทุกข์ด้วยบ่อยเหลือเกิน ไอ้เราก็ทนใจอ่อนไม่ไหว ก็ไปนั่งฟังนางระบายความในใจ แต่ความในใจตัวเองกลับพูดออกไปไม่ได้
บางทีเราก็อยากอาละวาดนะ อยากตะโกนบอกเพื่อนรักเหมือนกันว่าเราน่ะ...รักเพื่อน
ปัญหาคือเราก็ไม่อยากเสียสถานะความเป็นเพื่อนนี้ไป หลายครั้งเราเล่าความฝันสู่กันฟัง ต่างคนต่างให้กำลังใจกัน บางทีไปไหนมาไหน ก็มีของฝากเล็กๆ น้อยๆ มาให้กัน มันไม่ได้มากมาย แต่มันพอ ในใจลึกๆ เราก็รู้สึกพอใจกับความสัมพันธ์แบบนี้ แล้วก็รู้ด้วยว่า เราคงคบกันได้ตลอด
เราแค่หวังว่า อาจบางทีสักวันหนึ่ง เราจะตัดใจจากเขาได้ เราอาจได้เจอคนที่รสนิยมเหมือนกัน ใจตรงกัน แล้วกับเพื่อนรัก เราก็จะได้กลายเป็น ‘เพื่อนรัก’ กันจริงๆ
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ค่ะ ยาวมาก 555
ถ้าใครมีประสบการณ์แอบรักเพื่อน มาเล่าสู่กันฟังได้นะคะ <3
แอบรักเพื่อนผู้หญิงมานานแล้วค่ะ ทำยังไงไม่ให้เขารู้ แต่ตัวเองไม่ต้องเป็นบ้าตายดีคะ
เจ้าของกระทู้เป็นผู้หญิงค่ะ เพศสภาพเป็นหญิงธรรมดา ไม่ใช่ทอม ไม่ห้าว และมีความเป็นชะนีในตัวพอดู
เอาง่ายๆ คือมีน้อยคนที่รู้รสนิยมทางเพศของเราค่ะ เพราะเรายังไม่กล้าเปิดเผยตัวตน 555
หลายปีมานี้โสดสนิท คนทั่วไปก็มองว่าเราเอาแต่เรียน แล้วก็ทำแต่งาน ทั้งที่จริงแล้วเราแอบชอบเพื่อนสนิทคนหนึ่งมาตลอดค่ะ ขอตั้งชื่อให้ว่าเพื่อนรัก เพื่อความเป็นสิริมงคล
เรารู้จักกับเพื่อนรักตั้งแต่ตอนม.ปลายจากการไปเข้าค่ายแห่งหนึ่ง ตอนแรกเราเห็นก็ปิ๊งทันที เขาดูออกเรียบร้อย หน้าหวานๆ เราก็ยิ้มๆ ให้เขา โดยไม่ได้มีจุดประสงค์ร้ายแอบแฝง (จริงๆ) แต่เพื่อนรักไม่ยิ้มตอบ แถมยังเบือนหน้าหนี 5555 โอย ณ ตอนนั้นแอบเซ็งค่ะ แต่ก็ไม่อะไรมาก ยังดีที่ฟ้าเบื้องบนเมตตา ทำให้เราสองคนได้อยู่กลุ่มเดียวกันระหว่างเข้าค่าย แล้วก็เป็นไปตามธรรมชาติของเด็กวัยรุ่นน่ะค่ะ... อย่า...อย่าคิดลึก คือเราหมายถึงเราได้กลายเป็นเพื่อนกัน แล้วก็สนิทกันเร็วมากๆ เหมือนจูนกันติดเร็ว ตอนหลังเขาถึงค่อยบอกเราว่า เขาสายตาสั้น มองไม่เห็นว่าเรายิ้มให้ โถ
หลังจบค่าย เราก็ติดต่อกันเรื่อยๆ ต่อให้อยู่กันคนโรงเรียน แต่ก็นัดเจอกันบ่อยมากค่ะ เรียนพิเศษที่เดียวกันบ้าง ไปดูหนัง กินข้าว คุยเรื่องอนาคต ทั้งสาระและไร้สาระ คือเจอกันอย่างน้อยเดือนละสองสามครั้งเป็นปกติ แล้วยิ่งเจอก็ยิ่งสนิท ยิ่งสนิทก็ยิ่งหวั่นไหว...
