กระรอกกับกระต่าย
ณ ป่าแห่งอันเต็มไปด้วยฝูงสรรพสัตว์นานาชนิดกำลังส่งเสียงดังกระหึ่มไปทั่วพนาไพร พวกมันดีใจที่ได้เข้ามาศูนย์กลางของป่า ดินแดนที่จะสอนให้พวกมันโตขึ้นและหาอาหารได้ด้วยตัวเอง สัตว์แต่ละชนิดมาจากต่างละแวก ต่างภูมิลำเนา ค่อยๆเดินเรียงแถวไปยัง “ต้นไม้ใหญ่” มันเป็นสถานที่พักของพวกสัตว์ที่เข้ามาศึกษาที่นี่ ภายในต้นไม้แบ่งโซนเป็นชั้นขึ้นไปด้านบน สัตว์ที่ไม่สามารถปีนไต่ได้ก็จะอยู่ข้างล่าง สัตว์ที่มีความสามารถในการปีนไต่ก็จะอยู่ด้านบน แต่มีกฎห้ามอย่างเด็ดขาดคือ สัตว์ทุกตัว แม้มีปีกบินได้ หรือปีนต้นไม้ได้ จะต้องเข้าออกบ้านพักต้นไม้นี้ ด้วยการเข้าทางประตูที่เป็นโพรงไม้จากบริเวณโคนรากเท่านั้น นั่นจึงทำให้สัตว์ทุกตัวต้องผ่านลงมาที่โคนรากไม้ เพื่อเข้าและออกต้นไม้
เวลาผ่านเลยไปไม่ต่ำกว่าสองสัปดาห์ พระอาทิตย์กับพระจันทร์ผลัดหมุนเวียนขึ้นลงสลับเช่นนี้อย่างไร้ซึ่งการหยุดรอให้หวนนึกถึงอดีต เหล่าสัตว์ทั้งหลายเข้ารับการศึกษาอย่างหนักแน่น เจ้ากระต่ายที่เข้ามาอาศัยที่บ้านต้นไม้ เมื่อเลิกจากเรียน มันกลับมาที่บ้านต้นไม้และกำลังจะขึ้นไปพัก สายตามันเหลือบมองไปเห็นเจ้ากระรอกที่เดินมาทางต้นไม้นี้เหมือนกัน
“เธอเรียนอะไรหรอ” แม้ว่าเจ้ากระต่ายจะเห็นเจ้ากระรอกก่อน แต่ผู้ที่เป็นฝ่ายทักก่อนกลับเป็นเจ้ากระรอก
“เราเรียนเกี่ยวกับชีวิต พวกการปลูกแครอท การคำนวณ การศึกษาธาตุต่างๆ อะไรแบบนี้อะ แล้วเธอล่ะ” กระต่ายตอบและถามกลับไป
“อ๋อ เราเรียนเกี่ยวกับสัตว์ พวกเรื่องราววัฒนธรรมความเป็นมาของพวกเราน่ะ”
เพียงพูดกันไม่กี่ประโยค พวกมันก็ต้องโบกเท้าหน้าลากัน เพราะทั้งคู่ยังไม่รู้จักกัน
เย็นวันหนึ่ง เพื่อนของเจ้ากระรอกชวนไปที่โพรงพักเจ้ากระต่าย
“กระรอกๆ หล่อนพาฉันไปหากระต่ายสักครู่สิ ฉันมีเรื่องจะถามมัน”
“ไปก็ได้ ปะๆ” เจ้ากระรอกเมื่อถูกเพื่อนชวน ก็ไม่อาจปฏิเสธ มันเดินตามหลังเพื่อนมันไปยังห้องเจ้ากระต่าย โดยที่ไม่รู้ว่าเพื่อนของมันจะไปหากระต่ายเพื่ออะไร
เมื่อมาถึงหน้าห้องโพรงพักของกระต่าย เพื่อนของเจ้ากระรอกก็เคาะประตูห้องสองสามครั้ง ก่อนประตูจะค่อยๆแง้มเปิดให้เห็นร่างของเจ้าหมู
“กระต่ายไม่อยู่นะ” เจ้าหมูเอ่ยอย่างเรียบร้อยพร้อมรอยยิ้มให้เจ้ากระรอกทั้งสอง
“…” เจ้ากระรอกทั้งสองนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง พวกมันคิดภาพหน้าตาของเจ้ากระต่าย ซึ่งมันไม่เหมือนกันที่เคยจำและพบเจอ ภาพตรงหน้ามีเพียงเจ้าหมูตัวสูงดูดีกำลังยืนอยู่หน้าห้อง
“ฮะ…เอ่ออ โอเค ” เจ้ากระรอกที่ตามเพื่อนมาพูดขึ้นติดๆขัดๆ ก่อนจะพยักหน้ารับคำพูดของเจ้าหมูแล้วเดินกลับ
“โห หล่อน เพื่อนร่วมห้องกระต่ายทำไมหล่อจังวะ” เพื่อนกระรอกพูดขึ้นในระหว่างที่กำลังเดินขึ้นห้องของพวกมัน
“เออจริงๆ ตอนนั้นกูได้ยินเจ้ากระต่ายบอกว่า เมทมันหล่อ แต่ไม่ค่อยออกมาให้ใครเห็น กูก็ไม่คิดว่าจะหล่อแบบนี้ ”
คืนนั้นเองเจ้ากระรอกเขียนบางอย่างใส่ลงไปในใบไม้แล้วขว้างลงไปให้เจ้ากระต่ายอ่าน
