เราจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ยังไง เราจะผ่านเรื่องร้ายๆแบบนี้ไปได้ยังไง เป็นคำที่เราเคยท่องมาตลอด จนวันนี้เราทนกับความโหดร้ายและเจ็บปวดนี้ได้น้อยลง เวลาไม่ได้ทำให้เราหาย แค่ทำให้เราทนได้มากขึ้นเท่านั้นเอง
ทั้งหมดที่เล่าจะเล่านี้เป็นความรู้สึกของผู้หญิงสกปรก จากผู้หญิงที่เคยเป็นเมียน้อยอย่างเรา ความรู้สึกแบบที่ถ้าใครไม่เคยเป็นไม่มีทางเข้าใจ
ขอเล่าย้อนไปตั้งแต่ 4 ปีที่แล้วค่ะ ตั้งแต่เราเริ่มรู้จักกับผู้ชายคนนี้ พี่เค้าอายุห่างกับเราร่วมๆสิบปี จุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของเราก็เหมือนคู่รักปกติทั่วไป เราได้รู้จักกับพี่เค้าเพราะว่าเค้าเป็นรุ่นพี่ของเพื่อนเราค่ะ มีโอกาสได้ทำความรู้จักกัน พี่เค้าดูเป็นผู้ชายอบอุ่น มีภูมิฐาน ก็คุยดูใจกันอยู่ระยะนึงเลย จนตัดสินใจคบกัน ด้วยความที่อายุก็ไม่ได้น้อยแล้ว ฐานะก็ค่อนข้างมั่นคง ใช้เวลาไม่นานพี่เค้าก็ซื้อบ้านอยู่กับเราโดยที่พี่เค้าให้เราออกจากงานที่ทำอยู่มาเป็นแม่บ้านคอยดูแลพี่เค้า และก็ขายของออนไลน์เป็นรายเสริมนิดๆหน่อยๆ พี่เค้าก็ดูแลเราดี สม่ำเสมอ ไม่เคยไปมีเล็กมีน้อยที่ไหน แทบจะทุกวันที่พี่เค้าออกไปทำงานและกลับบ้านอย่างตรงเวลา ไม่มีการโทรศัพท์ หรือแชทกับใครที่ดูน่าสงสัย หรือนอกลู่นอกทางเลย ยกเว้นแต่ว่าจะไปทำงานต่างจังหวัดก็อาจจะไม่ได้กลับบ้านแต่ก็ไม่บ่อยค่ะ เราใช้ชีวิตแบบสามีภรรยากันมาตลอด 3 ปี มีความสุขในทุกๆวันๆ กินข้าว ไปเที่ยว ดูหนังฟังเพลง มีความสุขด้วยกันในทุกๆวัน ไม่มีอะไรที่เราเอ่ยปากขอแล้วพี่เค้าไม่ให้ อยากซื้ออยากช้อปปิ้งอะไรพี่เค้าก็ตามใจเราทั้งหมด จนเราเองก็ติดนิสัยรักสบายค่ะ เพราะไม่มีอะไรเลยที่เราต้องพยายามเพื่อให้ได้มันมา พี่เค้ามักจะจัดหามาให้ได้ตลอด
และความรักครั้งนั้นมันมาพร้อมกับความสบายค่ะ วันๆเราก็ทำงานบ้านนิดหน่อย แต่งตัวสวยๆ รอพี่เค้ากลับบ้าน ไปกินข้าวไปเดินห้างกัน อยากได้อะไรพี่เค้าก็ซื้อให้ไม่เคยขาด พี่เค้าทำตัวสม่ำเสมอมากๆ พร่ำบอกรักเราทุกวัน คอยเป็นห่วงเราเสมอ จนเราคิดว่าชีวิตนี้คงไม่มีความรักที่ไหนสมบูรณ์กว่าความรักนี้อีกแล้ว
ทำให้เราค่อนข้างมั่นใจว่าความรักนี้เป็นของจริง มันจริงเสียจนเราไม่คาดคิดว่ามันจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น แต่มีเรื่องนึงที่ค้างใจเรามาตลอด เราเองไม่ได้คาดหวังให้เค้ามาขอเราแต่งงาน เพราะมันไม่จำเป็นเลย เราอยู่ด้วยกัน รักกัน มันมีความสุขดีอยู่แล้ว แต่เราเองอยากมีลูกค่ะ เพราะอย่างที่บอกว่าเราเองอยู่แต่บ้านไม่ได้ทำงาน และเราก็เที่ยว มีความสุข จนถึงจุดที่เราอยากมีลูก อยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์แล้ว แต่พี่เค้าก็บ่ายเบี่ยงบอกยังไม่พร้อมๆ ยังอยากทำงานหนักๆเหมือนเดิม เราก็ไม่เอะใจอะไรค่ะ หลายๆอย่างที่พี่เค้ามอบให้เรา ทำให้เรามันก็เป็นสิ่งยืนยันที่ชัดเจนแล้วว่าพี่เค้ารักเรา