พอเข้ามหาลัยก็เรียนอยู่มอเดียวกันค่ะ แต่คนละคณะ... แห้ว เอ๊ย ยังไม่ถึงจุดนั้น
บอกตามตรงว่าเมื่อก่อนมีหลายครั้งที่จขกท.สงสัยตัวเองค่ะ แบบสับสนไม่แน่ใจว่า ชั้นเป็นอะไรของชั้น ชอบจริงๆ หรือแค่คิดไปเอง
ก่อนหน้านี้ เราเคยมีแค่แฟนที่เป็นทอมและเป็นผู้ชาย ดูเหมือนไม่เลือกใช่ไหมคะ 555 แต่สรุปกับแฟนเก่าทั้งสองคนก็เลิกรากันไปในเวลาไม่นานเพราะเราไม่ได้รักชอบพวกเขาจริงๆ และก่อนหน้าเพื่อนรักคนนี้ เราเคยรู้สึกชอบผู้หญิงมาก่อน แต่ด้วยความที่ไม่อยากยอมรับ ก็ปฏิเสธตัวเองไปหน้าด้านๆ แล้วก็ใส่หน้ากากชะนี้ชะนีต่อไป (พยายาม)
เราไม่เคยมีความสุขกับการอยู่กับใครเท่าเขาน่ะค่ะ ไลฟ์สไตล์ ทัศนคติคล้ายคลึงกันมาก แบบว่าเหมือนมีเรื่องให้คุยกันได้เรื่อยๆ หรือไม่ต้องคุยก็ได้ แค่อยู่ข้างๆ กันก็พอ บางทีก็ไปเที่ยวต่างจังหวัดกันสองคน แต่เพื่อนรักนางเป็นคนไม่ชอบวางแผน เราเลยเป็นคนจองตั๋ว จองที่พักอะไรเอง แล้วเราก็มักจงใจจองเตียงควีน/คิงไซส์ แบบที่ต้องนอนด้วยกัน แทนที่จะเป็นสองเตียง... รู้ตัวค่ะว่าไม่ถูก แต่นิดๆ หน่อยๆ... ฮือ จริงๆ ไปเที่ยวค้างคืนกันทีไร เรานอนไม่เคยหลับเลยค่ะ ทำตัวเอง 5555
ต่อมาเราไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศ ช่วงนั้นเราก็ยุ่งวุ่นวายกับการปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่ๆ ก็ไม่ค่อยได้คุยกับเขาเท่าไร แต่เราน่ะคิดถึงเขาเสมอ ปัญหาคือถ้าเราไม่ทักแชทไปก่อน เพื่อนรักก็จะไม่เคยทักมาก่อนเลยค่ะ... แห้ว
บางทีก็คิดไปถึงขั้นที่ว่า เราเข้าใจไปเองฝ่ายเดียวว่าเราสนิทกัน เพราะปกติก็เรียนคนละคณะ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็รักษาความสัมพันธ์แบบนี้มาเรื่อยๆ แล้วพอเรากลับไทย เพื่อนรักก็กลับมาเจอกันบ่อยๆ เหมือนเดิม ตอนเพิ่งกลับมาใหม่ๆ เจอกันครั้งแรก เราก็หน้าด้านเข้าไปกอดเขา ฉวยโอกาสทุกเม็ดค่ะ เขาก็กอดตอบ ยิ้มดีใจกันปกติ (แต่เราไม่ปกติค่ะ ใจเต้นแรงเว่อร์)
แต่วันนั้นมาพร้อมกับข่าวร้ายค่ะ คืออยู่ๆ นางก็บอกว่า... นางมีแฟนแล้วนะ
พีค... เวลาหนึ่งปีที่เราไปแลกเปลี่ยน อยู่ๆ ก็มีผู้ชายที่ไหนไม่รู้จีบเพื่อนรักเราไปเฉยเลยค่ะ จีบติดอีกต่างหาก... ณ ตอนนั้นคือร้องไห้หนักมากในใจ แต่หน้าน่ะต้องทำเป็นตื่นเต้นยินดี จริงดิแกรรรร... ตื่นเต้นเว่อร์