สิ่งที่มันเขียนคือ เพื่อนห้องหล่อจัง ชอบมาก
และด้วยใบไม้ที่มีอักษรสลักไว้นั่นเอง ทำให้เจ้ากระรอกไปที่โพรงของเจ้ากระต่ายและเจ้าหมูอยู่เป็นประจำ จนเพื่อนๆที่เรียนอยู่กับเจ้ากระรอก ไม่ค่อยสนิทสนม เพราะมันมักจะกลับไปหาเพื่อนที่ต้นไม้ใหญ่เสียมากกว่า
วันเวลาผ่านไปสิ่งที่เจ้ากระรอกได้รู้ก็คือ มันไม่ได้สนิทกับเจ้าหมูเท่านั้น มันไม่ได้รู้สึกชอบเจ้าหมู แต่มันรู้สึกเป็นตัวเอง มีความสุข และห่วงเสมอเวลาที่เจ้ากระต่ายมีเรื่องให้ทุกข์ แต่สิ่งที่มันทำได้คือ ทำทีท่าเหมือนกันว่า มันชอบเจ้าหมู
ทุกครั้งที่ได้วิ่งเล่นบนสนามหญ้าในป่า เดินหาผลไม้ในป่ากิน มันมีความสุขมาก ที่รู้ว่าข้างๆกายมันมีเจ้ากระต่ายเดินอยู่ด้วย เมื่อวันรู้ว่าเจ้ากระต่ายไม่รู้สึกดีตรงไหน มันมักจะทำทุกอย่างให้กระต่ายกับมาเป็นปกติ
เย็นวันนั้น ใบไม้ที่สลักอักษรกำลังถูกส่งไปมาระหว่างเจ้าหมูกับเจ้ากระรอก
“เค้าชอบหมูนะ” เจ้ากระรอกเขียนใส่ใบไม้แล้วส่งให้เจ้าหมู
“กูรู้ว่าไม่ได้ชอบกู ชอบกระต่าย” เจ้าหมูเขียนกลับมาด้วยความสนิทสนมมากขึ้นจึงใช้สรรพนามกู
“เอ๋า ชอบจริงๆ ทำไมไม่เชื่อล่ะ”
“คนเราอะนะถ้าชอบใคร มันจะไม่บอกไปตรงๆหรอก แบบที่บอกกูตรงๆเนี่ย กลับกันกับอีกคน ที่ให้ความสนใจใส่ใจมากกว่า กูมีเซนต์ว่ะ กูเก่ง” เจ้าหมูร่ายยาวบนใบไม้จนแทนไม่เหลือที่ให้สลักคำพูด
เจ้ากระรอกได้อ่านแล้วก็รู้ทันทีว่า ต่อให้ตัวเองหลอกคนอื่นอย่างไร แต่มีเจ้าหมูนี่แหละที่รู้ว่ามันรู้สึกอะไรกับใคร มันจึงเลือกที่จะระบายและเล่าเรื่องที่มันอึดอัดกับเจ้าหมูเสมอ
แม้ว่าเจ้ากระต่ายและเจ้ากระรอกจะดูเหมือนทั้งคู่สนิทกัน ไปไหนมาไหนเจ้ากระรอกก็มักจะขอตามไปด้วยเสมอ แต่สุดท้ายมันก็มีเรื่องที่ทำให้กระต่ายรู้สึกรำคาญกระรอก
เจ้ากระรอกนั่งอยู่บนขอนไม้ในโพรงของเจ้ากระต่าย ณ วันที่เจ้าหมูออกไปหาของกินข้างนอก มันรู้ได้ทันทีว่าเจ้ากระต่ายอยากอยู่ลำพังในห้อง แต่มันอายเกินกว่าจะเดินเปิดประตูอกไปจากห้อง เพื่อแสดงว่ามันไม่มีค่าความสำคัญให้อยู่ในห้อง
สิ่งที่มันทำในตอนนั้นคือ “โกหก”
มันค่อยๆบีบน้ำตาและเล่าความเท็จระบายให้เจ้ากระต่ายที่นอนอยู่ด้านหลังฟัง มันบีบน้ำตาร้องฟูมฟายว่าคนที่มันรักทิ้งมันไป ทั้งๆที่ในใจมันคิดว่า ทำไมเจ้ากระต่ายถึงต้องรำคาญมันเสมอ ทำไมไม่สนใจมัน เหมือนที่มันสนใจเค้าบ้าง
มันร้องไห้จนเจ้ากระต่ายต้องลงไปจากโพรงเพื่อหนีสถานการณ์ มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่บอบบางและไม่กล้า แม้แต่การถามเจ้ากระรอกว่า “โอเคไหม” มันจึงตามเพื่อนเจ้ากระรอกขึ้นมาปลอบใจเจ้ากระรอก
เหตุการณ์แปลกๆมักเกิดขึ้นกับเจ้ากระรอกเสมอ แต่เมื่อมีปากเสียงกับเจ้ากระต่าย มันเลือกที่จะพูดถามไต่ต่อหน้าเจ้ากระต่าย ว่าเป็นอะไร ทำไมถึงทำแบบนี้ แม้ว่าลึกๆมันรู้สึกว่าเจ้ากระต่ายไม่ได้พูดความจริงเสียทั้งหมด แต่มันก็ยอมที่จะพูดมากกว่าการเขียนใส่ใบไม้แล้วโยนลงมาเป็นตัวอักษรเพื่อถาม
