-- ฉันได้ทำการพิมพ์เรื่องราวของฉันไว้ก่อนที่จะนำมาโพสต์ เพราะใช้เวลานานในการพิมพ์ พิมพ์ไปร้องไห้ไป กลัวคนอ่าน อ่านแล้วขาดตอน --
สวัสดีคะ ฉันชื่อบี ปีนี้อายุ 31 ปี แต่งงานกับสามีมา 2 ปี เมื่อต้นปีที่ผ่านมา วันที่ 28 มีนาคม 2561 ได้ให้กำเนิดลูกสาวคนแรกของครอบครัวเรา เราตั้งชื่อเล่นน้องว่า “เลอาห์” ตั้งชื่อตามตัวละครในหนัง Star Wars ที่เราสองคนชื่นชอบ วันแรกที่ฉันรู้ข่าวดีว่าฉันท้อง คือวันที่ 12 สิงหาคม 2560 ซึ่งเป็นวันแม่ และเป็นวันที่ทำบุญบ้านใหม่ของฉันพอดี ฉันบอกแม่ว่า แม่กำลังจะได้เป็นอาม่าแล้วนะ แม่ของฉันและทุกคนในครอบครัวดีใจกันมาก ฉันเป็นคนแรกที่แต่งงานออกไป และเลอาห์คือหลานคนแรกของบ้านเรา วันรุ่งขึ้นฉันและสามีรีบไปฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งนึงทันที ฉันทำตามคำแนะนำของคุณหมอทุกอย่าง ไปตรวจครรภ์ตามหมอนัดทุกเดือน อัลตร้าซาวด์ทุกครั้งที่ไป หมอบอกว่าลูกแข็งแรงดี ปกติทุกอย่าง ฉันถามหมอว่าเราต้องเจาะถุงน้ำคร่ำไหม หมอบอกว่าไม่จำเป็น เพราะแม่ไม่ได้เป็นอะไร แม่ฉัน พี่และน้องฉันตื่นเต้นกันมาก ซื้อข้าวของใช้ เสื้อผ้าไว้เยอะ ฉันแทบไม่ต้องซื้ออะไรเอง
เที่ยงคืนกว่าๆของเช้าวันที่ 28 มีนาคม 2561 น้ำคร่ำแตก ฉันปลุกสามี และเอากระเป๋าเตรียมคลอดขึ้นรถ นั่งรถไปชิลๆ เพราะตอนนั้นยังไม่เจ็บมากเท่าไร แต่พอถึงโรงพยาบาล อาการเจ็บเริ่มมา เจ็บมากกกก มากจริงๆ มากแบบที่ทุกคนบอกไว้ เจ็บแบบสุดๆ พยาบาลบอกว่าจะผ่าคลอดไหม จะได้ไม่ต้องทนเจ็บ ด้วยความที่ตั้งใจอยากคลอดเอง เลยปฏิเสธ นอนอดทนดิ้นไปมาอยู่นาน จนความอดทนหมดลง เพราะเจ็บไม่ไหว เลยเรียกพยาบาลบอกว่าไม่ไหวแล้วคะ ผ่าเลยคะ เลอาห์ลืมตาดูโลกครั้งแรก ร้องเสียงดังมาก ในวันที่ 28 มีนาคม 2561 เวลา 03.18 น. ด้วยน้ำหนัก 2.7 กก.
