รู้จักคำว่า “รอคอย”
ถ้าเราเทรดหุ้นทุกวัน สมองมันไม่มีจุดคิด การตัดสินใจบ่อยมันพลาดได้ง่าย คุณต้องรอจังหวะ รอให้เครื่องมือทางเทคนิคยืนยัน แล้วทุกคนเริ่มกลัวกันหมด ตรงนั้นคือ จุดที่ปลอดภัยที่สุด ซื้อเสร็จก็ใส่ปี๊บเอาไว้ ความสำเร็จที่ยากที่สุดอาจไม่ใช่การเดินทางเพื่อค้นหา “กลยุทธ์สู่ความสำเร็จ” เพราะพื้นฐานแห่งความสำเร็จ แท้ที่จริงแล้วคือ การเอาชนะจิตใจของตัวเองให้ได้เสียก่อน ในตลาดหุ้น การ “รู้เขา” อย่างเดียว มิอาจไปถึงเป้าหมายได้ต้อง “รู้เรา” อย่างถ่องแท้ด้วย ไม่เช่นนั้นเงินที่กลาดเกลื่อนอยู่ในตลาดหุ้น ก็ไม่สามารถ “หยิบ” ขึ้นมาเชยชมได้
คำจำกัดความสั้นๆที่ “เสี่ยยักษ์” วิชัย วชิรพงศ์ เน้นยํ้าก็คือ
ถ้าอยากจะเล่นหุ้นให้รวย ต้องรู้จักคำว่า “รอคอย” (อดทน)
ต้องรอจังหวะ รอรอบของมันให้ได้ แล้วทำไม! จะรอมันไม่ได้คุณต้องนิ่ง คุณต้องใจเย็นๆ “ถ้าคุณอยากจะประสบความสำเร็จในอาชีพเล่นหุ้น คุณต้องเป็นมืออาชีพให้ได้ คุณถึงจะอยู่รอด”
เสี่ยยักษ์ บอกว่า “หุ้นในดวงใจ” ไม่ได้มีกันทุกๆเดือน บางทีต้องรอคอยนานเป็นปีถึงจะเจอ “รอบใหญ่” สักตัว สมัยก่อนรายย่อยเป็นใหญ่ในตลาดหุ้น “หุ้นเก็งกำไร” ครองเมือง วางมาร์จิน 30% เล่นหุ้นได้ 100% เล่นกัน “มันส์”สุดๆ แต่สมัยนี้ฝรั่งคุมตลาดหุ้นเราหมดแล้ว ของเรา 100 หัวสมอง เล่นหุ้นไม่ตรงกันเลย แต่ของเขา 10 หัวสมองเล่นหุ้นตัวเดียวกัน เขาคิดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นยุคนี้ต้องเล่น “หุ้นพื้นฐาน” ถึงจะมีโอกาส เสี่ยยักษ์เล่าว่า วิธีการเล่นหุ้นสมัยก่อน รายใหญ่จะใช้วิธีการ “อมหุ้น” แล้ว “ลาก” ขึ้นยาวๆไม่มีตก แล้วเล่นกันทั้งกระดาน รายย่อยจะ “เล่นรอบ” ได้ตลอดเวลา พอออกจากตัวนี้ ถ้าตัวไหนยังไม่ขึ้น ก็เข้าตัวนั้นดักทางไว้ก่อน ผิดกับยุคสมัยนี้ เล่นหุ้นแบบเดิมไม่ได้แล้ว
พฤติกรรมของตลาดเปลี่ยนไปหมด หันมา “เลือกตัวเล่น” (ฝนตกไม่ทั่วฟ้า) ยกตัวอย่างเช่น ถ้า BAY-W1 ขึ้น หุ้นวอร์แรนท์จะขึ้นกันทั้งกระดาน ปาเป้าตัวไหนก็ถูก ผิดกับตอนนี้ BAY-W1 ขึ้นตัวเดียวตัวอื่นลงหมด เป็นต้นในสมัยก่อนถ้า “เจ้าของหุ้น” อยากให้หุ้นของตัวเองขึ้น เขาจะลากขึ้นไปให้ถึงจุดสุดยอดเลย (เล่นยาว) แต่เดี๋ยวนี้ เปล่า! เจ้าของหุ้นมันคิดแบบว่า จะ “ถอนทุนคืน” เร็วๆ เขาคิดว่าหุ้นอยู่ในกระเป๋าตัวเอง ขายแล้วได้ตังค์เลย จะ(โง่) ถือนานไปทำไม! พอเอาหุ้นเข้าตลาด (ขายไอพีโอ) เสร็จ ก็ทยอยปล่อยหุ้นขาย รวยอยู่คนเดียว ใครไปซื้อหุ้นอย่างนี้ก็“ซวย” !!!