เจ้ากระต่ายกำลังจะถึงคราวที่ต้องทดสอบกับครูกระต่ายแก่เพื่อเลื่อนขั้นเรียน มันอ่านหนังสืออย่างหนักเสมอ บางครั้งมันบ่นว่าอยากกลับไปป่าที่มันเคยอยู่ มันงอแงว่าท้อ เหนื่อย เจ้ากระรอกเห็นเช่นนั้นเสมอ และลงจากโพรงของมัน แม้ว่ามันก็กำลังทำงานและอ่านตำราเพื่อสอบเช่นกัน แต่เพื่อความสบายใจและให้เจ้ากระต่ายรู้สึกผ่อนคลาย เจ้ากระรอกจึงต้องเลือกที่จะทำให้ความเครียดตนเองหายไป แล้วไปพูดคุยสร้างเสียงหัวเราะให้อีกฝ่าย
มันรู้ว่าอีกฝ่ายต้องมีที่ระบาย แต่บ่อยครั้งที่มันก้าวก่ายจนทำให้เจ้ากระต่ายเริ่มหงุดหงิด การเข้าไปวุ่นวายของเจ้ากระรอกที่อยากจะคอยดูแลห่วงใยอยู่ใกล้ๆ ไม่ให้ความคิดของเจ้ากระต่ายฟุ้งซ่าน ทุกข์ใจกับสิ่งที่ตนเผชิญนั้น มันกลับเป็นทำให้อีกฝ่ายทุกข์ใจหนักกว่าเดิม จากที่ต้องการความสงบในการอ่านตำราใบไม้เพื่อสอบ มันกลับต้องเจอรบกวนจากคำถามและคำพูดของเจ้ากระรอกที่ดังขึ้นเป็นระยะๆ แม้ว่าในวันที่เจ้าหมูก็อยู่ มันก็พูดเสียงดังเจื้อยแจ้วเสมอ
เจ้ากระรอกก้าวก่ายแม้ในพื้นที่นอนเล็กๆของเจ้ากระต่าย มันก็เอาตัวเองไปนอน จนเจ้ากระต่ายต้องนอนบนขอนไม้ที่ตัดไว้นั่งอ่านตำรา เจ้ากระรอกไม่ได้หลับแม้แต่ครั้งเดียว มันหันมองเจ้ากระต่ายเสมอว่าจะนอนเมื่อไหร่ เมื่อเห็นว่าเจ้ากระต่ายนอนฟุบลงที่โต๊ะขอนไม้ มันจึงเรียกให้มานอนด้วย ทั้งๆที่ตัวเองควรจะขึ้นไปบนโพรงห้องของตัวเอง แต่มันก็อยากอยู่กับเจ้ากระต่ายให้นานที่สุด ก่อนที่วันนึงต้องมีใครคนนึงแยกหายจากไป อาจเป็นเจ้ากระรอกที่ย้ายต้นไม้ หรือเจ้ากระต่ายที่เรียนหนักขึ้นจนเจ้ากระรอกไม่มีเวลารบกวน
บ่อยครั้งที่พวกมันทะเลาะกัน เพราะเจ้ากระรอกชอบวุ่นวาย จนเจ้ากระต่ายทำทีท่าอยากไล่ให้เจ้ากระรอกไปไกลๆ
เจ้ากระรอกก็ทำเช่นนั้น คือออกจากโพรงของเจ้ากระต่ายและเจ้าหมู แต่สิ่งที่มันทำมากกว่านั้นคือการประชด มันเขียนลงใบไม้สลักระบายเรื่องเศร้าๆไว้มาก แขวนไว้แถวๆโพรงเจ้ากระต่าย เพื่อให้เจ้ากระต่ายเห็นความเศร้าที่มีต่อมันแล้วถามมันว่ามันเป็นอะไร แต่เจ้ากระต่ายกลับไม่เคยเอ่ยปากถาม มีเพียงแค่การเขียนใส่ใบไม้กลับคืนว่าไม่ให้ดราม่าเยิ่นเย้อ
แม้ว่าจะโกหกว่ากระรอกไม่ได้เขียนถึงกระต่าย แต่เจ้ากระต่ายกลับรับรู้ด้วยตัวเองเสมอ มันเหนื่อยและรำคาญมากที่ต้องรับอารมณ์ความรู้สึกขึ้นๆลงๆของเจ้ากระรอก มันไม่อยากเก็บไปเครียดคิดมากในช่วงเวลาเร่งเร้าให้สอบเลื่อนขั้น สิ่งที่มันทำก็คือ เผาใบไม้ของเจ้ากระรอกทุกใบ และเลิกสนใจใบไม้สลักที่เจ้ากระรอกเขียน
แต่สิ่งที่มันทำกลับทำให้เจ้ากระรอกตระหนักได้ว่า เจ้ากระต่ายเห็นแก่ตัวมากแค่ไหน มันไม่เข้าใจว่าทำไมกระต่ายถึงไม่เคยถามเลยว่ามันเป็นอะไร มันเครียดหรือเปล่า มันต้องการอะไร มีเพียงการใช้ใบไม้ให้เจ้ากระรอกคิดมากและถามมันเสมอว่ามันเป็นอะไร ความเอาใจใส่ของเจ้ากระรอกมันคือการถามว่าอีกฝ่ายไม่สบายใจอะไร ไม่ใช่การเห็นแก่ตัวเมื่อเห็นใครคนหนึ่งไม่สบายใจแล้วกลัวตัวเองเศร้าไปด้วย จึงเลือกที่จะเอาสิ่งเหล่านั้นออกจากหัวตัวเอง แต่ถึงแม้เจ้ากระรอกจะพูดหรือสลักใบไม้ลงไปมากเท่าไร เจ้ากระต่ายก็มิเคยได้แลเห็นและรู้เรื่องใดๆเลย