ส่วนเรื่องทางบ้าน พี่เค้าก็ไปมาหาสู่กับทางบ้านเราตลอด วันหยุดก็แวะไปหา ไปกินข้าวกับที่บ้านบ่อยๆ แต่มันก็มีเรื่องแปลกๆที่เรามองข้ามไปก็คือ พี่เค้าไม่เคยพูดถึงครอบครัวพี่เค้า หรือที่บ้านเลย แต่ก็ด้วยความที่เค้าอายุก็พอสมควรแล้ว เราก็เลยไม่ได้ไปก้าวก่ายอะไร คิดว่าพี่เค้าโตมากพอที่จะตัดสินใจอะไรๆเองได้แล้ว อ้อ เคยเข้าไปที่บ้านเตี่ยกับม๊าอยู่ครั้งนึง ไปสวัสดีทานมื้อค่ำด้วยกัน ทุกอย่างก็ปกติดี
จนช่วงที่เราเริ่มวางแผนอนาคตกันค่ะ ก็มีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยว ปกติเราไม่เคยรับรู้ว่าพี่เค้าได้เงินเท่าไหร่ เพราะพี่เค้าก็จะจัดแจงให้เงินค่าขนม เงินที่ใช้จ่ายในบ้าน ให้เราอย่างเป็นระเบียบ แต่เรามีแพลนจะทำธุรกิจ ก็เลยมีการพูดคุยกันเรื่องเงินมากขึ้น แล้วเราก็พบว่าในแต่ละเดือน จะมีเงินจำนวนไม่ต่ำกว่าสามหมื่นบาท โอนไปบัญชีบัญชีนึงตลอดเป็นประจำทุกเดือน ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เราเอะใจมาก เพราะเงินก็เป็นจำนวนไม่น้อยนะ แล้วเท่าที่เราสังเกตพี่เค้าก็ไม่น่ามีภาระอะไรที่ไหนอีก แต่เราก็ทำได้แค่สงสัย เลยหาที่ปรึกษาก็คือกลุ่มเพื่อนด้วยกันเองนี่แหละค่ะ เพื่อนก็บอกว่าอาการชักไม่ดีละ แอบเลี้ยงผู้หญิงที่ไหนไว้รึเปล่า ปล่อยไปไม่ได้นะเมิง ผู้ชายมีเงินผู้หญิงที่ไหนก็จ้องจับ เพราะดูแล้วโอนไปเป็นประจำเลยด้วย แต่เราก็ยังไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็น เราค่อนข้างมั่นใจในตัวพี่เค้าอยู่ เพราะก็คบกันมาหลายปี อยู่ด้วยกันจนรู้ใจ
แต่แล้วเรื่องมันก็ยิ่งน่าสงสัยมากขึ้นค่ะ เพราะพี่เค้าขอกลับบ้าน ทั้งๆที่ปกติไม่เคยกลับเลย ทำให้เรายิ่งสงสัยมากไปอีก แต่ก็ไม่ได้ขัดอะไร พักนั้นพี่เค้าก็ไปๆกลับๆ จนเรารู้สึกมันผิดสังเกต คืออารมณ์แบบแฟนเปลี่ยนไปอ่ะ พี่เค้าเริ่มกลับไม่ค่อยตรงเวลา บางทีเสาร์ อาทิตย์ก็ไม่ว่าง แล้วคือเรื่องก็ตรงเป๊ะอีกตรงที่ว่าคนรู้จักเราไปเจอพี่เค้าที่ห้าง เห็นว่านั่งกินข้าวกับผู้หญิงคนนึง อายุพอๆกัน เค้าก็นึกว่าเป็นญาติ เลยเอามาบอกกับเรา เราก็เริ่มสงสัยนิดหน่อย แต่ก็ยังไว้ใจ เพราะว่าเราเองก็ไม่เชื่อว่าพี่เค้าจะมีคนอื่น ยิ่งบอกอายุเท่าๆกัน ยิ่งไม่น่าเป็นไปได้ จนหลายๆคนก็เจอพี่เค้าบ่อยขึ้นในช่วงจังหวะที่เค้าไม่ค่อยกลับมาบ้านพอดี
เราก็รู้สึกว่ามันมีอะไรที่แปลกๆ คือพี่เค้าไม่ได้เปลี่ยนไปนะ เพียงแต่เราสองคนไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยเหมือนแต่ก่อน ทุกครั้งที่เจอกัน เราก็ยังคุยกันปกติ ใจก็อยากจะถามเรื่องที่มีคนมาบอกไปตรงๆแต่ก็ยังไม่กล้าพอแต่เซนส์ของผู้หญิง ถ้าจะมีอะไรเกิดขึ้นสักอย่าง ลึกๆแล้ว เราคิดว่ามันต้องเป็นเรื่องจริงไม่มากก็น้อย เลยลองไปปรึกษาเพื่อนดู พอเอาหลายๆเหตุการณ์มาปะติดปะต่อกัน เพื่อนก็ชอบล้อชอบบอกว่าหลัวเมิงอ่ะมีเมียน้อยแก่ มีเมียน้อยแน่นอน แต่เราก็ไม่เชื่อเพื่อน เพราะทุกอย่างที่เป็นมา มันไม่เคยมีตรงไหนที่ทำให้เราคิดว่าพี่เค้าจะแอบไปมีเมียน้อยได้เลย
