ใช่ค่ะ นักวิ่งส่วนมาก จะเป็นนักวิ่งปลิ้นปล้อน ปากก็โอดโอย พอแล้ว เลิกๆไม่วิ่งแล้ว ไม่มีสัจจะในหมู่นักวิ่งฉันใด ที่ลั่นวาจาไว้ว่าจะเลิกวิ่งมันไม่มีอยู่จริง ด้วยเหตุนี้ เราก็เลยสมัครลงวิ่งเทรลระยะ42กิโล กับความชันระดับ 2,000อัพ แบบไม่สำเนียกสังขารตัวเอง
เรื่องซ้อมนี่ไม่ต้องสืบค่ะ เก็บระยะฮาฟเอาตามงานวิ่งต่างๆ เช่น นาวิกโยธิน แม่เมาะ ซ้อมวิ่งยาวมันทุกที่ ที่มีโอกาส แต่ก็ยังไม่ถึง30โลซักที ไปสุดก็28กิโล เลยคิดว่า เอาว่ะ ลงฟูลมิดไนท์มาราธอนมันซะเลย ถือเป็นสนามซ้อมไปในตัว #เพราะทุกที่คือสนามซ้อม 555+
ตอนซ้อมก็ไม่เครียดมาก มาเครียด3วันสุดท้ายก่อนวิ่งมิดไนท์มาราธอน เพราะเพจเค้าแจ้งนักวิ่งว่า คัทออฟ6ชม. มีจุดคัทออฟ2จุด และเป็นจุดหายนะจริงๆค่ะ จุดแรก ระยะ34กิโล จุดที่ 2 ระยะ 39กิโล ถึงเส้นชัยต้องภายใน 6.00น. อีนี่ล่กมากค่ะ 5555 วันวิ่งจริงก็เปนนักวิ่งนอนน้อยกันทุกคน ตาเปนหมีแพนด้า ฝนก็ตกปรอยๆตลอดเวลาที่วิ่ง แต่ก็จบมาได้ด้วยเวลา 5.42ชม.
#ตายอย่างสงบศพห่มเสื้อฟินิชเชอร์
#วิ่งยันหว่าง
แล้วก็พักร่างแบบชะล่าใจไป2สัปดาห์ โดยคิดไปเองว่า เออ..พี่ซ้อมถึงแล้วแหล่ะ สควอสๆ เวทๆ เดินขึ้นลงบันได ไปเดินไปวิ่งชมวิวสวยๆที่ซาปา กินข้าวในป่าแบบชิคๆ จากประสบการณ์วิ่งเทรลที่คิดไปเองว่ามีเยอะ แต่เปล่าเลยค่ะ มีประสบกรณ์จี๊ดนึงเท่าจิ๋มมด ประทับช้าง 30k โป่งแยง 30k สิงห์อัลตรา 38k มีเท่านี้จริงๆในสต็อค แต่บังอาจไปลงวิ่งเวียดนามเมาเท่นมาราธอน42k (ระยะวิ่งจริงๆ 46k ด้วย!!) ควรเรียกชื่อใหม่ให้เป็นเกียรติเป็นศรีว่า "เวียดนามม่องเท่งมาราธอน2018"
วันไปถึงก็คืนวันศุกร์ นั่งขาแข็งอยู่ในรถ7ชม. ไปถึงซาปาก็ทุ่มกว่าๆพอดี ถึงปุ๊บโหลดอาหารกันอย่างบันเทิงมากค่ะ
สิ่งที่เราจะต้องผจญค่ะ
เช้าก็ต้องรีบกิน รีบขึ้นรถบัสไปจุดปล่อยตัว เริ่มปล่อยตัวนักวิ่ง 7.30น. (นี่แอบคิดในใจว่าเออ ขอจบ6-8ชม.) แต่มันเปนแค่ความมโนไปเองค่ะ 3โลแรกที่วิ่งก็ลิ้นห้อยเบย ด้วยความไม่รู้ เราเห็นเปนทางราบ ก็เออ น่าจะทำเวลาเก็บแต้มไว้ ปรากฏว่าวิ่งไปเพื่อยืนรอลงเขาอีกเกือบ40นาที ทางเปน single track นอกจากต้องต่อคิวกันลงทีละคนแล้ว ยังต้องหลีกทางแบบแทบเอาตัวแปะไปกับต้นไม้ใบหญ้าเพื่อหลบทางให้นักวิ่ง 100k และ 70k ให้พี่ๆเค้าได้รีบพุ่งตัวไป