สำหรับหุ้นที่ดี “ผู้บริหาร” หรือ “เจ้าของ” จะต้องไม่เอาเปรียบผู้ถือหุ้นคือไม่มีพฤติกรรมทุจริต และต้องดูแลหุ้นของตัวเอง หุ้นอย่างนี้จะมี “รอบเล่น” เสี่ยยักษ์กล่าวว่า คนเล่นหุ้นทุกคนจะต้องเคยมีประสบการณ์ “เฉียดรวย” (เจอหุ้นขึ้นรอบใหญ่)มาหมด แต่ทำไม! หลายคนเล่นหุ้นแล้วไม่ได้ตังค์หรือได้กำไรน้อย สาเหตุที่คุณไม่ชนะ เพราะเจอแบบไม่มีกลยุทธ์ กล้าๆกลัวๆอ่านตลาดไม่ขาด จะซื้อตามก็ไม่กล้า (จะรอให้มันปรับฐานราคาก่อน…สุดท้ายก็ไปซื้อแพง) หุ้นขึ้นนิดหน่อยก็รีบขายตัดกำไรทิ้ง เท่าที่สังเกต…พฤติกรรมอย่างนี้ จะเกิดกับคนที่เทรดหุ้นทุกวัน สมองมันไม่มีจุดคิด เพราะการตัดสินใจบ่อยมันพลาดได้ง่าย ข้อเสียอีกอย่างคือ ใจไม่นิ่ง
ถ้าจะเล่นหุ้นให้รวย คุณต้องรอจังหวะ รอให้เครื่องมือทางเทคนิคมันพร้อม (ตัดขึ้นก่อน) พื้นฐานหุ้นรองรับ จุดสำคัญ…ถ้าตลาดหุ้นช่วงไหนคนเริ่มกลัวกันหมด “แหยงตลาด” ตรงจุดนั้นคือ “จุดที่ปลอดภัยที่สุด” ซื้อเสร็จก็ใส่ปี๊บเอาไว้เลย “นี่คือ..เคล็ดลับ” เมื่อสอบถามเสี่ยยักษ์ถึงประสบการณ์ “เฉียดตาย” และ “เฉียดรวย” “ส่วนใหญ่จะ “เฉียดตาย” (รอด) มากกว่า ยกตัวอย่างหุ้นธนายง สมัยก่อน 600-700 บาท แล้ววันนี้เป็นยังไงเหลือ “บาทกว่า” หุ้นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ (บงล.) ช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปิดกันหมด ดัชนี SET ลงมาเหลือ 200 จุด ถ้าใคร Cut Loss ไม่เป็นฟันธงเลยว่า “ตาย” หมด”
เพราะ ฉะนั้นการเล่นหุ้น เราต้องมี “เป้า” ในใจตลอดเวลาว่า ถ้าราคาลงมาเท่าไร? คุณต้องขาย ยกตัวอย่าง วันที่เกิดเหตุการณ์ตึกเวิลด์เทรดถล่ม (11 กันยายน 2544) วันเดียวโดนไป 26% เรามองว่าเรื่องมันคงไม่จบง่ายๆ ต้องมีการแก้แค้น “เวลาที่เกิดเหตุการณ์ช็อก!ตลาด ผมจะประเมินว่า จากนี้ไปสถานการณ์จะดีขึ้นกว่านี้มากมั้ย! ถ้าคำตอบคือ “ไม่มีทาง” นั่นหมายถึงว่า เราต้องยอมขาย(ขาดทุน) ผมมีคติว่า ถึงคราว “แพ้” ก็ต้องยอมแพ้ ต้องกล้าขาดทุน พอเปิดตลาดมาดัชนีดิ่งลงเหว ผมก็รอให้มันรีบาวด์แล้วก็ขายล้างพอร์ตหมด จำได้ว่าตอนนั้นขาดทุนไป 