คืนแรกผ่านไป ก็ยังไม่เจอลูก วันที่สองคิดว่าจะได้เจอก็ไม่เจอ คุณหมอเรียกพ่อลงไปคุย เรารู้สึกแปลกๆ แต่ยังไม่คิดอะไร พ่อขึ้นมาบอกว่า ลูกออกซิเจนไม่ดี เลยต้องให้ออกซิเจนช่วย หมอบอกว่าลูกยังปรับตัวไม่ได้ ต้องอยู่ในตู้ ครอบออกซิเจนไว้ก่อน ฉันยังไม่ตกใจมากเท่าไร ใจยังสู้อยู่ เพราะคิดว่ามันแค่การปรับตัว อาจต้องให้เวลาเขา ระหว่างนั้นฉันก็เริ่มปั้มนม โชคดีมากที่น้ำนมมาเยอะมาก ฉันขยันปั้มนมตลอด ให้ลูกได้กินนมแม่ จะได้แข็งแรง และออกมาไวๆ จนกระทั่งครบ 3 วัน ต้องกลับบ้านแล้ว แต่ลูกก็ยังออกไม่ได้ ระหว่างที่อยู่โรงพยาบาล มีแค่ฉันและสามี สามารถเข้าไปดูลูกในห้อง NICU ได้ ลูกนอนอยู่ในตู้ พร้อมมีอุโมงค์ออกซิเจนครอบอยู่ ฉันกับสามีได้แต่นั่งเกาะตู้ และคุยกับลูก ลูกดูดนมจากขวด พยาบาลบอกว่าให้คุณแม่ปั้มมาเยอะๆนะคะ เพราะน้องกินเก่งมาก ฉันและสามีกลับบ้าน ปั้มนม และขับรถเอานมมาให้ลูกทุกวัน วันละ 2 รอบ ครบ 7 วันที่ลูกเกิด วันนั้นฉันเพิ่งปั้มนมเสร็จ กำลังเตรียมตัวออกไปหาลูกที่โรงพยาบาล ทางโรงพยาบาลโทรเข้ามาบอกให้รีบมา แจ้งว่า “ลูกอยู่ในภาวะหัวใจวาย” ฉันนิ่งอึ่งทำอะไรไม่ถูก มือเย็นไปหมด รีบไปบอกสามี และรีบขับรถพากันไปโรงพยาบาล ถึงโรงพยาบาลฉันถามหมอว่าเกิดอะไรขึ้น ไหนว่าแค่น้องปรับตัวยังไม่ได้ ไม่เห็นบอกเรื่องหัวใจเลย ให้น้องนอนอยู่ได้ตั้งหลายวัน จนน้องหัวใจวาย หมอบอกว่า ที่โรงพยาบาลเราไม่มีหมอเฉพาะทางเรื่องโรคหัวใจเด็ก การตรวจหาอาการเลยช้า หมอแจ้งว่า เส้น PDA ของน้องมันไม่ปิด ซึ่งมันสามารถเกิดขึ้นกับเด็กอื่นๆได้เช่นกัน เพียงต้องผ่าตัดให้น้อง และไปผูกเส้นนั้นก็เรียบร้อย พูดเหมือนง่าย แต่ลูกฉันเพิ่งเกิดมาแค่ 7 วันนะ ฉันได้แต่ร้องไห้ ทำอะไรไม่ถูก พี่สาวของสามีแนะนำว่าให้ย้ายโรงพยาบาลเถอะ ไปโรงพยาบาลที่มีหมอเฉพาะทาง พี่สาวแนะนำโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งแถวศรีนครรินทร์ เป็นโรงพยาบาลที่ค่าใช้จ่ายสูงมาก ค่ารักษา ค่าเซอร์วิชแพงมากจริงๆ ฉันโทรไปที่โรงพยาบาล แจ้งอาการน้องคร่าวๆ ทางนั้นตีราคามาให้ที่ประมาน เกือบๆ 1 ล้านบาท ทางนั้นบอกว่าให้ไปคิดก่อน แล้วค่อยโทรกลับมาก็ได้ ฉันทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะทำยังไง แม่ของฉันโทรเข้ามาแล้วบอกว่า ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวแม่ออกเงินเอง ให้รีบย้ายหลานไป ฉันจึงรีบโทรหาโรงพยาบาลทางนู้น เพื่อให้เขานำรถพยาบาลมารับโดยด่วน กว่าจะทำเรื่องย้าย ทำเรื่องจ่ายเงินที่เดิม กว่าจะรอรถพยาบาลทางนู้นมารับ ก็ปาไปเกือบๆตี 2 ได้ พอรถพยาบาลมาถึง เจ้าหน้าที่เข็นเลอาห์ออกมาจาก NICU เป็นครั้งแรกที่แม่ของฉันและพี่น้องได้เห็นเลอาห์ครั้งแรก เลอาห์ยังคงนอนอยู่ในตู้อบ พร้อมที่ครอบออกซิเจนเหมือนที่ฉันเห็นทุกวัน นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้นั่งรถฉุกเฉิน ไม่เคยคิดว่าจะต้องมานั่งข้างๆลูกตัวน้อยที่เพิ่งคลอดไม่กี่วัน ส่วนคนอื่นๆขับรถตามกันมา