ทางก็จะชันๆ มีหิน และลื่นมากเพราะฝนตกตลอดทั้งสัปดาห์ วิ่งๆลื่นๆหลบๆนักวิ่งสายแข็งทั้งหลาย (คือถ้าไม่หลบเค้าชนค่ะ มัวเงอะงะโดนชนกลิ้งนาจา)
จากกราฟที่วาดใส่แขนและพกติดตัวมาเสมือนผ้ายันต์กันหลงป่า ก็เดาได้ว่ามี4ยอดเขาแบบโหดๆให้เราปีนป่ายข้ามมันไป stationน้ำ ก็มีให้5จุด มีกล้วย แคนตาลูป และมาม่านุ่มนอกกรอบในร้อนๆลวกปากให้เรากินด้วย อ่ะ ดูรูปค่ะ มาม่าเดือดท่ามกลางแสงตะวันที่เดือดดาลกว่า
ปล. ทนดูภาพเจ้าของกระทู้ไปก่อนนะคะ เบลอหน้าตัวเองไม่เป็น
ทางขึ้นที่ว่าโหดแล้ว ทางลงโหดกว่า ข้ามน้ำ ลำธาร และห้วย เขาลูกสุดท้ายมีเชือกให้โรยตัวขึ้นไปรึอะไรซักอย่าง แต่คงผ่านมาหลายมือแล้ว พอมาถึงเราเชือกจึงขาด มีสภาพไม่พร้อมใช้ 555+ รูปมาค่ะ
ตอนถ่ายรูปนี่คือนั่งทำใจอยู่ ฟ้าก็กำลังจะมืด ที่ตั้งใจว่าจะจบ8ชม. ก็ปาเข้าไป9ชม.ล่ะ พระจันทร์ก็เริ่มกระจ่างฟ้า นาฬิกาบอกเวลาย้ำเตือนว่าแบตจาหมดแล้ว
แต่...เราผ่านมาถึง39กิโลแล้ว จะหยุดได้เหรอ ไม่ซิ #คลานต่อไม่รอแล้วนะ เรียกว่าคลานเถอะ เพราะเขาลูกสุดท้ายเหมือนจะเป็นลม มันเย็นๆเบาๆหวิวๆกินอะไรไม่ลง หูอื้อ ตาลายไปหมด ได้แต่จิบน้ำ กินอินทผลัมไปพลางๆ เสบียงก็กำลังจะหมด และต้องจบให้ได้ จะDNFให้เสียประวัติตัวเองไม่ได้เด็ดขาด #ดราม่ามาเต็ม ปีนๆขึ้นไปจนสุดยอดเขา ก็เจอสต๊าฟกับนักดนตรีพื้นบ้านกำลังขับกล่อมนักวิ่งให้ชิวกับบรรยากาศโพล้เพล้ เราก็กัดฟันไปต่อค่ะ พ้นยอดเขามาหน่อยก็เจอสต๊าฟอีกกลุ่มยืนสแตนบายรอนักวิ่งใจเสาะอย่างเรา ถามไปว่าเหลืออีกกี่โล พี่เค้าว่า อีก4กิโล downhill นี่ก็นึกว่าดาว์นแบบเป็นมิตร ไม่จ้าาา ทางเป็นหินลูกลังผสมหินก้อนใหญ่แบบขรุขระ และลงแบบชันมาก วิ่งสลับฟันปลาก็แล้ว เอาข้างๆลงก็แล้ว จิกพื้นรองเท้าจนเล็บไร้ความรู้สึก ก็ยังไม่สิ้นสุดดาว์นฮิล ฟ้าก็เริ่มมืด วิ่งไปก็เจองูตัดหน้า ทางเป็นเขาๆป่าๆก็ไม่กล้ามองไกล เอาไฟ headlamp ใส่คอไว้ แล้วมองแค่ไฟที่เท้า นานๆจะเงยหน้ามองหาสัญลักษณ์บอกทางซักทีนึก วิ่งไปซักพัก เจอนักวิ่ง100k ยืนอ้วกแตก อีนี่ก็ทำตัวไม่ถูกจะทิ้งก็ไม่ได้ จะลากไปก็ดูจะไม่ไหว สรุปยืนให้กำลังใจลูบหลังแจกยาดมอยู่ประมาณ15นาที ก็มีพี่นักวิ่งระยะ70kโล มาสมทบ รีบถามไปแบบหาพวกว่า เราควรทำไงดี พี่ที่มาใหม่บอกว่า เราทำอะไรไม่ได้ เราต้องไปต่อ ง่อวววว ทิ้งไว้อย่างงี้เลยเหรอ! สรุปก็ทิ้งไปค่ะ เราก็รีบวิ่งต่อเพราะมืดมากแล้ว ไปได้ซักพักก็เจอสต๊าฟ รีบบอกเค้าไปว่ามีนักวิ่งต้องการความช่วยเหลือ แล้วก็ไปต่อค่ะ วิ่งๆย่องๆเดินๆจนเห็นแสงไฟ ได้ยินเสียงเพลง เฮ้ยยย!! ในที่สุด 800เมตรสุดท้ายแล้ว.. ดึงพลังเฮือกสุดท้ายวิ่งเข้าเส้นชัยแบบตะมุตะมิ ไม่กล้าบอกใครว่าเป็นคนไทย แอบเขิลอายแทนประเทศชาติ
รวมๆแล้วก็สนุกมากนะคะ
วิ่งฉลองวันเกิดอายุ47ขวบให้ตัวเอง เป็นของขวัญล้ำค่า เดินขึ้นบันไดลำบากไป2วัน ตัวดำ หูลอก คอลอก หน้าลอก เหนื่อยล้า ปวดร้าว แต่มันรู้สึกแกร่งกร้าวอยู่ภายใน
ปล.อีกที พยายามเขียนให้สั้นแล้วนะคะ หวังว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้เพื่อนนักวิ่ง ไม่มากก็น้อย
ขอบคุณมากมายสำหรับใครที่อ่านจบ 555+
รักนะจุ๊บๆ
ครั้งแรกและอาจเป็นครั้งสุดท้ายกับการวิ่งบนภูเขา 42กิโล การก้าวข้าม comfort zone ไปยืนยิ้มอยู่ death zone #VMM2018
เรื่องซ้อมนี่ไม่ต้องสืบค่ะ เก็บระยะฮาฟเอาตามงานวิ่งต่างๆ เช่น นาวิกโยธิน แม่เมาะ ซ้อมวิ่งยาวมันทุกที่ ที่มีโอกาส แต่ก็ยังไม่ถึง30โลซักที ไปสุดก็28กิโล เลยคิดว่า เอาว่ะ ลงฟูลมิดไนท์มาราธอนมันซะเลย ถือเป็นสนามซ้อมไปในตัว #เพราะทุกที่คือสนามซ้อม 555+
ตอนซ้อมก็ไม่เครียดมาก มาเครียด3วันสุดท้ายก่อนวิ่งมิดไนท์มาราธอน เพราะเพจเค้าแจ้งนักวิ่งว่า คัทออฟ6ชม. มีจุดคัทออฟ2จุด และเป็นจุดหายนะจริงๆค่ะ จุดแรก ระยะ34กิโล จุดที่ 2 ระยะ 39กิโล ถึงเส้นชัยต้องภายใน 6.00น. อีนี่ล่กมากค่ะ 5555 วันวิ่งจริงก็เปนนักวิ่งนอนน้อยกันทุกคน ตาเปนหมีแพนด้า ฝนก็ตกปรอยๆตลอดเวลาที่วิ่ง แต่ก็จบมาได้ด้วยเวลา 5.42ชม.