20-30 ล้านบาท”เสี่ยยักษ์บอกว่าจากประสบการณ์ที่อยู่ในวงการนี้มาอย่างยาวนาน ไม่มีใครที่ซื้อหุ้น “ถูกตัว” หมดทุกครั้ง มันเป็นไปไม่ได้เพราะฉะนั้นอาชีพเราต้องมอง “โอกาส” และ “ความเสี่ยง” อยู่ตลอดเวลา ถ้าลงมาถึงตรงไหน คุณต้องตัดสินใจเด็ดขาด “คนที่พลาดมักจะเป็นคนที่ไม่กล้าตัดสินใจอะไรเด็ดขาด ไม่เด็ดเดี่ยว แล้วชอบอ้างเหตุผลมากลบเกลื่อนความผิดพลาดของตัวเอง…ลองไปคิดดูว่าจริงอย่าง ที่พูดหรือไม่
ใช่ครับ รู้เขาไม่พอ ต้องรู้เราด้วย เก่งแค่ไหนไม่สำคัญ สำคัญมากกว่านั้นว่า รอคอยเป็นไหม จังหวะได้ไหม เรื่องนี้ไม่มีขาย อยากรู้อยากได้ต้องลงมือและเรียนรู้ เมื่อก่อนผมมีเงินในพอร์ทไม่ได้ ต้องซื้อหุ้น ซื้อมันทั้งๆที่จังหวะไม่ได้ และไม่มอบตัว อันนี้น่าจะเป็นปัญหาของอีกหลายๆคน พยายามเลิกซะ เพราะมันคือหายนะมากกว่าวิกฤตในตลาดเสียอีก
รู้จักคำว่า “รอคอย”
ถ้าเราเทรดหุ้นทุกวัน สมองมันไม่มีจุดคิด การตัดสินใจบ่อยมันพลาดได้ง่าย คุณต้องรอจังหวะ รอให้เครื่องมือทางเทคนิคยืนยัน แล้วทุกคนเริ่มกลัวกันหมด ตรงนั้นคือ จุดที่ปลอดภัยที่สุด ซื้อเสร็จก็ใส่ปี๊บเอาไว้ ความสำเร็จที่ยากที่สุดอาจไม่ใช่การเดินทางเพื่อค้นหา “กลยุทธ์สู่ความสำเร็จ” เพราะพื้นฐานแห่งความสำเร็จ แท้ที่จริงแล้วคือ การเอาชนะจิตใจของตัวเองให้ได้เสียก่อน ในตลาดหุ้น การ “รู้เขา” อย่างเดียว มิอาจไปถึงเป้าหมายได้ต้อง “รู้เรา” อย่างถ่องแท้ด้วย ไม่เช่นนั้นเงินที่กลาดเกลื่อนอยู่ในตลาดหุ้น ก็ไม่สามารถ “หยิบ” ขึ้นมาเชยชมได้
คำจำกัดความสั้นๆที่ “เสี่ยยักษ์” วิชัย วชิรพงศ์ เน้นยํ้าก็คือ
ถ้าอยากจะเล่นหุ้นให้รวย ต้องรู้จักคำว่า “รอคอย” (อดทน)
ต้องรอจังหวะ รอรอบของมันให้ได้ แล้วทำไม! จะรอมันไม่ได้คุณต้องนิ่ง คุณต้องใจเย็นๆ “ถ้าคุณอยากจะประสบความสำเร็จในอาชีพเล่นหุ้น คุณต้องเป็นมืออาชีพให้ได้ คุณถึงจะอยู่รอด”
