ตลาดหุ้น เป็นแหล่งแสวงกำไร เป็นทางเลือกการลงทุนแบบหนึ่ง ด้วยวัตถุประสงค์ แต่แรกคือ ให้มีเป็นส่วนร่วมโดยเป็นหุ้นส่วนธุรกิจ จากมหาชน เข้าไปแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับกิจการ ผู้บริหารได้เงินเพิ่มทุนจากการกระจายหุ้นของตนเองสู่ตลาดหุ้น ส่วนผู้ถือหุ้นในตลาดเป็นผู้ได้ประโยชน์ จากผลงานการบริหารงานและรับเงินปันผลตอบแทน ส่วนระบบตลาดคือ ตัวกลางการซื้อขายเพื่อให้เกิดสภาพคล่องและยุติธรรมในการซื้อขาย เวลาผ่านไป เป้าประสงค์ ก็อาจมีเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ เจ้าของธุรกิจก็มีสิทธิในการซื้อขายหุ้นตนเองได้ การแข่งขันมีมากขึ้น ทั้งระบบธุรกิจ และในส่วนผู้ลงทุนก็เกิดการแข่งขันรุนแรงเข้มข้นขึ้นเช่นกัน ทั้งจำนวนผู้เดินสู่ตลาดหุ้น การสร้างอุปสงค์ อุปทาน การส่งเสริมจูงใจให้ผู้ลงทุนเข้าตลาดมากขึ้น เพราะระบบตลาดค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นและการเติบโตของระบบตลาดเงินเข้ามามีส่วนร่วมกับตลาดทุนมากมาย ไม่เหมือนในอดีต รวมทั้งเทคโนโลยีก้าวหน้า ตลาดเป็นเสรีมาก จนถึงขั้นกระแสเงินทุนหลั่งไหลเคลื่อนย้ายง่ายและเร็ว การแข่งขันยิ่งมาก ระบบและวิธีการยิ่งต้องปรับเปลี่ยน แนวคิดปกติต้องเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ความคิดปกติไม่อาจตอบสนองการแสวงกำไรได้ง่ายขึ้น จึงเกิดทางเลือก และวิธีการ หลักการใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาในตลาดมากขึ้น และเป็นกฎธรรมชาติที่เมื่อใดมีอะไรที่มาก ย่อมการมีการแข่งขันมาก และการลงมือก็มีทั้งแบบถูกกติกาและผิดกติกาตามมา ความคิดในการลงทุนระยะยาวนานก็เปลี่ยนไปอันเกิดจากการแข่งขันของระบบธุกิจ ในขณะที่ การลงทุนในระบบตลาดทุน(ตลาดหุ้น) ก็มีความคิดและวิธีการแตกต่างไป ทั้งรายใหญ่และรายกลาง ส่วนที่ยังคงไม่ค่อยเปลี่ยนคือ รายย่อย อันเนื่องจากการแสวงประสบการณ์การเล่นหุ้นด้วยเงินจำนวนมากๆ ไม่มี รายย่อยจึงยังคงคิดและเชื่อในหลักการเดิม ไม่ยอมเปลี่ยน และสุดท้าย รายย่อยก็เป็นฝ่ายแพ้
ในสังคมภาครวม รายย่อยไม่มีแหล่งค้นคว้าเรียนรู้ด้านลบของระบบตลาดหุ้น ไม่มีเว็บไซน์ ไม่มีหนังสือใด กล้าเปิดเผยด้านลบ ทำให้รายย่อยส่วนมาก(ที่เป็นมือใหม่) เข้าตลาดด้วยข้อมูลด้านบวก และพกความฝันเข้ามา เมื่อเวลาผ่านไปก็จะค่อยๆ รับรู้ว่า การเล่นเอากำไรแบบเลี้ยงตัวได้นั้นไม่ง่าย ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นก็เริ่มขาดทุนแล้ว และมีจำนวนไม่น้อยที่ขาดทุนมากจนถอนตัวออกไม่ได้ด้วยความเสียดายเงินที่สูญ