ถึงโรงพยาบาล คุณหมอและพยาบาลรีบเข็นเลอาห์เข้าไปใน NICU กันฉันและญาติๆให้รอด้านนอก สักพักจึงมีหมอประจำเวรคืนนั้นมาคุย คุณหมอแจ้งว่าพรุ่งนี้จะมีหมอเฉพาะทางโรคหัวใจเด็กมาคุยด้วยอีกที เบื้องต้น หมอได้ทำการใส่เครื่องช่วยหายใจลงไปในคอน้อง เพื่อให้หายใจได้สะดวก น้ำตาฉันไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว มันคงต้องเจ็บและทรมานมากๆ ปากลูกฉันเล็กนิดเดียว ยัดเครื่องลงไปลูกฉันต้องเจ็บมากแน่ๆ หมอพูดอาการอะไรเยอะแยะไปหมด แต่ฟังดูน่าเชื่อถือ และสร้างความมั่นใจให้ฉันมากกว่าที่เก่ามาก แม้จะเป็นเพียงหมอเวร แต่ก็มีการวินิจฉัย และบอกอาการ และแนวทางการรักษาได้ชัดเจน ผิดกับที่เดิม ที่เพียงแค่บอกว่า น้องยังปรับตัวไม่ได้ ให้รอเวลาน้องปรับตัวเอง คืนนั้นเราทุกคนกลับบ้านด้วยความอ่อนหล้า ฉันไม่ลืมที่จะปั้มนมก่อนนอน แม้จะเหนื่อยมากก็ตาม เพราะนอนก็คงนอนไม่หลับ รอฟังเสียงโทรศัพท์ตลอด เพราะ NICU แจ้งไว้ว่าอย่าปิดเครื่อง เพราะถ้ามีเรื่องด่วนจะโทรเข้ามา คืนนั้นผ่านไปด้วยหัวใจที่ว้าวุ่น
ตอนเช้าตื่นมา อยู่ๆฉันก็นั่งร้องไห้ปล่อยโฮออกมา สามีเดินเข้ามากอดปลอบใจ ร้องไห้ยังไม่เสร็จ ก็มีโทรศัพท์จากโรงพยาบาลบอกให้เราไปที่โรงพยาบาลด่วน ฉันโทรหาแม่ถามว่าจะไปด้วยไหม ถ้าไปรีบเลยจะไปรับ (บ้านฉันกับแม่อยู่ใกล้ๆกัน) ) ไปถึงโรงพยาบาล สรุปไม่มีอะไร เพียงแต่พยาบาลต้องการเลือดของฉันไว้สำหรับการเบิกเลือดให้เลอาห์ เพื่อใช้ในการผ่าตัด หมอหัวใจเข้ามาคุยกับฉันและสามี ท่านถามว่าหมอทางนู้นบอกว่าน้องเป็นอะไรครับ ฉันก็บอกเท่าที่รู้ว่า เส้น PDA ของน้องไม่ปิดคะ จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดเพื่อไปผูกเส้น หมอบอกว่าครับ PDA ก็ส่วนนึง แต่มันเป็นส่วนเล็ก ปัญหาใหญ่คือ เส้นเลือดหัวใจของน้อง เดินผิดที่ผิดทาง คือมันไม่อยู่ในที่ที่มันควรจะอยู่ ทำให้เลือดแดงเลือดดำปนกันไปหมด และทำให้เกิดปัญหาลามไปที่ปอด คือน้ำจะท่วมปอดได้ง่าย น้ำตาไหลฉันไหลออกมาเป็นทาง สามีนั่งข้างๆจับมือกันแน่น หมอพูดบอกว่า “สถานการณ์แบบนี้ ก่อนอื่นเราต้องยอมรับก่อนว่าลูกเราป่วย และต้องช่วยกันดูแล อย่าโทษกัน อย่าโทษใคร ช่วยกันประคองกันไป” ฉันได้แต่ตอบรับคะๆ หมอแจ้งว่า วันนี้จะทำการผ่าตัดเล็ก