เสี่ยยักษ์ บอกว่า “หุ้นในดวงใจ” ไม่ได้มีกันทุกๆเดือน บางทีต้องรอคอยนานเป็นปีถึงจะเจอ “รอบใหญ่” สักตัว สมัยก่อนรายย่อยเป็นใหญ่ในตลาดหุ้น “หุ้นเก็งกำไร” ครองเมือง วางมาร์จิน 30% เล่นหุ้นได้ 100% เล่นกัน “มันส์”สุดๆ แต่สมัยนี้ฝรั่งคุมตลาดหุ้นเราหมดแล้ว ของเรา 100 หัวสมอง เล่นหุ้นไม่ตรงกันเลย แต่ของเขา 10 หัวสมองเล่นหุ้นตัวเดียวกัน เขาคิดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นยุคนี้ต้องเล่น “หุ้นพื้นฐาน” ถึงจะมีโอกาส เสี่ยยักษ์เล่าว่า วิธีการเล่นหุ้นสมัยก่อน รายใหญ่จะใช้วิธีการ “อมหุ้น” แล้ว “ลาก” ขึ้นยาวๆไม่มีตก แล้วเล่นกันทั้งกระดาน รายย่อยจะ “เล่นรอบ” ได้ตลอดเวลา พอออกจากตัวนี้ ถ้าตัวไหนยังไม่ขึ้น ก็เข้าตัวนั้นดักทางไว้ก่อน ผิดกับยุคสมัยนี้ เล่นหุ้นแบบเดิมไม่ได้แล้ว
พฤติกรรมของตลาดเปลี่ยนไปหมด หันมา “เลือกตัวเล่น” (ฝนตกไม่ทั่วฟ้า) ยกตัวอย่างเช่น ถ้า BAY-W1 ขึ้น หุ้นวอร์แรนท์จะขึ้นกันทั้งกระดาน ปาเป้าตัวไหนก็ถูก ผิดกับตอนนี้ BAY-W1 ขึ้นตัวเดียวตัวอื่นลงหมด เป็นต้นในสมัยก่อนถ้า “เจ้าของหุ้น” อยากให้หุ้นของตัวเองขึ้น เขาจะลากขึ้นไปให้ถึงจุดสุดยอดเลย (เล่นยาว) แต่เดี๋ยวนี้ เปล่า! เจ้าของหุ้นมันคิดแบบว่า จะ “ถอนทุนคืน” เร็วๆ เขาคิดว่าหุ้นอยู่ในกระเป๋าตัวเอง ขายแล้วได้ตังค์เลย จะ(โง่) ถือนานไปทำไม! พอเอาหุ้นเข้าตลาด (ขายไอพีโอ) เสร็จ ก็ทยอยปล่อยหุ้นขาย รวยอยู่คนเดียว ใครไปซื้อหุ้นอย่างนี้ก็“ซวย” !!!
สำหรับหุ้นที่ดี “ผู้บริหาร” หรือ “เจ้าของ” จะต้องไม่เอาเปรียบผู้ถือหุ้นคือไม่มีพฤติกรรมทุจริต และต้องดูแลหุ้นของตัวเอง หุ้นอย่างนี้จะมี “รอบเล่น” เสี่ยยักษ์กล่าวว่า คนเล่นหุ้นทุกคนจะต้องเคยมีประสบการณ์ “เฉียดรวย” (เจอหุ้นขึ้นรอบใหญ่)มาหมด แต่ทำไม! หลายคนเล่นหุ้นแล้วไม่ได้ตังค์หรือได้กำไรน้อย สาเหตุที่คุณไม่ชนะ เพราะเจอแบบไม่มีกลยุทธ์ กล้าๆกลัวๆอ่านตลาดไม่ขาด จะซื้อตามก็ไม่กล้า (จะรอให้มันปรับฐานราคาก่อน…สุดท้ายก็ไปซื้อแพง) หุ้นขึ้นนิดหน่อยก็รีบขายตัดกำไรทิ้ง เท่าที่สังเกต…พฤติกรรมอย่างนี้ จะเกิดกับคนที่เทรดหุ้นทุกวัน สมองมันไม่มีจุดคิด เพราะการตัดสินใจบ่อยมันพลาดได้ง่าย ข้อเสียอีกอย่างคือ ใจไม่นิ่ง