ความจริงอย่างหนึ่งซึ่งยังคงอยู่จากการเปรียบเปรยของผู้มีประสบการณ์ในตลาดหุ้น คือ คนที่เข้าตลาด 10 คน จะขาดทุน 7 เสมอตัว 2 กำไร 1 โดยประมาณ (เมื่อผ่านระยะเวลาพอประมาณ) หากลองคิดกันคร่าวๆ ตลาดหุ้นหากมีผู้เปิด บัญชีประมาณ 700,000 บัญชี ก็จะมี 490,000 รายขาดทุน 140,000รายเสมอตัว เหลือ เพียง 70,000 รายที่มีกำไร ในจำนวนที่กำไรหากลองคิดสนุกดู จะมีผู้ที่กำไรแบบคุ้มค่าเสี่ยงจนนับเป็นร่ำรวยจากหุ้นได้ตามระยะเวลา มีจำนวนน้อย เพียงไม่กี่ % ของ70,000 ราย นอกนั้นคือ กำไรไม่คุ้มค่าเลี้ยงชีพ ฯ ช่างเถิด เพราะนั่นแค่ความคิดฝ่ายเดียว แต่ก็เป็นข้อมูลที่คนเข้าตลาดต้องคิด เพราะมันเป็นตรรกะ มิเช่นนั้น คนทั้งประเทศก็เลิกทำมาค้าขายกันหมดแล้วหันมาเล่นหุ้นอย่างเดียว
การเล่นหุ้น เพื่อเป้าหมาย ต้องมีปัจจัยประกอบมากมาย ตั้งแต่ความรู้พื้นฐาน, มุมมอง , การตัดสินใจ,ทั้งยังต้องมีจิตวิญญาณ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ต้องเข้าใจตรรกะของตลาด มีคนได้ ต้องมีคนเสีย ถ้าจำนวนคนที่ได้มีมาก จำนวนคนเสียมีน้อยกว่าเยอะ คนที่เสียเหล่านี้ก็ต้องเสียมากๆเสียหนักๆ ในทางกลับกัน จำนวนคนเสียมีมาก พอๆกับจำนวนคนที่ได้ คนเสียจะเสียน้อยเพราะถูกคนอื่นช่วยเฉลี่ยไปด้วย นั่นเป็นตลาดหุ้นสัมบูรณ์ แต่ตลาดที่ไม่สัมบูรณ์ จะกลับกัน คือ จำนวนคนที่เสียจะมีมากกว่า จำนวนคนที่ได้ ดังนั้นคนที่ได้มีจำนวนน้อยมาก แต่จะได้เงินเยอะ ไม่ว่าใครจะอ่านตำราเซียนหุ้น ก็ไม่อาจทำตามคนกลุ่มนี้หรือ รวยเท่ากันได้ตามระยะเวลาที่เท่ากัน เพราะปัจจัยต่างๆ ไม่มีวันตรงกัน เวลาต่างกัน สถานะบุคคลต่างกันโดยสิ้นเชิง ฯลฯ
ดังนั้น คนที่คิดจะเข้ามาเล่นหุ้นและหวังรวยเร็วด้วยเงินน้อยในเวลาสั้น ตอบได้ว่า ยากมาก แต่ก็ใช่จะหมดโอกาสเพราะยังมี โชค มาช่วยอยู่ข้าง ๆ ฝีมืออย่างเดียวไม่มีโอกาสเป็นไปได้ ไม่เชื่อก็ลองตรวจสอบถ่ายถามดู ว่า คนในตลาด ที่เป็นคนเก่ง สมองเยี่ยม อย่างอาชีพหมอ ,วิศวกร, นักบัญชีที่อ่านงบเก่ง ป่านนี้รวยหมดมีเงินเป็นร้อยล้านจากการเล่นหุ้น
ต้องกลับมาคิดใหม่ ถึงหลักความจริง และลงมือด้วยความมุ่งมั่น จากนั้นค่อยสะสมกำไรทีละน้อยไปก่อนคอยรอโอกาสรวยแบบรอโชคทีหลังผสมฝีมือจัด หนึ่งในหลักการนี้ คือ การมีแนวคิดที่ดี ป้องกันการขาดทุน มุ่งสร้างกำไรได้ ฯลฯ ต้องติดอาวุธให้ตนเอง มีโปรแกรมดีช่วยเหลือ ช่วยคิดทางลัดให้ ส่วนที่เหลือก็คือ การลงมือที่ถูกจังหวะเวลาอย่างกล้าหาญและชาญฉลาด ไม่สนใจว่ามีทุนน้อยหรือมากเพียงใด ไม่ยอมติดดอย และไม่กลัวขายหมู
โปรแกรมที่ดีไม่ใช้การใช้กราฟล้วนๆ แต่ต้องมีแนวคิดการเล่นหุ้นที่ดี ลดความเสี่ยงให้เหลือน้อยเท่าที่จะทำได้ เพิ่มการสร้างกำไรไม่ลดละ
.....ติดตามอ่านต่อตอนต่อไป.....