ที่ชายโครงด้านหลัง เพื่อผูกเส้น PDA ที่มันไม่ยอมปิดก่อน การผ่าตัดเป็นการผ่าตัดเล็กๆ ใช้เวลาไม่นาน เดี๋ยวจะมีหมอผ่าตัดหัวใจเด็กมาคุยด้วยตอนก่อนผ่า ส่วนเรื่องปัญหาใหญ่เส้นเลือดที่เดินผิด เข้าผิดห้องหัวใจ เป็นการผ่าตัดที่ใหญ่มาก คือผ่าตัดแบบ Open Heart ผ่าทางหน้าอก น้องตัวเล็กเกินไป มีความเสี่ยงสูงมาก และค่าใช้จ่ายสูง ตอนนี้น้องยังไหว หมอแนะนำว่าผ่าตัว PDA ก่อน แล้วไปเลี้ยงให้น้องโต สัก 4-6 กก. ค่อยมาผ่าอันใหญ่ ฉันถามคุณหมอว่า สาเหตุของโรคคืออะไรคะ ฉันเผลอไปทำอะไรตอนท้องรึป่าว หมอใช้คำว่า “อุบัติการณ์” ครับ มันเกิดขึ้นมาเอง ไม่มีสาเหตุอะไรจากคุณแม่ ตอนซาวน์เป็นไปได้ที่มองไม่เห็น เพราะเส้นเลือดเล็กมากๆ ยิ่งเป็นเส้นเลือดหัวใจ ยิ่งเล็กครับ ฉันเข้าใจเรื่องนั้นดี และไม่โทษใคร ตอนนี้ใจเป็นห่วงแต่ลูก คุยกับหมอเสร็จเดินออกมากอดแม่แน่น พร้อมปล่อยโฮ ทั้งฉันทั้งแม่ต่างร้องไห้
ลูกสาวของฉันเป็นโรคหัวใจตั้งแต่กำเนิด
สวัสดีคะ ฉันชื่อบี ปีนี้อายุ 31 ปี แต่งงานกับสามีมา 2 ปี เมื่อต้นปีที่ผ่านมา วันที่ 28 มีนาคม 2561 ได้ให้กำเนิดลูกสาวคนแรกของครอบครัวเรา เราตั้งชื่อเล่นน้องว่า “เลอาห์” ตั้งชื่อตามตัวละครในหนัง Star Wars ที่เราสองคนชื่นชอบ วันแรกที่ฉันรู้ข่าวดีว่าฉันท้อง คือวันที่ 12 สิงหาคม 2560 ซึ่งเป็นวันแม่ และเป็นวันที่ทำบุญบ้านใหม่ของฉันพอดี ฉันบอกแม่ว่า แม่กำลังจะได้เป็นอาม่าแล้วนะ แม่ของฉันและทุกคนในครอบครัวดีใจกันมาก ฉันเป็นคนแรกที่แต่งงานออกไป และเลอาห์คือหลานคนแรกของบ้านเรา วันรุ่งขึ้นฉันและสามีรีบไปฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งนึงทันที ฉันทำตามคำแนะนำของคุณหมอทุกอย่าง ไปตรวจครรภ์ตามหมอนัดทุกเดือน อัลตร้าซาวด์ทุกครั้งที่ไป หมอบอกว่าลูกแข็งแรงดี ปกติทุกอย่าง ฉันถามหมอว่าเราต้องเจาะถุงน้ำคร่ำไหม หมอบอกว่าไม่จำเป็น เพราะแม่ไม่ได้เป็นอะไร แม่ฉัน พี่และน้องฉันตื่นเต้นกันมาก ซื้อข้าวของใช้ เสื้อผ้าไว้เยอะ ฉันแทบไม่ต้องซื้ออะไรเอง
เที่ยงคืนกว่าๆของเช้าวันที่ 28 มีนาคม 2561 น้ำคร่ำแตก ฉันปลุกสามี และเอากระเป๋าเตรียมคลอดขึ้นรถ นั่งรถไปชิลๆ เพราะตอนนั้นยังไม่เจ็บมากเท่าไร แต่พอถึงโรงพยาบาล อาการเจ็บเริ่มมา เจ็บมากกกก มากจริงๆ มากแบบที่ทุกคนบอกไว้ เจ็บแบบสุดๆ พยาบาลบอกว่าจะผ่าคลอดไหม จะได้ไม่ต้องทนเจ็บ ด้วยความที่ตั้งใจอยากคลอดเอง เลยปฏิเสธ นอนอดทนดิ้นไปมาอยู่นาน จนความอดทนหมดลง เพราะเจ็บไม่ไหว เลยเรียกพยาบาลบอกว่าไม่ไหวแล้วคะ ผ่าเลยคะ เลอาห์ลืมตาดูโลกครั้งแรก ร้องเสียงดังมาก ในวันที่ 28 มีนาคม 2561 เวลา 03.18 น. ด้วยน้ำหนัก 2.7 กก.