ช่วงนั้นโลกมันมืดๆ ไปหลายวัน กินข้าวไม่ค่อยลงเลยค่ะ ต่อให้ทำใจไว้นานแล้ว แต่พอมันเกิดขึ้นจริงก็เศร้าแปบ... ถึงยังงั้นชีวิตมันก็ต้องเดินหน้าต่อไป
ช่วงที่เขาเรียนจบ (แต่เรายังเรียนไม่จบ) หางาน เราเป็นห่วงเลยช่วยติดต่อหาคอนเนคชันจากญาติและเพื่อนๆ ที่รู้จักที่ทำงานสายที่เขาเรียนจบมา ช่วยเขาส่งเรซูเม่ให้ แล้วเพื่อนรักก็ได้งานทำค่ะ แต่เราเชื่อนะว่าเป็นเพราะความสามารถของเขาเป็นหลักน่ะแหละ
พอเขาจะสอบโทอิค เราก็ช่วยติวให้ เอาตรงๆ คือแค่อยากได้เวลาช่วงเย็นอยู่กับเขาบ่อยๆ บางทีนางก็ไม่มาติวตามนัดหรอกค่ะ... ถ้าชนกับนัดแฟน
เราก็อยู่แบบเจ็บๆ บ้าๆ คนเดียวไปพักใหญ่ จนช่วงหนึ่งได้คุยกับน้องผู้หญิงคนหนึ่ง กิ๊กๆ กันไปพักหนึ่ง พอทำให้ลืมเพื่อนรักไปได้บ้าง
แล้วอยู่ๆ เพื่อนรักก็เลิกกับแฟนหนุ่มของนาง
ที่จริงเราอยากตบหน้าตัวเองมากเลยค่ะ แต่พอรู้ข่าวนี้ผ่านทางไลน์ เรายิ้มไม่หุบเลย ทั้งที่ไลน์ตอบเขาไปว่า เสียใจด้วยนะแก แกโอเคมั้ย
คือนางคงไม่โอเค แต่เราโอเคมาก... บาปกรรม
แล้วเราก็เลิกคุยกับน้องผู้หญิงคนนั้น บาปที่สองมาเยือน เรายิ่งตัดใจไม่ได้ เหมือนเลี้ยงไข้ตัวเองไปเรื่อยๆ ไม่ยอมรักษา
พอเราเรียนจบ เพื่อนรักกลับบอกอยากออกจากงาน แล้วทีนี้เราเจอโปรแกรมอาสาสมัครที่ต่างประเทศ เราสนใจเลยสมัครไป พอเขารู้ก็อยากไปบ้าง เลยลาออกแล้วก็เข้าร่วมโครงการเดียวกับเรา สุดท้ายก็ได้แพ็คกระเป๋าไปกันทั้งสองคน
ช่วงเดือนนั้น เราตัดสินใจพักที่เดียวกันเพื่อความปลอดภัย แต่พักคนละห้องเพราะเขาอยากอยู่คนเดียวมากกว่า (แต่จริงๆ เราแอบหวังเล็กน้อย... ไม่ใช่ละ 555) เราสองคนแยกกันไปทำงานคนละที่ แต่ยังเมืองเดียวกัน เราก็เจอกันทุกวัน บางทีก็ไปนั่งเล่นนอนเล่นในห้องของอีกคน บางวันเราปวดหัว เขาก็มานวดๆ ให้ (ถึงจะแค่ไม่กี่วินาที 555) กระทั่งกลับเข้าห้องแยกย้ายแล้วก็ยังแชทคุยกันเกี่ยวกับเรื่องในแต่ละวัน แล้วแบบผนังห้องมันบางมากค่ะ พอเสียงไลน์โทรศัพท์เราดัง มันก็ดังไปถึงห้องข้างๆ เพราะหัวเตียงมันติดกัน เขาที่พักอยู่ห้องข้างๆ ก็ได้ยิน ก็มักจะเคาะผนังห้องเหมือนจะล้อกันเล่นๆ บางทีก็เคาะกันกลับไปกลับมา