ทุกๆครั้งที่เกิดเรื่องขึ้น มีแค่เจ้าหมูเท่านั้นที่เจ้ากระรอกเล่าให้ฟัง แต่มันก็แค่การบรรยาย การระบายเท่านั้น เพราะสุดท้าย เจ้ากระรอกก็ไม่เคยแก้ปัญหาได้เลย
เมื่อมีพบ มันก็ต้องมีจากกันในที่สุด วันคืนที่ยิ่งสะท้อนภาพในหัวของเจ้ากระรอกให้หมุนวนเช่นนั้นเรื่อยไม่จบสิ้น เมื่อเจ้ากระต่ายไม่มีแม้การตอบใบไม้ที่มันสลักส่งไปหา ไม่มีแม้การสนใจความเป็นอยู่ มันสลักใบไม้ส่งหาทุกทางที่มันทำได้ …แต่ก็ไร้ค่า… มันเที่ยวเตร่ไปทั่วตามป่าผืนใหญ่ น้ำตาที่ไหลแม้ไร้ผู้ใดเห็น หยดลงทุกหย่อมหญ้าที่มันย่างขาไปสัมผัส เรื่องราวในหัววนเวียนเช่นเดิม
ค่ำวันนั้นจนแทบเช้า มันกลับมาที่โพรงต้นไม้ ทุกอย่างเงียบสงัดเพราะนั่นมันดึกมากแล้ว ประตูรากโคนต้นไม้ถูกปิดจากสัตว์ตัวหนึ่งบนต้นไม้ เจ้ากระรอกพยายามมองหาแสงเทียนในโพรงต่างๆ เพื่อดูว่าใครยังไม่นอน แต่ที่เห็นมีแค่ห้องของเข้ากระต่ายเท่านั้น ที่ยังส่องแสงเทียนให้ทราบว่ามันกำลังอ่านตำราอยู่
มันตะโกนเรียกให้เจ้ากระต่ายลงมาเปิดประตูโพรงต้นไม้ให้มัน…แต่ก็มีงูตัวหนึ่ง เลื้อยมาเปิดให้ เจ้ากระรอกจึงเดินเข้าไปในต้นไม้ และขึ้นไปมองที่ห้องของเจ้ากระต่าย มันเสียใจมากที่เจ้ากระต่ายไม่ยอมลงมาเปิดให้มัน ทั้งๆที่มันเรียก สิ่งที่มันทำคือลงไปหน้าประตูแล้วล็อค เรียกด้วยเสียงโมโหให้เจ้ากระต่ายลงมาเปิดประตู เจ้ากระต่ายรีบกระโดดลงมาเปิดประตูให้ แต่คำพูดที่ออกจากปากเจ้ากระรอกไม่ใช่การขอบคุณ ในตอนนั้นจากที่อยากจะถามเจ้ากระต่ายว่า “โอเคไหมตอนนี้ โกรธกูหรอ ทำไมต้องเลิกติดตามใบไม้ของกู รู้ไหมว่ากูโคตรเสียใจและสงสัย” กลับกลายเป็นสีหน้าที่แสดงอารมณ์ไม่พอใจยื่นให้เจ้ากระต่ายแทน
เมื่อมันขึ้นมาที่โพรงนอนของมัน เจ้ากระรอกระบายโทสะทั้งหมดด้วยการประชดตัดพ้อให้เจ้ากระต่าย แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็คือความรู้สึกจริงๆที่ไร้การประชด การฉีกใบไม้ที่สลักหา การทำเหมือนเจ้ากระรอกไร้ตัวตน และการแสดงออกว่ารำคาญเจ้ากระรอก มันยิ่งตอกย้ำในเจ้ากระรอกรู้ว่าตัวเองแย่แค่ไหน
เจ้ากระรอกเสียใจจนจุกแน่นอยู่ในตัว มันไม่สามารถร้องไห้ระบายออกมาได้ การประชดไม่ใช่เรื่องตลกเลยในตอนนี้ มันกลับเป็นความรู้สึกที่ไม่มีทางหวนกลับไปแก้ไขได้ ความรู้สึกดีๆอีกมากที่อยากมอบให้มันกลับสายไปแล้ว ทุกความสุขทุกความทรงจำดีๆของเจ้ากระต่ายที่เคยมีให้เจ้ากระรอก กลับถูกเติมเต็มและบดบังด้วยความรำคาญ
เมื่อรู้ว่าสิ่งที่ทำมันช่างบ้าบอ การประชด การทำตัวน่ารำคาญ และการใส่ใจมากเกินไป เกินกว่าเจ้ากระต่ายต้องการ มันทำให้เขาสูญเสียความเป็นตัวเองแค่ไหน รอยยิ้มเสียงหัวเราะที่ค่อยๆกลืนหายไปเรื่อยๆ กำลังจะค่อยๆทำให้เจ้ากระรอกมีคราบบาปที่ติดตัว ทำร้ายตัวเองวนเวียนไม่จบสิ้น แม้ย้อนกลับไปก็คงทำเช่นเดิม ทำทุกอย่างแบบที่ทำ มันเองก็รู้ว่าไม่ต่างอะไรกับคนเห็นแก่ตัว ทั้งๆที่หากเจ้ากระรอกรักเจ้ากระต่ายจริงๆ ห่วงใยจริงๆ มันควรจะดีใจเสียด้วยซ้ำ