#ตายอย่างสงบศพห่มเสื้อฟินิชเชอร์
#วิ่งยันหว่าง
แล้วก็พักร่างแบบชะล่าใจไป2สัปดาห์ โดยคิดไปเองว่า เออ..พี่ซ้อมถึงแล้วแหล่ะ สควอสๆ เวทๆ เดินขึ้นลงบันได ไปเดินไปวิ่งชมวิวสวยๆที่ซาปา กินข้าวในป่าแบบชิคๆ จากประสบการณ์วิ่งเทรลที่คิดไปเองว่ามีเยอะ แต่เปล่าเลยค่ะ มีประสบกรณ์จี๊ดนึงเท่าจิ๋มมด ประทับช้าง 30k โป่งแยง 30k สิงห์อัลตรา 38k มีเท่านี้จริงๆในสต็อค แต่บังอาจไปลงวิ่งเวียดนามเมาเท่นมาราธอน42k (ระยะวิ่งจริงๆ 46k ด้วย!!) ควรเรียกชื่อใหม่ให้เป็นเกียรติเป็นศรีว่า "เวียดนามม่องเท่งมาราธอน2018"
วันไปถึงก็คืนวันศุกร์ นั่งขาแข็งอยู่ในรถ7ชม. ไปถึงซาปาก็ทุ่มกว่าๆพอดี ถึงปุ๊บโหลดอาหารกันอย่างบันเทิงมากค่ะ
สิ่งที่เราจะต้องผจญค่ะ
เช้าก็ต้องรีบกิน รีบขึ้นรถบัสไปจุดปล่อยตัว เริ่มปล่อยตัวนักวิ่ง 7.30น. (นี่แอบคิดในใจว่าเออ ขอจบ6-8ชม.) แต่มันเปนแค่ความมโนไปเองค่ะ 3โลแรกที่วิ่งก็ลิ้นห้อยเบย ด้วยความไม่รู้ เราเห็นเปนทางราบ ก็เออ น่าจะทำเวลาเก็บแต้มไว้ ปรากฏว่าวิ่งไปเพื่อยืนรอลงเขาอีกเกือบ40นาที ทางเปน single track นอกจากต้องต่อคิวกันลงทีละคนแล้ว ยังต้องหลีกทางแบบแทบเอาตัวแปะไปกับต้นไม้ใบหญ้าเพื่อหลบทางให้นักวิ่ง 100k และ 70k ให้พี่ๆเค้าได้รีบพุ่งตัวไป
ทางก็จะชันๆ มีหิน และลื่นมากเพราะฝนตกตลอดทั้งสัปดาห์ วิ่งๆลื่นๆหลบๆนักวิ่งสายแข็งทั้งหลาย (คือถ้าไม่หลบเค้าชนค่ะ มัวเงอะงะโดนชนกลิ้งนาจา)
จากกราฟที่วาดใส่แขนและพกติดตัวมาเสมือนผ้ายันต์กันหลงป่า ก็เดาได้ว่ามี4ยอดเขาแบบโหดๆให้เราปีนป่ายข้ามมันไป stationน้ำ ก็มีให้5จุด มีกล้วย แคนตาลูป และมาม่านุ่มนอกกรอบในร้อนๆลวกปากให้เรากินด้วย อ่ะ ดูรูปค่ะ มาม่าเดือดท่ามกลางแสงตะวันที่เดือดดาลกว่า
ปล. ทนดูภาพเจ้าของกระทู้ไปก่อนนะคะ เบลอหน้าตัวเองไม่เป็น
ทางขึ้นที่ว่าโหดแล้ว ทางลงโหดกว่า ข้ามน้ำ ลำธาร และห้วย เขาลูกสุดท้ายมีเชือกให้โรยตัวขึ้นไปรึอะไรซักอย่าง แต่คงผ่านมาหลายมือแล้ว พอมาถึงเราเชือกจึงขาด มีสภาพไม่พร้อมใช้ 555+ รูปมาค่ะ
ตอนถ่ายรูปนี่คือนั่งทำใจอยู่ ฟ้าก็กำลังจะมืด ที่ตั้งใจว่าจะจบ8ชม. ก็ปาเข้าไป9ชม.ล่ะ พระจันทร์ก็เริ่มกระจ่างฟ้า นาฬิกาบอกเวลาย้ำเตือนว่าแบตจาหมดแล้ว
แต่...เราผ่านมาถึง39กิโลแล้ว จะหยุดได้เหรอ ไม่ซิ #คลานต่อไม่รอแล้วนะ เรียกว่าคลานเถอะ เพราะเขาลูกสุดท้ายเหมือนจะเป็นลม มันเย็นๆเบาๆหวิวๆกินอะไรไม่ลง หูอื้อ ตาลายไปหมด ได้แต่จิบน้ำ กินอินทผลัมไปพลางๆ เสบียงก็กำลังจะหมด และต้องจบให้ได้ จะDNFให้เสียประวัติตัวเองไม่ได้เด็ดขาด #ดราม่ามาเต็ม ปีนๆขึ้นไปจนสุดยอดเขา ก็เจอสต๊าฟกับนักดนตรีพื้นบ้านกำลังขับกล่อมนักวิ่งให้ชิวกับบรรยากาศโพล้เพล้ เราก็กัดฟันไปต่อค่ะ พ้นยอดเขามาหน่อยก็เจอสต๊าฟอีกกลุ่มยืนสแตนบายรอนักวิ่งใจเสาะอย่างเรา ถามไปว่าเหลืออีกกี่โล พี่เค้าว่า อีก4กิโล downhill นี่ก็นึกว่าดาว์นแบบเป็นมิตร ไม่จ้าาา ทางเป็นหินลูกลังผสมหินก้อนใหญ่แบบขรุขระ และลงแบบชันมาก วิ่งสลับฟันปลาก็แล้ว เอาข้างๆลงก็แล้ว จิกพื้นรองเท้าจนเล็บไร้ความรู้สึก ก็ยังไม่สิ้นสุดดาว์นฮิล ฟ้าก็เริ่มมืด วิ่งไปก็เจองูตัดหน้า ทางเป็นเขาๆป่าๆก็ไม่กล้ามองไกล เอาไฟ headlamp ใส่คอไว้ แล้วมองแค่ไฟที่เท้า นานๆจะเงยหน้ามองหาสัญลักษณ์บอกทางซักทีนึก วิ่งไปซักพัก เจอนักวิ่ง100k ยืนอ้วกแตก อีนี่ก็ทำตัวไม่ถูกจะทิ้งก็ไม่ได้ จะลากไปก็ดูจะไม่ไหว สรุปยืนให้กำลังใจลูบหลังแจกยาดมอยู่ประมาณ15นาที ก็มีพี่นักวิ่งระยะ70kโล มาสมทบ รีบถามไปแบบหาพวกว่า เราควรทำไงดี พี่ที่มาใหม่บอกว่า เราทำอะไรไม่ได้ เราต้องไปต่อ ง่อวววว ทิ้งไว้อย่างงี้เลยเหรอ! สรุปก็ทิ้งไปค่ะ เราก็รีบวิ่งต่อเพราะมืดมากแล้ว ไปได้ซักพักก็เจอสต๊าฟ รีบบอกเค้าไปว่ามีนักวิ่งต้องการความช่วยเหลือ แล้วก็ไปต่อค่ะ วิ่งๆย่องๆเดินๆจนเห็นแสงไฟ ได้ยินเสียงเพลง เฮ้ยยย!! ในที่สุด 800เมตรสุดท้ายแล้ว.. ดึงพลังเฮือกสุดท้ายวิ่งเข้าเส้นชัยแบบตะมุตะมิ ไม่กล้าบอกใครว่าเป็นคนไทย แอบเขิลอายแทนประเทศชาติ
รวมๆแล้วก็สนุกมากนะคะ
วิ่งฉลองวันเกิดอายุ47ขวบให้ตัวเอง เป็นของขวัญล้ำค่า เดินขึ้นบันไดลำบากไป2วัน ตัวดำ หูลอก คอลอก หน้าลอก เหนื่อยล้า ปวดร้าว แต่มันรู้สึกแกร่งกร้าวอยู่ภายใน
ปล.อีกที พยายามเขียนให้สั้นแล้วนะคะ หวังว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้เพื่อนนักวิ่ง ไม่มากก็น้อย
ขอบคุณมากมายสำหรับใครที่อ่านจบ 555+
รักนะจุ๊บๆ