แต่เพื่อนก็โทรมาบอกอีก ว่าเจออีกแล้วที่ห้าง ถ้าไม่เชื่อให้เราออกไปเลย เราก็แบบ เอาว่ะ ไปก็ไป เพราะว่ามันหลายรอบแล้ว ถ้าเพื่อนโกหกจะได้ตัดรำคาญไปด้วย แต่วันนั้นพอไปที่ห้างค่ะ เราเจอครบแก๊งเลย ครบทั้งพี่เค้า กับผู้หญิงอายุพอๆกันคนนึง และเด็กผู้ชายอายุราว 3-4 ขวบ บอกเลยว่าสติไม่อยู่กับตัวค่ะ เพราะที่เราเห็นกับตามันตรงกับที่หลายๆคนพยายามบอกเรามาตลอดว่าเจอพี่เค้าบ่อยๆกับผู้หญิงคนนี้ เราตัดสินใจเดินเข้าไปในร้านเลย ตอนนั้นเรายังไม่รู้หรอกว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร แต่พอเราเดินเข้าไป พี่เค้าก็เรียกชื่อเราแล้วบอกว่าพี่เค้าขอทำธุระก่อน ให้เรากลับบ้าน เราก็อึ้งสิ ว่าถ้าไม่มีอะไรเราก็น่าจะนั่งกินข้าวด้วยได้ แต่แล้วพี่เค้าก็บอกเลยว่านี่ภรรยากับลูกพี่ ให้เรากลับมาก่อน เดี๋ยวค่อยคุยกัน พี่จะไปหา เราก็แบบไม่ยอมสิ ได้ยังไง เราเป็นสามีภรรยากันไม่ใช่หรอ เราก็ถามออกไปเลยว่าคืออะไร ยังไง พี่หลอกหนูหรอ พี่เค้าก็บอกให้เรากลับก่อนๆ วันนั้นจำได้ว่าคลั่งเลยค่ะ ร้องไห้แบบรุนแรงมาก คลั่งเลย ภรรยาพี่เค้าก็คงงงว่าเราเป็นอะไร แต่จุดนั้นเราไม่สนค่ะ เราก็บอกพี่เค้าไปว่า เราไม่ยอมนะ พี่ต้องเลือก ต้องชัดเจน เพราะหนูจะไม่ยอมเป็นน้อย เป็นสองรองใคร ที่จำได้ก็คือสติเราหลุดสุดๆ เพื่อนก็มาลากให้กลับ คือเรารู้สึกเหมือนฟ้าถล่มมาตรงหน้าเลย ใครจะคิดว่าวันนึงเราจะกลายเป็นเมียน้อย เราเข้าใจมาตลอดว่าเราเป็นรักแท้ เป็นรักเดียวของพี่เค้า
จนวันนั้นค่ำๆ พี่เค้าก็กลับมาค่ะ เราจำไม่ได้แล้วว่าร้องไห้อยู่นานแค่ไหน พี่เค้าก็บอกเราว่า นั่นภรรยากับลูกชายของเค้า แต่งงานจดทะเบียนกันมานานหลายปีแล้ว และเราก็เป็นอีกคนของพี่เค้า ความรู้สึกตอนนั้น คือมันเหมือนเป็นคำพูดที่ตอกย้ำว่าทุกอย่างมันคือเรื่องจริง เรากลายเป็นเมียน้อยไปแล้วจริงๆ พี่เค้าก็แค่มามีเราเพียงเพราะภรรยาเค้าท้อง เลยมาหาความสุขนอกบ้าน ดูแล้วมันก็คือเมียเก็บ เราเป็นเมียน้อยจริงๆ แต่พี่เค้าก็บอกว่า ไม่ใช่ว่าพี่เค้าไม่รักเรา เพราะพี่เค้ารักเรามาก ถึงไม่อยากให้เรารู้ ไม่อยากให้เราเสียใจ บอกเราว่าพี่เค้าไม่ได้รักภรรยาแล้ว ก็รับผิดชอบกันแค่เรื่องลูกด้วยเงินที่ส่งไปทุกเดือน ส่วนเรื่องหย่าพี่เค้าก็มองว่ามันไม่ได้จำเป็นอะไร การที่พี่เค้ามีสองบ้าน ก็ไม่ใช่ว่าเราจะไม่มีความสุขกันนี่นา ตอนนั้นเราฟังก็ได้แต่อึ้งๆค่ะ ยอมรับเลยว่าเราไม่ได้ใจแข็งได้ถึงขนาดเดินตัดขาดออกมา เพราะตอนนั้นเราก็มีแค่พี่เค้าเท่านั้น
เราก็อยู่กันแบบเดิมต่อไปค่ะ แต่พี่เค้าเริ่มกลับบ้านภรรยาบ่อยมากขึ้น บอกว่าลูกป่วยต่างๆนาๆ เราก็น้อยใจค่ะบอกตามตรง เพราะแบบมันเริ่มบ่อยมากเกินไป แล้วเรารู้สึกว่าอะไรเดิมๆที่เราเคยได้รับมันน้อยลง เราไม่ได้ว่าที่พี่เค้าจะไปดูลูก แต่เราไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ที่พี่เค้าต้องไปนอนค้างบ้านภรรยา แล้วก็เหมือนผีปีศาจมันเข้าสิงค่ะ เราแอบไปรื้อหาไลน์ภรรยาพี่เค้าในโทรศัพท์ แล้วเอาไลน์มาเพื่อจะโทรไปเคลียร์เอง โดยที่ไม่ให้พี่เค้ารู้