ผมควรทำอย่างไรดีครับ ผมชอบคนๆนึงแต่แสดงออกไม่เก่ง(ขอเล่าเป็นตัวละคร)
ณ ป่าแห่งอันเต็มไปด้วยฝูงสรรพสัตว์นานาชนิดกำลังส่งเสียงดังกระหึ่มไปทั่วพนาไพร พวกมันดีใจที่ได้เข้ามาศูนย์กลางของป่า ดินแดนที่จะสอนให้พวกมันโตขึ้นและหาอาหารได้ด้วยตัวเอง สัตว์แต่ละชนิดมาจากต่างละแวก ต่างภูมิลำเนา ค่อยๆเดินเรียงแถวไปยัง “ต้นไม้ใหญ่” มันเป็นสถานที่พักของพวกสัตว์ที่เข้ามาศึกษาที่นี่ ภายในต้นไม้แบ่งโซนเป็นชั้นขึ้นไปด้านบน สัตว์ที่ไม่สามารถปีนไต่ได้ก็จะอยู่ข้างล่าง สัตว์ที่มีความสามารถในการปีนไต่ก็จะอยู่ด้านบน แต่มีกฎห้ามอย่างเด็ดขาดคือ สัตว์ทุกตัว แม้มีปีกบินได้ หรือปีนต้นไม้ได้ จะต้องเข้าออกบ้านพักต้นไม้นี้ ด้วยการเข้าทางประตูที่เป็นโพรงไม้จากบริเวณโคนรากเท่านั้น นั่นจึงทำให้สัตว์ทุกตัวต้องผ่านลงมาที่โคนรากไม้ เพื่อเข้าและออกต้นไม้
เวลาผ่านเลยไปไม่ต่ำกว่าสองสัปดาห์ พระอาทิตย์กับพระจันทร์ผลัดหมุนเวียนขึ้นลงสลับเช่นนี้อย่างไร้ซึ่งการหยุดรอให้หวนนึกถึงอดีต เหล่าสัตว์ทั้งหลายเข้ารับการศึกษาอย่างหนักแน่น เจ้ากระต่ายที่เข้ามาอาศัยที่บ้านต้นไม้ เมื่อเลิกจากเรียน มันกลับมาที่บ้านต้นไม้และกำลังจะขึ้นไปพัก สายตามันเหลือบมองไปเห็นเจ้ากระรอกที่เดินมาทางต้นไม้นี้เหมือนกัน
“เธอเรียนอะไรหรอ” แม้ว่าเจ้ากระต่ายจะเห็นเจ้ากระรอกก่อน แต่ผู้ที่เป็นฝ่ายทักก่อนกลับเป็นเจ้ากระรอก
“เราเรียนเกี่ยวกับชีวิต พวกการปลูกแครอท การคำนวณ การศึกษาธาตุต่างๆ อะไรแบบนี้อะ แล้วเธอล่ะ” กระต่ายตอบและถามกลับไป
“อ๋อ เราเรียนเกี่ยวกับสัตว์ พวกเรื่องราววัฒนธรรมความเป็นมาของพวกเราน่ะ”
เพียงพูดกันไม่กี่ประโยค พวกมันก็ต้องโบกเท้าหน้าลากัน เพราะทั้งคู่ยังไม่รู้จักกัน
เย็นวันหนึ่ง เพื่อนของเจ้ากระรอกชวนไปที่โพรงพักเจ้ากระต่าย
“กระรอกๆ หล่อนพาฉันไปหากระต่ายสักครู่สิ ฉันมีเรื่องจะถามมัน”
“ไปก็ได้ ปะๆ” เจ้ากระรอกเมื่อถูกเพื่อนชวน ก็ไม่อาจปฏิเสธ มันเดินตามหลังเพื่อนมันไปยังห้องเจ้ากระต่าย โดยที่ไม่รู้ว่าเพื่อนของมันจะไปหากระต่ายเพื่ออะไร
เมื่อมาถึงหน้าห้องโพรงพักของกระต่าย เพื่อนของเจ้ากระรอกก็เคาะประตูห้องสองสามครั้ง ก่อนประตูจะค่อยๆแง้มเปิดให้เห็นร่างของเจ้าหมู
“กระต่ายไม่อยู่นะ” เจ้าหมูเอ่ยอย่างเรียบร้อยพร้อมรอยยิ้มให้เจ้ากระรอกทั้งสอง
“…” เจ้ากระรอกทั้งสองนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง พวกมันคิดภาพหน้าตาของเจ้ากระต่าย ซึ่งมันไม่เหมือนกันที่เคยจำและพบเจอ ภาพตรงหน้ามีเพียงเจ้าหมูตัวสูงดูดีกำลังยืนอยู่หน้าห้อง
“ฮะ…เอ่ออ โอเค ” เจ้ากระรอกที่ตามเพื่อนมาพูดขึ้นติดๆขัดๆ ก่อนจะพยักหน้ารับคำพูดของเจ้าหมูแล้วเดินกลับ
“โห หล่อน เพื่อนร่วมห้องกระต่ายทำไมหล่อจังวะ” เพื่อนกระรอกพูดขึ้นในระหว่างที่กำลังเดินขึ้นห้องของพวกมัน
“เออจริงๆ ตอนนั้นกูได้ยินเจ้ากระต่ายบอกว่า เมทมันหล่อ แต่ไม่ค่อยออกมาให้ใครเห็น กูก็ไม่คิดว่าจะหล่อแบบนี้ ”
คืนนั้นเองเจ้ากระรอกเขียนบางอย่างใส่ลงไปในใบไม้แล้วขว้างลงไปให้เจ้ากระต่ายอ่าน