คืนแรกผ่านไป ก็ยังไม่เจอลูก วันที่สองคิดว่าจะได้เจอก็ไม่เจอ คุณหมอเรียกพ่อลงไปคุย เรารู้สึกแปลกๆ แต่ยังไม่คิดอะไร พ่อขึ้นมาบอกว่า ลูกออกซิเจนไม่ดี เลยต้องให้ออกซิเจนช่วย หมอบอกว่าลูกยังปรับตัวไม่ได้ ต้องอยู่ในตู้ ครอบออกซิเจนไว้ก่อน ฉันยังไม่ตกใจมากเท่าไร ใจยังสู้อยู่ เพราะคิดว่ามันแค่การปรับตัว อาจต้องให้เวลาเขา ระหว่างนั้นฉันก็เริ่มปั้มนม โชคดีมากที่น้ำนมมาเยอะมาก ฉันขยันปั้มนมตลอด ให้ลูกได้กินนมแม่ จะได้แข็งแรง และออกมาไวๆ จนกระทั่งครบ 3 วัน ต้องกลับบ้านแล้ว แต่ลูกก็ยังออกไม่ได้ ระหว่างที่อยู่โรงพยาบาล มีแค่ฉันและสามี สามารถเข้าไปดูลูกในห้อง NICU ได้ ลูกนอนอยู่ในตู้ พร้อมมีอุโมงค์ออกซิเจนครอบอยู่ ฉันกับสามีได้แต่นั่งเกาะตู้ และคุยกับลูก ลูกดูดนมจากขวด พยาบาลบอกว่าให้คุณแม่ปั้มมาเยอะๆนะคะ เพราะน้องกินเก่งมาก ฉันและสามีกลับบ้าน ปั้มนม และขับรถเอานมมาให้ลูกทุกวัน วันละ 2 รอบ ครบ 7 วันที่ลูกเกิด วันนั้นฉันเพิ่งปั้มนมเสร็จ กำลังเตรียมตัวออกไปหาลูกที่โรงพยาบาล ทางโรงพยาบาลโทรเข้ามาบอกให้รีบมา แจ้งว่า “ลูกอยู่ในภาวะหัวใจวาย” ฉันนิ่งอึ่งทำอะไรไม่ถูก มือเย็นไปหมด รีบไปบอกสามี และรีบขับรถพากันไปโรงพยาบาล ถึงโรงพยาบาลฉันถามหมอว่าเกิดอะไรขึ้น ไหนว่าแค่น้องปรับตัวยังไม่ได้ ไม่เห็นบอกเรื่องหัวใจเลย ให้น้องนอนอยู่ได้ตั้งหลายวัน จนน้องหัวใจวาย หมอบอกว่า ที่โรงพยาบาลเราไม่มีหมอเฉพาะทางเรื่องโรคหัวใจเด็ก การตรวจหาอาการเลยช้า หมอแจ้งว่า เส้น PDA ของน้องมันไม่ปิด ซึ่งมันสามารถเกิดขึ้นกับเด็กอื่นๆได้เช่นกัน เพียงต้องผ่าตัดให้น้อง และไปผูกเส้นนั้นก็เรียบร้อย พูดเหมือนง่าย แต่ลูกฉันเพิ่งเกิดมาแค่ 7 วันนะ ฉันได้แต่ร้องไห้ ทำอะไรไม่ถูก พี่สาวของสามีแนะนำว่าให้ย้ายโรงพยาบาลเถอะ ไปโรงพยาบาลที่มีหมอเฉพาะทาง พี่สาวแนะนำโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งแถวศรีนครรินทร์ เป็นโรงพยาบาลที่ค่าใช้จ่ายสูงมาก ค่ารักษา ค่าเซอร์วิชแพงมากจริงๆ ฉันโทรไปที่โรงพยาบาล แจ้งอาการน้องคร่าวๆ ทางนั้นตีราคามาให้ที่ประมาน เกือบๆ 1 ล้านบาท ทางนั้นบอกว่าให้ไปคิดก่อน แล้วค่อยโทรกลับมาก็ได้ ฉันทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะทำยังไง แม่ของฉันโทรเข้ามาแล้วบอกว่า ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวแม่ออกเงินเอง ให้รีบย้ายหลานไป ฉันจึงรีบโทรหาโรงพยาบาลทางนู้น เพื่อให้เขานำรถพยาบาลมารับโดยด่วน กว่าจะทำเรื่องย้าย ทำเรื่องจ่ายเงินที่เดิม กว่าจะรอรถพยาบาลทางนู้นมารับ ก็ปาไปเกือบๆตี 2 ได้ พอรถพยาบาลมาถึง เจ้าหน้าที่เข็นเลอาห์ออกมาจาก NICU เป็นครั้งแรกที่แม่ของฉันและพี่น้องได้เห็นเลอาห์ครั้งแรก เลอาห์ยังคงนอนอยู่ในตู้อบ พร้อมที่ครอบออกซิเจนเหมือนที่ฉันเห็นทุกวัน นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้นั่งรถฉุกเฉิน ไม่เคยคิดว่าจะต้องมานั่งข้างๆลูกตัวน้อยที่เพิ่งคลอดไม่กี่วัน ส่วนคนอื่นๆขับรถตามกันมา
ถึงโรงพยาบาล คุณหมอและพยาบาลรีบเข็นเลอาห์เข้าไปใน NICU กันฉันและญาติๆให้รอด้านนอก สักพักจึงมีหมอประจำเวรคืนนั้นมาคุย คุณหมอแจ้งว่าพรุ่งนี้จะมีหมอเฉพาะทางโรคหัวใจเด็กมาคุยด้วยอีกที เบื้องต้น หมอได้ทำการใส่เครื่องช่วยหายใจลงไปในคอน้อง เพื่อให้หายใจได้สะดวก น้ำตาฉันไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว มันคงต้องเจ็บและทรมานมากๆ ปากลูกฉันเล็กนิดเดียว ยัดเครื่องลงไปลูกฉันต้องเจ็บมากแน่ๆ หมอพูดอาการอะไรเยอะแยะไปหมด แต่ฟังดูน่าเชื่อถือ และสร้างความมั่นใจให้ฉันมากกว่าที่เก่ามาก แม้จะเป็นเพียงหมอเวร แต่ก็มีการวินิจฉัย และบอกอาการ และแนวทางการรักษาได้ชัดเจน ผิดกับที่เดิม ที่เพียงแค่บอกว่า น้องยังปรับตัวไม่ได้ ให้รอเวลาน้องปรับตัวเอง คืนนั้นเราทุกคนกลับบ้านด้วยความอ่อนหล้า ฉันไม่ลืมที่จะปั้มนมก่อนนอน แม้จะเหนื่อยมากก็ตาม เพราะนอนก็คงนอนไม่หลับ รอฟังเสียงโทรศัพท์ตลอด เพราะ NICU แจ้งไว้ว่าอย่าปิดเครื่อง เพราะถ้ามีเรื่องด่วนจะโทรเข้ามา คืนนั้นผ่านไปด้วยหัวใจที่ว้าวุ่น