เราก็โทรไปเลยค่ะ ภรรยาพี่เค้ารับ เราก็ถามเลยว่าพี่เลิกกันแล้วไม่ใช่หรอคะ แล้วจะเอาทะเบียนสมรสมาขังพี่เค้าไว้ทำไม คือพี่เค้าอยู่กับหนูมาสามปีแล้ว พี่ไม่รู้เลยหรอ เท่าที่เราคุยคือเค้าก็ไม่รู้นะ ว่าสามีเค้ามามีน้อย พี่เค้าก็บอกว่า เค้าไม่เคยมีแพลนจะเลิกกัน หรือหย่าอะไร เค้าบอกว่าเค้าอายุเยอะแล้ว จะไปมีเล็กมีน้อยเค้าไม่แคร์เท่าไหร่ เราหน้าชานะ ที่สุดท้าย ทุกคนก็ตราหน้าว่าเราเป็นเล็กเป็นน้อย คือเราเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดกับเราและพี่เค้ามันคือความรักมาตลอด วันนึงที่เรารู้ว่าความรักครั้งนี้มันเป็นแค่ของปลอม เป็นแค่ตัวสำรอง เป็นใครก็รับไม่ได้หรอกค่ะ เวลา 3 ปีกับกว่ากับผู้ชายคนนี้ เราทิ้งทั้งชีวิตมาอยู่กับพี่เค้า โลกที่เคยมีความสุข มันพังทลายลงมา จิตใต้สำนึกของเรา มันก็บอกให้เราคิดในสิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปไม่น่าคิดกันค่ะ ตอนนั้นเราคิดแค่เพียงว่าเราไม่ผิด และไม่มีใครผิด พี่เค้าก็ไม่ผิด เราแค่รักกัน อาจจะเจอกันช้าไป แต่ไม่ได้เดือดร้อนใครนี่นา ตอนนั้นเราก็คือเข้าข้างตัวเอง ว่าพี่เค้ารักเรา คงไม่ได้รักภรรยาเค้าแล้ว เพราะเวลาของพี่เค้าทั้งหมดพี่เค้าก็เอามาให้เรา เราไม่เชื่อว่าพี่เค้าจะหลอกเรา เราคิดว่าภรรยาพี่เค้าโกหกเรื่องที่พี่เค้าไม่คิดหย่า ตอนนั้นเราเหมือนคนหลอกตัวเองค่ะ เรารักพี่เค้า เราสองคนรักกัน เราเชื่อว่าพี่เค้าต้องมีเหตุผลที่ทำลงไป เพราะเราเชื่อที่สุดว่า นี่คือความรัก
เราตัดสินใจคุยกับพี่เค้าอีกค่ะ ตอนนั้นเราว่าพี่เค้าแค่มองว่าเราชวนทะเลาะ แต่คือเราแค่ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร เราต้องการข้อสรุปของเรื่องนี้ พี่เค้ากลับบอกเราว่า ทุกวันนี้ต่างคนต่างอยู่ เราก็สุขสบายดีไม่ใช่หรอ ทำไมเราจะต้องเข้าไปขุดคุ้ย พี่เค้าก็ให้เราหมดทุกอย่างอยู่แล้ว แต่เราไม่ยอมค่ะ พี่เค้าเป็นคนเดียวของเรามาตลอด แต่ทำไมเราถึงได้เป็นที่สอง ได้เป็นเมียน้อย ในเมื่อเรารักกัน ถ้าพี่เค้ารักเรา พี่เค้าก็ต้องมีแค่เราคนเดียวสิ แล้วถ้าเรื่องนี้เป็นละครหลังข่าว เราก็คือนางร้ายดีๆนี่เอง เราคิดว่าพี่เค้าไม่มีเยื่อใยให้ภรรยาเค้าแล้วแน่ๆ เพราะว่าเราเองก็ได้รับความรักความเอาใจใส่อย่างเต็มเปี่ยมมาตลอด แต่สิ่งที่เราอยากได้มันไม่ใช่แค่เท่าเดิมแบบที่ผ่านมา เราต้องการมากกว่าเดิม พอเรารู้ว่าเราเป็นที่สอง เราก็ต้องการเป็นที่หนึ่ง ก็ยอมรับเลยว่าร้าย ส่งข้อความไปด่าภรรยาเค้า อีแก่ อียาน อะไรก็ว่าไปค่ะ ส่งไปทุกวัน ตามจิกตามเช็คพี่เค้าไม่หยุด คือเราเริ่มไม่มั่นใจ แล้วก็ระแวงแล้วด้วย มองย้อนกลับไปตอนนั้นคือเหมือนโรคจิตเลย โทรรังควานเค้าไม่หยุด ดึกดื่นพี่เค้าไม่กลับบ้านก็ต้องโทรไปเช็คกับบ้านโน้นว่าพี่เค้าไปหามั้ย ตามจิกๆๆๆๆ จนตอนหลังพี่เค้าก็คงเบื่อเราจนทนไม่ไหว เพราะสภาพเราตอนนั้นจำได้เลยว่าห่อเหี่ยวมาก งานบ้านเริ่มไม่ทำ ไม่ดูแลตัวเอง ไม่แต่งหน้าทำผม ไม่ดูแลพี่เค้าแล้ว เริ่มเครียดมาก กลายเป็นผู้หญิงจุกจิกน่ารำคาญจนพี่เค้าก็ไม่ค่อยกลับมาหา เดาว่าคงรำคาญเรา หรืออาจจะตัดสินใจกลับไปหาภรรยากับลูกแล้วก็ได้