สิ่งที่มันเขียนคือ เพื่อนห้องหล่อจัง ชอบมาก
และด้วยใบไม้ที่มีอักษรสลักไว้นั่นเอง ทำให้เจ้ากระรอกไปที่โพรงของเจ้ากระต่ายและเจ้าหมูอยู่เป็นประจำ จนเพื่อนๆที่เรียนอยู่กับเจ้ากระรอก ไม่ค่อยสนิทสนม เพราะมันมักจะกลับไปหาเพื่อนที่ต้นไม้ใหญ่เสียมากกว่า
วันเวลาผ่านไปสิ่งที่เจ้ากระรอกได้รู้ก็คือ มันไม่ได้สนิทกับเจ้าหมูเท่านั้น มันไม่ได้รู้สึกชอบเจ้าหมู แต่มันรู้สึกเป็นตัวเอง มีความสุข และห่วงเสมอเวลาที่เจ้ากระต่ายมีเรื่องให้ทุกข์ แต่สิ่งที่มันทำได้คือ ทำทีท่าเหมือนกันว่า มันชอบเจ้าหมู
ทุกครั้งที่ได้วิ่งเล่นบนสนามหญ้าในป่า เดินหาผลไม้ในป่ากิน มันมีความสุขมาก ที่รู้ว่าข้างๆกายมันมีเจ้ากระต่ายเดินอยู่ด้วย เมื่อวันรู้ว่าเจ้ากระต่ายไม่รู้สึกดีตรงไหน มันมักจะทำทุกอย่างให้กระต่ายกับมาเป็นปกติ
เย็นวันนั้น ใบไม้ที่สลักอักษรกำลังถูกส่งไปมาระหว่างเจ้าหมูกับเจ้ากระรอก
“เค้าชอบหมูนะ” เจ้ากระรอกเขียนใส่ใบไม้แล้วส่งให้เจ้าหมู
“กูรู้ว่าไม่ได้ชอบกู ชอบกระต่าย” เจ้าหมูเขียนกลับมาด้วยความสนิทสนมมากขึ้นจึงใช้สรรพนามกู
“เอ๋า ชอบจริงๆ ทำไมไม่เชื่อล่ะ”
“คนเราอะนะถ้าชอบใคร มันจะไม่บอกไปตรงๆหรอก แบบที่บอกกูตรงๆเนี่ย กลับกันกับอีกคน ที่ให้ความสนใจใส่ใจมากกว่า กูมีเซนต์ว่ะ กูเก่ง” เจ้าหมูร่ายยาวบนใบไม้จนแทนไม่เหลือที่ให้สลักคำพูด
เจ้ากระรอกได้อ่านแล้วก็รู้ทันทีว่า ต่อให้ตัวเองหลอกคนอื่นอย่างไร แต่มีเจ้าหมูนี่แหละที่รู้ว่ามันรู้สึกอะไรกับใคร มันจึงเลือกที่จะระบายและเล่าเรื่องที่มันอึดอัดกับเจ้าหมูเสมอ
แม้ว่าเจ้ากระต่ายและเจ้ากระรอกจะดูเหมือนทั้งคู่สนิทกัน ไปไหนมาไหนเจ้ากระรอกก็มักจะขอตามไปด้วยเสมอ แต่สุดท้ายมันก็มีเรื่องที่ทำให้กระต่ายรู้สึกรำคาญกระรอก
เจ้ากระรอกนั่งอยู่บนขอนไม้ในโพรงของเจ้ากระต่าย ณ วันที่เจ้าหมูออกไปหาของกินข้างนอก มันรู้ได้ทันทีว่าเจ้ากระต่ายอยากอยู่ลำพังในห้อง แต่มันอายเกินกว่าจะเดินเปิดประตูอกไปจากห้อง เพื่อแสดงว่ามันไม่มีค่าความสำคัญให้อยู่ในห้อง
สิ่งที่มันทำในตอนนั้นคือ “โกหก”
มันค่อยๆบีบน้ำตาและเล่าความเท็จระบายให้เจ้ากระต่ายที่นอนอยู่ด้านหลังฟัง มันบีบน้ำตาร้องฟูมฟายว่าคนที่มันรักทิ้งมันไป ทั้งๆที่ในใจมันคิดว่า ทำไมเจ้ากระต่ายถึงต้องรำคาญมันเสมอ ทำไมไม่สนใจมัน เหมือนที่มันสนใจเค้าบ้าง
มันร้องไห้จนเจ้ากระต่ายต้องลงไปจากโพรงเพื่อหนีสถานการณ์ มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่บอบบางและไม่กล้า แม้แต่การถามเจ้ากระรอกว่า “โอเคไหม” มันจึงตามเพื่อนเจ้ากระรอกขึ้นมาปลอบใจเจ้ากระรอก
เหตุการณ์แปลกๆมักเกิดขึ้นกับเจ้ากระรอกเสมอ แต่เมื่อมีปากเสียงกับเจ้ากระต่าย มันเลือกที่จะพูดถามไต่ต่อหน้าเจ้ากระต่าย ว่าเป็นอะไร ทำไมถึงทำแบบนี้ แม้ว่าลึกๆมันรู้สึกว่าเจ้ากระต่ายไม่ได้พูดความจริงเสียทั้งหมด แต่มันก็ยอมที่จะพูดมากกว่าการเขียนใส่ใบไม้แล้วโยนลงมาเป็นตัวอักษรเพื่อถาม