ตอนเช้าตื่นมา อยู่ๆฉันก็นั่งร้องไห้ปล่อยโฮออกมา สามีเดินเข้ามากอดปลอบใจ ร้องไห้ยังไม่เสร็จ ก็มีโทรศัพท์จากโรงพยาบาลบอกให้เราไปที่โรงพยาบาลด่วน ฉันโทรหาแม่ถามว่าจะไปด้วยไหม ถ้าไปรีบเลยจะไปรับ (บ้านฉันกับแม่อยู่ใกล้ๆกัน) ) ไปถึงโรงพยาบาล สรุปไม่มีอะไร เพียงแต่พยาบาลต้องการเลือดของฉันไว้สำหรับการเบิกเลือดให้เลอาห์ เพื่อใช้ในการผ่าตัด หมอหัวใจเข้ามาคุยกับฉันและสามี ท่านถามว่าหมอทางนู้นบอกว่าน้องเป็นอะไรครับ ฉันก็บอกเท่าที่รู้ว่า เส้น PDA ของน้องไม่ปิดคะ จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดเพื่อไปผูกเส้น หมอบอกว่าครับ PDA ก็ส่วนนึง แต่มันเป็นส่วนเล็ก ปัญหาใหญ่คือ เส้นเลือดหัวใจของน้อง เดินผิดที่ผิดทาง คือมันไม่อยู่ในที่ที่มันควรจะอยู่ ทำให้เลือดแดงเลือดดำปนกันไปหมด และทำให้เกิดปัญหาลามไปที่ปอด คือน้ำจะท่วมปอดได้ง่าย น้ำตาไหลฉันไหลออกมาเป็นทาง สามีนั่งข้างๆจับมือกันแน่น หมอพูดบอกว่า “สถานการณ์แบบนี้ ก่อนอื่นเราต้องยอมรับก่อนว่าลูกเราป่วย และต้องช่วยกันดูแล อย่าโทษกัน อย่าโทษใคร ช่วยกันประคองกันไป” ฉันได้แต่ตอบรับคะๆ หมอแจ้งว่า วันนี้จะทำการผ่าตัดเล็ก ที่ชายโครงด้านหลัง เพื่อผูกเส้น PDA ที่มันไม่ยอมปิดก่อน การผ่าตัดเป็นการผ่าตัดเล็กๆ ใช้เวลาไม่นาน เดี๋ยวจะมีหมอผ่าตัดหัวใจเด็กมาคุยด้วยตอนก่อนผ่า ส่วนเรื่องปัญหาใหญ่เส้นเลือดที่เดินผิด เข้าผิดห้องหัวใจ เป็นการผ่าตัดที่ใหญ่มาก คือผ่าตัดแบบ Open Heart ผ่าทางหน้าอก น้องตัวเล็กเกินไป มีความเสี่ยงสูงมาก และค่าใช้จ่ายสูง ตอนนี้น้องยังไหว หมอแนะนำว่าผ่าตัว PDA ก่อน แล้วไปเลี้ยงให้น้องโต สัก 4-6 กก. ค่อยมาผ่าอันใหญ่ ฉันถามคุณหมอว่า สาเหตุของโรคคืออะไรคะ ฉันเผลอไปทำอะไรตอนท้องรึป่าว หมอใช้คำว่า “อุบัติการณ์” ครับ มันเกิดขึ้นมาเอง ไม่มีสาเหตุอะไรจากคุณแม่ ตอนซาวน์เป็นไปได้ที่มองไม่เห็น เพราะเส้นเลือดเล็กมากๆ ยิ่งเป็นเส้นเลือดหัวใจ ยิ่งเล็กครับ ฉันเข้าใจเรื่องนั้นดี และไม่โทษใคร ตอนนี้ใจเป็นห่วงแต่ลูก คุยกับหมอเสร็จเดินออกมากอดแม่แน่น พร้อมปล่อยโฮ ทั้งฉันทั้งแม่ต่างร้องไห้