เป็นเมียน้อยแล้วสบาย ใครก็(ไม่)อยากเป็น
ทั้งหมดที่เล่าจะเล่านี้เป็นความรู้สึกของผู้หญิงสกปรก จากผู้หญิงที่เคยเป็นเมียน้อยอย่างเรา ความรู้สึกแบบที่ถ้าใครไม่เคยเป็นไม่มีทางเข้าใจ
ขอเล่าย้อนไปตั้งแต่ 4 ปีที่แล้วค่ะ ตั้งแต่เราเริ่มรู้จักกับผู้ชายคนนี้ พี่เค้าอายุห่างกับเราร่วมๆสิบปี จุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของเราก็เหมือนคู่รักปกติทั่วไป เราได้รู้จักกับพี่เค้าเพราะว่าเค้าเป็นรุ่นพี่ของเพื่อนเราค่ะ มีโอกาสได้ทำความรู้จักกัน พี่เค้าดูเป็นผู้ชายอบอุ่น มีภูมิฐาน ก็คุยดูใจกันอยู่ระยะนึงเลย จนตัดสินใจคบกัน ด้วยความที่อายุก็ไม่ได้น้อยแล้ว ฐานะก็ค่อนข้างมั่นคง ใช้เวลาไม่นานพี่เค้าก็ซื้อบ้านอยู่กับเราโดยที่พี่เค้าให้เราออกจากงานที่ทำอยู่มาเป็นแม่บ้านคอยดูแลพี่เค้า และก็ขายของออนไลน์เป็นรายเสริมนิดๆหน่อยๆ พี่เค้าก็ดูแลเราดี สม่ำเสมอ ไม่เคยไปมีเล็กมีน้อยที่ไหน แทบจะทุกวันที่พี่เค้าออกไปทำงานและกลับบ้านอย่างตรงเวลา ไม่มีการโทรศัพท์ หรือแชทกับใครที่ดูน่าสงสัย หรือนอกลู่นอกทางเลย ยกเว้นแต่ว่าจะไปทำงานต่างจังหวัดก็อาจจะไม่ได้กลับบ้านแต่ก็ไม่บ่อยค่ะ เราใช้ชีวิตแบบสามีภรรยากันมาตลอด 3 ปี มีความสุขในทุกๆวันๆ กินข้าว ไปเที่ยว ดูหนังฟังเพลง มีความสุขด้วยกันในทุกๆวัน ไม่มีอะไรที่เราเอ่ยปากขอแล้วพี่เค้าไม่ให้ อยากซื้ออยากช้อปปิ้งอะไรพี่เค้าก็ตามใจเราทั้งหมด จนเราเองก็ติดนิสัยรักสบายค่ะ เพราะไม่มีอะไรเลยที่เราต้องพยายามเพื่อให้ได้มันมา พี่เค้ามักจะจัดหามาให้ได้ตลอด
และความรักครั้งนั้นมันมาพร้อมกับความสบายค่ะ วันๆเราก็ทำงานบ้านนิดหน่อย แต่งตัวสวยๆ รอพี่เค้ากลับบ้าน ไปกินข้าวไปเดินห้างกัน อยากได้อะไรพี่เค้าก็ซื้อให้ไม่เคยขาด พี่เค้าทำตัวสม่ำเสมอมากๆ พร่ำบอกรักเราทุกวัน คอยเป็นห่วงเราเสมอ จนเราคิดว่าชีวิตนี้คงไม่มีความรักที่ไหนสมบูรณ์กว่าความรักนี้อีกแล้ว
ทำให้เราค่อนข้างมั่นใจว่าความรักนี้เป็นของจริง มันจริงเสียจนเราไม่คาดคิดว่ามันจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น แต่มีเรื่องนึงที่ค้างใจเรามาตลอด เราเองไม่ได้คาดหวังให้เค้ามาขอเราแต่งงาน เพราะมันไม่จำเป็นเลย เราอยู่ด้วยกัน รักกัน มันมีความสุขดีอยู่แล้ว แต่เราเองอยากมีลูกค่ะ เพราะอย่างที่บอกว่าเราเองอยู่แต่บ้านไม่ได้ทำงาน และเราก็เที่ยว มีความสุข จนถึงจุดที่เราอยากมีลูก อยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์แล้ว แต่พี่เค้าก็บ่ายเบี่ยงบอกยังไม่พร้อมๆ ยังอยากทำงานหนักๆเหมือนเดิม เราก็ไม่เอะใจอะไรค่ะ หลายๆอย่างที่พี่เค้ามอบให้เรา ทำให้เรามันก็เป็นสิ่งยืนยันที่ชัดเจนแล้วว่าพี่เค้ารักเรา