เจ้ากระต่ายกำลังจะถึงคราวที่ต้องทดสอบกับครูกระต่ายแก่เพื่อเลื่อนขั้นเรียน มันอ่านหนังสืออย่างหนักเสมอ บางครั้งมันบ่นว่าอยากกลับไปป่าที่มันเคยอยู่ มันงอแงว่าท้อ เหนื่อย เจ้ากระรอกเห็นเช่นนั้นเสมอ และลงจากโพรงของมัน แม้ว่ามันก็กำลังทำงานและอ่านตำราเพื่อสอบเช่นกัน แต่เพื่อความสบายใจและให้เจ้ากระต่ายรู้สึกผ่อนคลาย เจ้ากระรอกจึงต้องเลือกที่จะทำให้ความเครียดตนเองหายไป แล้วไปพูดคุยสร้างเสียงหัวเราะให้อีกฝ่าย
มันรู้ว่าอีกฝ่ายต้องมีที่ระบาย แต่บ่อยครั้งที่มันก้าวก่ายจนทำให้เจ้ากระต่ายเริ่มหงุดหงิด การเข้าไปวุ่นวายของเจ้ากระรอกที่อยากจะคอยดูแลห่วงใยอยู่ใกล้ๆ ไม่ให้ความคิดของเจ้ากระต่ายฟุ้งซ่าน ทุกข์ใจกับสิ่งที่ตนเผชิญนั้น มันกลับเป็นทำให้อีกฝ่ายทุกข์ใจหนักกว่าเดิม จากที่ต้องการความสงบในการอ่านตำราใบไม้เพื่อสอบ มันกลับต้องเจอรบกวนจากคำถามและคำพูดของเจ้ากระรอกที่ดังขึ้นเป็นระยะๆ แม้ว่าในวันที่เจ้าหมูก็อยู่ มันก็พูดเสียงดังเจื้อยแจ้วเสมอ
เจ้ากระรอกก้าวก่ายแม้ในพื้นที่นอนเล็กๆของเจ้ากระต่าย มันก็เอาตัวเองไปนอน จนเจ้ากระต่ายต้องนอนบนขอนไม้ที่ตัดไว้นั่งอ่านตำรา เจ้ากระรอกไม่ได้หลับแม้แต่ครั้งเดียว มันหันมองเจ้ากระต่ายเสมอว่าจะนอนเมื่อไหร่ เมื่อเห็นว่าเจ้ากระต่ายนอนฟุบลงที่โต๊ะขอนไม้ มันจึงเรียกให้มานอนด้วย ทั้งๆที่ตัวเองควรจะขึ้นไปบนโพรงห้องของตัวเอง แต่มันก็อยากอยู่กับเจ้ากระต่ายให้นานที่สุด ก่อนที่วันนึงต้องมีใครคนนึงแยกหายจากไป อาจเป็นเจ้ากระรอกที่ย้ายต้นไม้ หรือเจ้ากระต่ายที่เรียนหนักขึ้นจนเจ้ากระรอกไม่มีเวลารบกวน
บ่อยครั้งที่พวกมันทะเลาะกัน เพราะเจ้ากระรอกชอบวุ่นวาย จนเจ้ากระต่ายทำทีท่าอยากไล่ให้เจ้ากระรอกไปไกลๆ
เจ้ากระรอกก็ทำเช่นนั้น คือออกจากโพรงของเจ้ากระต่ายและเจ้าหมู แต่สิ่งที่มันทำมากกว่านั้นคือการประชด มันเขียนลงใบไม้สลักระบายเรื่องเศร้าๆไว้มาก แขวนไว้แถวๆโพรงเจ้ากระต่าย เพื่อให้เจ้ากระต่ายเห็นความเศร้าที่มีต่อมันแล้วถามมันว่ามันเป็นอะไร แต่เจ้ากระต่ายกลับไม่เคยเอ่ยปากถาม มีเพียงแค่การเขียนใส่ใบไม้กลับคืนว่าไม่ให้ดราม่าเยิ่นเย้อ
แม้ว่าจะโกหกว่ากระรอกไม่ได้เขียนถึงกระต่าย แต่เจ้ากระต่ายกลับรับรู้ด้วยตัวเองเสมอ มันเหนื่อยและรำคาญมากที่ต้องรับอารมณ์ความรู้สึกขึ้นๆลงๆของเจ้ากระรอก มันไม่อยากเก็บไปเครียดคิดมากในช่วงเวลาเร่งเร้าให้สอบเลื่อนขั้น สิ่งที่มันทำก็คือ เผาใบไม้ของเจ้ากระรอกทุกใบ และเลิกสนใจใบไม้สลักที่เจ้ากระรอกเขียน
แต่สิ่งที่มันทำกลับทำให้เจ้ากระรอกตระหนักได้ว่า เจ้ากระต่ายเห็นแก่ตัวมากแค่ไหน มันไม่เข้าใจว่าทำไมกระต่ายถึงไม่เคยถามเลยว่ามันเป็นอะไร มันเครียดหรือเปล่า มันต้องการอะไร มีเพียงการใช้ใบไม้ให้เจ้ากระรอกคิดมากและถามมันเสมอว่ามันเป็นอะไร ความเอาใจใส่ของเจ้ากระรอกมันคือการถามว่าอีกฝ่ายไม่สบายใจอะไร ไม่ใช่การเห็นแก่ตัวเมื่อเห็นใครคนหนึ่งไม่สบายใจแล้วกลัวตัวเองเศร้าไปด้วย จึงเลือกที่จะเอาสิ่งเหล่านั้นออกจากหัวตัวเอง แต่ถึงแม้เจ้ากระรอกจะพูดหรือสลักใบไม้ลงไปมากเท่าไร เจ้ากระต่ายก็มิเคยได้แลเห็นและรู้เรื่องใดๆเลย