ถ้าจะเล่นหุ้นให้รวย คุณต้องรอจังหวะ รอให้เครื่องมือทางเทคนิคมันพร้อม (ตัดขึ้นก่อน) พื้นฐานหุ้นรองรับ จุดสำคัญ…ถ้าตลาดหุ้นช่วงไหนคนเริ่มกลัวกันหมด “แหยงตลาด” ตรงจุดนั้นคือ “จุดที่ปลอดภัยที่สุด” ซื้อเสร็จก็ใส่ปี๊บเอาไว้เลย “นี่คือ..เคล็ดลับ” เมื่อสอบถามเสี่ยยักษ์ถึงประสบการณ์ “เฉียดตาย” และ “เฉียดรวย” “ส่วนใหญ่จะ “เฉียดตาย” (รอด) มากกว่า ยกตัวอย่างหุ้นธนายง สมัยก่อน 600-700 บาท แล้ววันนี้เป็นยังไงเหลือ “บาทกว่า” หุ้นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ (บงล.) ช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปิดกันหมด ดัชนี SET ลงมาเหลือ 200 จุด ถ้าใคร Cut Loss ไม่เป็นฟันธงเลยว่า “ตาย” หมด”
เพราะ ฉะนั้นการเล่นหุ้น เราต้องมี “เป้า” ในใจตลอดเวลาว่า ถ้าราคาลงมาเท่าไร? คุณต้องขาย ยกตัวอย่าง วันที่เกิดเหตุการณ์ตึกเวิลด์เทรดถล่ม (11 กันยายน 2544) วันเดียวโดนไป 26% เรามองว่าเรื่องมันคงไม่จบง่ายๆ ต้องมีการแก้แค้น “เวลาที่เกิดเหตุการณ์ช็อก!ตลาด ผมจะประเมินว่า จากนี้ไปสถานการณ์จะดีขึ้นกว่านี้มากมั้ย! ถ้าคำตอบคือ “ไม่มีทาง” นั่นหมายถึงว่า เราต้องยอมขาย(ขาดทุน) ผมมีคติว่า ถึงคราว “แพ้” ก็ต้องยอมแพ้ ต้องกล้าขาดทุน พอเปิดตลาดมาดัชนีดิ่งลงเหว ผมก็รอให้มันรีบาวด์แล้วก็ขายล้างพอร์ตหมด จำได้ว่าตอนนั้นขาดทุนไป 20-30 ล้านบาท”เสี่ยยักษ์บอกว่าจากประสบการณ์ที่อยู่ในวงการนี้มาอย่างยาวนาน ไม่มีใครที่ซื้อหุ้น “ถูกตัว” หมดทุกครั้ง มันเป็นไปไม่ได้เพราะฉะนั้นอาชีพเราต้องมอง “โอกาส” และ “ความเสี่ยง” อยู่ตลอดเวลา ถ้าลงมาถึงตรงไหน คุณต้องตัดสินใจเด็ดขาด “คนที่พลาดมักจะเป็นคนที่ไม่กล้าตัดสินใจอะไรเด็ดขาด ไม่เด็ดเดี่ยว แล้วชอบอ้างเหตุผลมากลบเกลื่อนความผิดพลาดของตัวเอง…ลองไปคิดดูว่าจริงอย่าง ที่พูดหรือไม่
ใช่ครับ รู้เขาไม่พอ ต้องรู้เราด้วย เก่งแค่ไหนไม่สำคัญ สำคัญมากกว่านั้นว่า รอคอยเป็นไหม จังหวะได้ไหม เรื่องนี้ไม่มีขาย อยากรู้อยากได้ต้องลงมือและเรียนรู้ เมื่อก่อนผมมีเงินในพอร์ทไม่ได้ ต้องซื้อหุ้น ซื้อมันทั้งๆที่จังหวะไม่ได้ และไม่มอบตัว อันนี้น่าจะเป็นปัญหาของอีกหลายๆคน พยายามเลิกซะ เพราะมันคือหายนะมากกว่าวิกฤตในตลาดเสียอีก