ส่วนเรื่องทางบ้าน พี่เค้าก็ไปมาหาสู่กับทางบ้านเราตลอด วันหยุดก็แวะไปหา ไปกินข้าวกับที่บ้านบ่อยๆ แต่มันก็มีเรื่องแปลกๆที่เรามองข้ามไปก็คือ พี่เค้าไม่เคยพูดถึงครอบครัวพี่เค้า หรือที่บ้านเลย แต่ก็ด้วยความที่เค้าอายุก็พอสมควรแล้ว เราก็เลยไม่ได้ไปก้าวก่ายอะไร คิดว่าพี่เค้าโตมากพอที่จะตัดสินใจอะไรๆเองได้แล้ว อ้อ เคยเข้าไปที่บ้านเตี่ยกับม๊าอยู่ครั้งนึง ไปสวัสดีทานมื้อค่ำด้วยกัน ทุกอย่างก็ปกติดี
จนช่วงที่เราเริ่มวางแผนอนาคตกันค่ะ ก็มีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยว ปกติเราไม่เคยรับรู้ว่าพี่เค้าได้เงินเท่าไหร่ เพราะพี่เค้าก็จะจัดแจงให้เงินค่าขนม เงินที่ใช้จ่ายในบ้าน ให้เราอย่างเป็นระเบียบ แต่เรามีแพลนจะทำธุรกิจ ก็เลยมีการพูดคุยกันเรื่องเงินมากขึ้น แล้วเราก็พบว่าในแต่ละเดือน จะมีเงินจำนวนไม่ต่ำกว่าสามหมื่นบาท โอนไปบัญชีบัญชีนึงตลอดเป็นประจำทุกเดือน ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เราเอะใจมาก เพราะเงินก็เป็นจำนวนไม่น้อยนะ แล้วเท่าที่เราสังเกตพี่เค้าก็ไม่น่ามีภาระอะไรที่ไหนอีก แต่เราก็ทำได้แค่สงสัย เลยหาที่ปรึกษาก็คือกลุ่มเพื่อนด้วยกันเองนี่แหละค่ะ เพื่อนก็บอกว่าอาการชักไม่ดีละ แอบเลี้ยงผู้หญิงที่ไหนไว้รึเปล่า ปล่อยไปไม่ได้นะเมิง ผู้ชายมีเงินผู้หญิงที่ไหนก็จ้องจับ เพราะดูแล้วโอนไปเป็นประจำเลยด้วย แต่เราก็ยังไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็น เราค่อนข้างมั่นใจในตัวพี่เค้าอยู่ เพราะก็คบกันมาหลายปี อยู่ด้วยกันจนรู้ใจ
แต่แล้วเรื่องมันก็ยิ่งน่าสงสัยมากขึ้นค่ะ เพราะพี่เค้าขอกลับบ้าน ทั้งๆที่ปกติไม่เคยกลับเลย ทำให้เรายิ่งสงสัยมากไปอีก แต่ก็ไม่ได้ขัดอะไร พักนั้นพี่เค้าก็ไปๆกลับๆ จนเรารู้สึกมันผิดสังเกต คืออารมณ์แบบแฟนเปลี่ยนไปอ่ะ พี่เค้าเริ่มกลับไม่ค่อยตรงเวลา บางทีเสาร์ อาทิตย์ก็ไม่ว่าง แล้วคือเรื่องก็ตรงเป๊ะอีกตรงที่ว่าคนรู้จักเราไปเจอพี่เค้าที่ห้าง เห็นว่านั่งกินข้าวกับผู้หญิงคนนึง อายุพอๆกัน เค้าก็นึกว่าเป็นญาติ เลยเอามาบอกกับเรา เราก็เริ่มสงสัยนิดหน่อย แต่ก็ยังไว้ใจ เพราะว่าเราเองก็ไม่เชื่อว่าพี่เค้าจะมีคนอื่น ยิ่งบอกอายุเท่าๆกัน ยิ่งไม่น่าเป็นไปได้ จนหลายๆคนก็เจอพี่เค้าบ่อยขึ้นในช่วงจังหวะที่เค้าไม่ค่อยกลับมาบ้านพอดี
เราก็รู้สึกว่ามันมีอะไรที่แปลกๆ คือพี่เค้าไม่ได้เปลี่ยนไปนะ เพียงแต่เราสองคนไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยเหมือนแต่ก่อน ทุกครั้งที่เจอกัน เราก็ยังคุยกันปกติ ใจก็อยากจะถามเรื่องที่มีคนมาบอกไปตรงๆแต่ก็ยังไม่กล้าพอแต่เซนส์ของผู้หญิง ถ้าจะมีอะไรเกิดขึ้นสักอย่าง ลึกๆแล้ว เราคิดว่ามันต้องเป็นเรื่องจริงไม่มากก็น้อย เลยลองไปปรึกษาเพื่อนดู พอเอาหลายๆเหตุการณ์มาปะติดปะต่อกัน เพื่อนก็ชอบล้อชอบบอกว่าหลัวเมิงอ่ะมีเมียน้อยแก่ มีเมียน้อยแน่นอน แต่เราก็ไม่เชื่อเพื่อน เพราะทุกอย่างที่เป็นมา มันไม่เคยมีตรงไหนที่ทำให้เราคิดว่าพี่เค้าจะแอบไปมีเมียน้อยได้เลย