ทุกๆครั้งที่เกิดเรื่องขึ้น มีแค่เจ้าหมูเท่านั้นที่เจ้ากระรอกเล่าให้ฟัง แต่มันก็แค่การบรรยาย การระบายเท่านั้น เพราะสุดท้าย เจ้ากระรอกก็ไม่เคยแก้ปัญหาได้เลย
เมื่อมีพบ มันก็ต้องมีจากกันในที่สุด วันคืนที่ยิ่งสะท้อนภาพในหัวของเจ้ากระรอกให้หมุนวนเช่นนั้นเรื่อยไม่จบสิ้น เมื่อเจ้ากระต่ายไม่มีแม้การตอบใบไม้ที่มันสลักส่งไปหา ไม่มีแม้การสนใจความเป็นอยู่ มันสลักใบไม้ส่งหาทุกทางที่มันทำได้ …แต่ก็ไร้ค่า… มันเที่ยวเตร่ไปทั่วตามป่าผืนใหญ่ น้ำตาที่ไหลแม้ไร้ผู้ใดเห็น หยดลงทุกหย่อมหญ้าที่มันย่างขาไปสัมผัส เรื่องราวในหัววนเวียนเช่นเดิม
ค่ำวันนั้นจนแทบเช้า มันกลับมาที่โพรงต้นไม้ ทุกอย่างเงียบสงัดเพราะนั่นมันดึกมากแล้ว ประตูรากโคนต้นไม้ถูกปิดจากสัตว์ตัวหนึ่งบนต้นไม้ เจ้ากระรอกพยายามมองหาแสงเทียนในโพรงต่างๆ เพื่อดูว่าใครยังไม่นอน แต่ที่เห็นมีแค่ห้องของเข้ากระต่ายเท่านั้น ที่ยังส่องแสงเทียนให้ทราบว่ามันกำลังอ่านตำราอยู่
มันตะโกนเรียกให้เจ้ากระต่ายลงมาเปิดประตูโพรงต้นไม้ให้มัน…แต่ก็มีงูตัวหนึ่ง เลื้อยมาเปิดให้ เจ้ากระรอกจึงเดินเข้าไปในต้นไม้ และขึ้นไปมองที่ห้องของเจ้ากระต่าย มันเสียใจมากที่เจ้ากระต่ายไม่ยอมลงมาเปิดให้มัน ทั้งๆที่มันเรียก สิ่งที่มันทำคือลงไปหน้าประตูแล้วล็อค เรียกด้วยเสียงโมโหให้เจ้ากระต่ายลงมาเปิดประตู เจ้ากระต่ายรีบกระโดดลงมาเปิดประตูให้ แต่คำพูดที่ออกจากปากเจ้ากระรอกไม่ใช่การขอบคุณ ในตอนนั้นจากที่อยากจะถามเจ้ากระต่ายว่า “โอเคไหมตอนนี้ โกรธกูหรอ ทำไมต้องเลิกติดตามใบไม้ของกู รู้ไหมว่ากูโคตรเสียใจและสงสัย” กลับกลายเป็นสีหน้าที่แสดงอารมณ์ไม่พอใจยื่นให้เจ้ากระต่ายแทน
เมื่อมันขึ้นมาที่โพรงนอนของมัน เจ้ากระรอกระบายโทสะทั้งหมดด้วยการประชดตัดพ้อให้เจ้ากระต่าย แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็คือความรู้สึกจริงๆที่ไร้การประชด การฉีกใบไม้ที่สลักหา การทำเหมือนเจ้ากระรอกไร้ตัวตน และการแสดงออกว่ารำคาญเจ้ากระรอก มันยิ่งตอกย้ำในเจ้ากระรอกรู้ว่าตัวเองแย่แค่ไหน
เจ้ากระรอกเสียใจจนจุกแน่นอยู่ในตัว มันไม่สามารถร้องไห้ระบายออกมาได้ การประชดไม่ใช่เรื่องตลกเลยในตอนนี้ มันกลับเป็นความรู้สึกที่ไม่มีทางหวนกลับไปแก้ไขได้ ความรู้สึกดีๆอีกมากที่อยากมอบให้มันกลับสายไปแล้ว ทุกความสุขทุกความทรงจำดีๆของเจ้ากระต่ายที่เคยมีให้เจ้ากระรอก กลับถูกเติมเต็มและบดบังด้วยความรำคาญ
เมื่อรู้ว่าสิ่งที่ทำมันช่างบ้าบอ การประชด การทำตัวน่ารำคาญ และการใส่ใจมากเกินไป เกินกว่าเจ้ากระต่ายต้องการ มันทำให้เขาสูญเสียความเป็นตัวเองแค่ไหน รอยยิ้มเสียงหัวเราะที่ค่อยๆกลืนหายไปเรื่อยๆ กำลังจะค่อยๆทำให้เจ้ากระรอกมีคราบบาปที่ติดตัว ทำร้ายตัวเองวนเวียนไม่จบสิ้น แม้ย้อนกลับไปก็คงทำเช่นเดิม ทำทุกอย่างแบบที่ทำ มันเองก็รู้ว่าไม่ต่างอะไรกับคนเห็นแก่ตัว ทั้งๆที่หากเจ้ากระรอกรักเจ้ากระต่ายจริงๆ ห่วงใยจริงๆ มันควรจะดีใจเสียด้วยซ้ำ