แล้วเราก็นั่งพิงหัวเตียงอ่านข้อความไลน์ยิ้มเป็นบ้าเป็นหลังอยู่คนเดียว
บางทีเราเลิกงานเร็ว หรือวันไหนไม่มีงานก็จะแวะไปหาที่ทำงานของเขา รอเขาเลิกงานแล้วเราก็ไปกินข้าวกัน บางทีก็ไปห้าง เขาไม่ชอบไปไหนมาไหนคนเดียวตอนที่อยู่ที่นั่นน่ะค่ะ เราก็มักตามไปรับเขา จะได้กลับเข้าที่พักด้วยกัน
ตอนเดินตามถนน คนที่นั่นมักจะมองพวกเรา เพราะดูออกเลยว่าเป็นคนต่างชาติ บางทีก็จะมีส่งเสียงเรียก ผิวปากเรียกบ้าง เพื่อนรักก็จะกลัวหน่อยๆ เราก็จับมือเขาไว้ แล้วก็พาเดิน คือกลายเป็นบอดี้การ์ด 555 แต่เรามีความสุขนะ รู้สึกว่าเขาน่ารักชะมัด
แล้วพอพวกเรากลับมาไทย วงจรชีวิตก็กลับไปเป็นปกติ ต่างคนต่างได้งานใหม่ทำ แล้วก็นานๆ ก็เจอกันที บางทีเราก็เงียบไปพักใหญ่ คือเราจงใจเว้นระยะห่าง เพราะรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว เหนื่อยใจ
ช่วงหลังๆ เพื่อนรักมักพูดถึงรุ่นพี่ผู้ชายที่นางแอบชอบน่ะค่ะ เอาตรงๆ เรื่องแบบนี้ก็ฟังมาหลายปีแล้วละ ปลงก็ปลงได้ตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่ได้อยากจะฟังเท่าไรหรอกค่ะ แล้วก็ไม่อยากให้คำปรึกษาด้วย ถึงจะตีหน้าเป็นที่ปรึกษาประจำก็เถอะ 555
ที่จริงเราเก็บความรู้สึกไว้ได้ตั้งหลายปี เก็บต่อไปก็ไม่ควรจะมีปัญหาใช่มั้ยคะ
แต่ตอนนี้ใกล้จะบ้าแล้วค่ะ เพราะช่วงหลังๆ เพื่อนรักอยากได้เพื่อนไปนั่งปรับทุกข์ด้วยบ่อยเหลือเกิน ไอ้เราก็ทนใจอ่อนไม่ไหว ก็ไปนั่งฟังนางระบายความในใจ แต่ความในใจตัวเองกลับพูดออกไปไม่ได้
บางทีเราก็อยากอาละวาดนะ อยากตะโกนบอกเพื่อนรักเหมือนกันว่าเราน่ะ...รักเพื่อน
ปัญหาคือเราก็ไม่อยากเสียสถานะความเป็นเพื่อนนี้ไป หลายครั้งเราเล่าความฝันสู่กันฟัง ต่างคนต่างให้กำลังใจกัน บางทีไปไหนมาไหน ก็มีของฝากเล็กๆ น้อยๆ มาให้กัน มันไม่ได้มากมาย แต่มันพอ ในใจลึกๆ เราก็รู้สึกพอใจกับความสัมพันธ์แบบนี้ แล้วก็รู้ด้วยว่า เราคงคบกันได้ตลอด
เราแค่หวังว่า อาจบางทีสักวันหนึ่ง เราจะตัดใจจากเขาได้ เราอาจได้เจอคนที่รสนิยมเหมือนกัน ใจตรงกัน แล้วกับเพื่อนรัก เราก็จะได้กลายเป็น ‘เพื่อนรัก’ กันจริงๆ
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ค่ะ ยาวมาก 555
ถ้าใครมีประสบการณ์แอบรักเพื่อน มาเล่าสู่กันฟังได้นะคะ <3