แต่เพื่อนก็โทรมาบอกอีก ว่าเจออีกแล้วที่ห้าง ถ้าไม่เชื่อให้เราออกไปเลย เราก็แบบ เอาว่ะ ไปก็ไป เพราะว่ามันหลายรอบแล้ว ถ้าเพื่อนโกหกจะได้ตัดรำคาญไปด้วย แต่วันนั้นพอไปที่ห้างค่ะ เราเจอครบแก๊งเลย ครบทั้งพี่เค้า กับผู้หญิงอายุพอๆกันคนนึง และเด็กผู้ชายอายุราว 3-4 ขวบ บอกเลยว่าสติไม่อยู่กับตัวค่ะ เพราะที่เราเห็นกับตามันตรงกับที่หลายๆคนพยายามบอกเรามาตลอดว่าเจอพี่เค้าบ่อยๆกับผู้หญิงคนนี้ เราตัดสินใจเดินเข้าไปในร้านเลย ตอนนั้นเรายังไม่รู้หรอกว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร แต่พอเราเดินเข้าไป พี่เค้าก็เรียกชื่อเราแล้วบอกว่าพี่เค้าขอทำธุระก่อน ให้เรากลับบ้าน เราก็อึ้งสิ ว่าถ้าไม่มีอะไรเราก็น่าจะนั่งกินข้าวด้วยได้ แต่แล้วพี่เค้าก็บอกเลยว่านี่ภรรยากับลูกพี่ ให้เรากลับมาก่อน เดี๋ยวค่อยคุยกัน พี่จะไปหา เราก็แบบไม่ยอมสิ ได้ยังไง เราเป็นสามีภรรยากันไม่ใช่หรอ เราก็ถามออกไปเลยว่าคืออะไร ยังไง พี่หลอกหนูหรอ พี่เค้าก็บอกให้เรากลับก่อนๆ วันนั้นจำได้ว่าคลั่งเลยค่ะ ร้องไห้แบบรุนแรงมาก คลั่งเลย ภรรยาพี่เค้าก็คงงงว่าเราเป็นอะไร แต่จุดนั้นเราไม่สนค่ะ เราก็บอกพี่เค้าไปว่า เราไม่ยอมนะ พี่ต้องเลือก ต้องชัดเจน เพราะหนูจะไม่ยอมเป็นน้อย เป็นสองรองใคร ที่จำได้ก็คือสติเราหลุดสุดๆ เพื่อนก็มาลากให้กลับ คือเรารู้สึกเหมือนฟ้าถล่มมาตรงหน้าเลย ใครจะคิดว่าวันนึงเราจะกลายเป็นเมียน้อย เราเข้าใจมาตลอดว่าเราเป็นรักแท้ เป็นรักเดียวของพี่เค้า
จนวันนั้นค่ำๆ พี่เค้าก็กลับมาค่ะ เราจำไม่ได้แล้วว่าร้องไห้อยู่นานแค่ไหน พี่เค้าก็บอกเราว่า นั่นภรรยากับลูกชายของเค้า แต่งงานจดทะเบียนกันมานานหลายปีแล้ว และเราก็เป็นอีกคนของพี่เค้า ความรู้สึกตอนนั้น คือมันเหมือนเป็นคำพูดที่ตอกย้ำว่าทุกอย่างมันคือเรื่องจริง เรากลายเป็นเมียน้อยไปแล้วจริงๆ พี่เค้าก็แค่มามีเราเพียงเพราะภรรยาเค้าท้อง เลยมาหาความสุขนอกบ้าน ดูแล้วมันก็คือเมียเก็บ เราเป็นเมียน้อยจริงๆ แต่พี่เค้าก็บอกว่า ไม่ใช่ว่าพี่เค้าไม่รักเรา เพราะพี่เค้ารักเรามาก ถึงไม่อยากให้เรารู้ ไม่อยากให้เราเสียใจ บอกเราว่าพี่เค้าไม่ได้รักภรรยาแล้ว ก็รับผิดชอบกันแค่เรื่องลูกด้วยเงินที่ส่งไปทุกเดือน ส่วนเรื่องหย่าพี่เค้าก็มองว่ามันไม่ได้จำเป็นอะไร การที่พี่เค้ามีสองบ้าน ก็ไม่ใช่ว่าเราจะไม่มีความสุขกันนี่นา ตอนนั้นเราฟังก็ได้แต่อึ้งๆค่ะ ยอมรับเลยว่าเราไม่ได้ใจแข็งได้ถึงขนาดเดินตัดขาดออกมา เพราะตอนนั้นเราก็มีแค่พี่เค้าเท่านั้น
เราก็อยู่กันแบบเดิมต่อไปค่ะ แต่พี่เค้าเริ่มกลับบ้านภรรยาบ่อยมากขึ้น บอกว่าลูกป่วยต่างๆนาๆ เราก็น้อยใจค่ะบอกตามตรง เพราะแบบมันเริ่มบ่อยมากเกินไป แล้วเรารู้สึกว่าอะไรเดิมๆที่เราเคยได้รับมันน้อยลง เราไม่ได้ว่าที่พี่เค้าจะไปดูลูก แต่เราไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ที่พี่เค้าต้องไปนอนค้างบ้านภรรยา แล้วก็เหมือนผีปีศาจมันเข้าสิงค่ะ เราแอบไปรื้อหาไลน์ภรรยาพี่เค้าในโทรศัพท์ แล้วเอาไลน์มาเพื่อจะโทรไปเคลียร์เอง โดยที่ไม่ให้พี่เค้ารู้
เราก็โทรไปเลยค่ะ ภรรยาพี่เค้ารับ เราก็ถามเลยว่าพี่เลิกกันแล้วไม่ใช่หรอคะ แล้วจะเอาทะเบียนสมรสมาขังพี่เค้าไว้ทำไม คือพี่เค้าอยู่กับหนูมาสามปีแล้ว พี่ไม่รู้เลยหรอ เท่าที่เราคุยคือเค้าก็ไม่รู้นะ ว่าสามีเค้ามามีน้อย พี่เค้าก็บอกว่า เค้าไม่เคยมีแพลนจะเลิกกัน หรือหย่าอะไร เค้าบอกว่าเค้าอายุเยอะแล้ว จะไปมีเล็กมีน้อยเค้าไม่แคร์เท่าไหร่ เราหน้าชานะ ที่สุดท้าย ทุกคนก็ตราหน้าว่าเราเป็นเล็กเป็นน้อย คือเราเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดกับเราและพี่เค้ามันคือความรักมาตลอด วันนึงที่เรารู้ว่าความรักครั้งนี้มันเป็นแค่ของปลอม เป็นแค่ตัวสำรอง เป็นใครก็รับไม่ได้หรอกค่ะ เวลา 3 ปีกับกว่ากับผู้ชายคนนี้ เราทิ้งทั้งชีวิตมาอยู่กับพี่เค้า โลกที่เคยมีความสุข มันพังทลายลงมา จิตใต้สำนึกของเรา มันก็บอกให้เราคิดในสิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปไม่น่าคิดกันค่ะ ตอนนั้นเราคิดแค่เพียงว่าเราไม่ผิด และไม่มีใครผิด พี่เค้าก็ไม่ผิด เราแค่รักกัน อาจจะเจอกันช้าไป แต่ไม่ได้เดือดร้อนใครนี่นา ตอนนั้นเราก็คือเข้าข้างตัวเอง ว่าพี่เค้ารักเรา คงไม่ได้รักภรรยาเค้าแล้ว เพราะเวลาของพี่เค้าทั้งหมดพี่เค้าก็เอามาให้เรา เราไม่เชื่อว่าพี่เค้าจะหลอกเรา เราคิดว่าภรรยาพี่เค้าโกหกเรื่องที่พี่เค้าไม่คิดหย่า ตอนนั้นเราเหมือนคนหลอกตัวเองค่ะ เรารักพี่เค้า เราสองคนรักกัน เราเชื่อว่าพี่เค้าต้องมีเหตุผลที่ทำลงไป เพราะเราเชื่อที่สุดว่า นี่คือความรัก
เราตัดสินใจคุยกับพี่เค้าอีกค่ะ ตอนนั้นเราว่าพี่เค้าแค่มองว่าเราชวนทะเลาะ แต่คือเราแค่ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร เราต้องการข้อสรุปของเรื่องนี้ พี่เค้ากลับบอกเราว่า ทุกวันนี้ต่างคนต่างอยู่ เราก็สุขสบายดีไม่ใช่หรอ ทำไมเราจะต้องเข้าไปขุดคุ้ย พี่เค้าก็ให้เราหมดทุกอย่างอยู่แล้ว แต่เราไม่ยอมค่ะ พี่เค้าเป็นคนเดียวของเรามาตลอด แต่ทำไมเราถึงได้เป็นที่สอง ได้เป็นเมียน้อย ในเมื่อเรารักกัน ถ้าพี่เค้ารักเรา พี่เค้าก็ต้องมีแค่เราคนเดียวสิ แล้วถ้าเรื่องนี้เป็นละครหลังข่าว เราก็คือนางร้ายดีๆนี่เอง เราคิดว่าพี่เค้าไม่มีเยื่อใยให้ภรรยาเค้าแล้วแน่ๆ เพราะว่าเราเองก็ได้รับความรักความเอาใจใส่อย่างเต็มเปี่ยมมาตลอด แต่สิ่งที่เราอยากได้มันไม่ใช่แค่เท่าเดิมแบบที่ผ่านมา เราต้องการมากกว่าเดิม พอเรารู้ว่าเราเป็นที่สอง เราก็ต้องการเป็นที่หนึ่ง ก็ยอมรับเลยว่าร้าย ส่งข้อความไปด่าภรรยาเค้า อีแก่ อียาน อะไรก็ว่าไปค่ะ ส่งไปทุกวัน ตามจิกตามเช็คพี่เค้าไม่หยุด คือเราเริ่มไม่มั่นใจ แล้วก็ระแวงแล้วด้วย มองย้อนกลับไปตอนนั้นคือเหมือนโรคจิตเลย โทรรังควานเค้าไม่หยุด ดึกดื่นพี่เค้าไม่กลับบ้านก็ต้องโทรไปเช็คกับบ้านโน้นว่าพี่เค้าไปหามั้ย ตามจิกๆๆๆๆ จนตอนหลังพี่เค้าก็คงเบื่อเราจนทนไม่ไหว เพราะสภาพเราตอนนั้นจำได้เลยว่าห่อเหี่ยวมาก งานบ้านเริ่มไม่ทำ ไม่ดูแลตัวเอง ไม่แต่งหน้าทำผม ไม่ดูแลพี่เค้าแล้ว เริ่มเครียดมาก กลายเป็นผู้หญิงจุกจิกน่ารำคาญจนพี่เค้าก็ไม่ค่อยกลับมาหา เดาว่าคงรำคาญเรา หรืออาจจะตัดสินใจกลับไปหาภรรยากับลูกแล้วก็ได้