ไม่รู้ตรรกะตลาดหุ้น อย่าหวังเอากำไรไป (ตอนที่ 1 )
ในสังคมภาครวม รายย่อยไม่มีแหล่งค้นคว้าเรียนรู้ด้านลบของระบบตลาดหุ้น ไม่มีเว็บไซน์ ไม่มีหนังสือใด กล้าเปิดเผยด้านลบ ทำให้รายย่อยส่วนมาก(ที่เป็นมือใหม่) เข้าตลาดด้วยข้อมูลด้านบวก และพกความฝันเข้ามา เมื่อเวลาผ่านไปก็จะค่อยๆ รับรู้ว่า การเล่นเอากำไรแบบเลี้ยงตัวได้นั้นไม่ง่าย ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นก็เริ่มขาดทุนแล้ว และมีจำนวนไม่น้อยที่ขาดทุนมากจนถอนตัวออกไม่ได้ด้วยความเสียดายเงินที่สูญ
ความจริงอย่างหนึ่งซึ่งยังคงอยู่จากการเปรียบเปรยของผู้มีประสบการณ์ในตลาดหุ้น คือ คนที่เข้าตลาด 10 คน จะขาดทุน 7 เสมอตัว 2 กำไร 1 โดยประมาณ (เมื่อผ่านระยะเวลาพอประมาณ) หากลองคิดกันคร่าวๆ ตลาดหุ้นหากมีผู้เปิด บัญชีประมาณ 700,000 บัญชี ก็จะมี 490,000 รายขาดทุน 140,000รายเสมอตัว เหลือ เพียง 70,000 รายที่มีกำไร ในจำนวนที่กำไรหากลองคิดสนุกดู จะมีผู้ที่กำไรแบบคุ้มค่าเสี่ยงจนนับเป็นร่ำรวยจากหุ้นได้ตามระยะเวลา มีจำนวนน้อย เพียงไม่กี่ % ของ70,000 ราย นอกนั้นคือ กำไรไม่คุ้มค่าเลี้ยงชีพ ฯ ช่างเถิด เพราะนั่นแค่ความคิดฝ่ายเดียว แต่ก็เป็นข้อมูลที่คนเข้าตลาดต้องคิด เพราะมันเป็นตรรกะ มิเช่นนั้น คนทั้งประเทศก็เลิกทำมาค้าขายกันหมดแล้วหันมาเล่นหุ้นอย่างเดียว
การเล่นหุ้น เพื่อเป้าหมาย ต้องมีปัจจัยประกอบมากมาย ตั้งแต่ความรู้พื้นฐาน, มุมมอง , การตัดสินใจ,ทั้งยังต้องมีจิตวิญญาณ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ต้องเข้าใจตรรกะของตลาด มีคนได้ ต้องมีคนเสีย ถ้าจำนวนคนที่ได้มีมาก จำนวนคนเสียมีน้อยกว่าเยอะ คนที่เสียเหล่านี้ก็ต้องเสียมากๆเสียหนักๆ ในทางกลับกัน จำนวนคนเสียมีมาก พอๆกับจำนวนคนที่ได้ คนเสียจะเสียน้อยเพราะถูกคนอื่นช่วยเฉลี่ยไปด้วย นั่นเป็นตลาดหุ้นสัมบูรณ์ แต่ตลาดที่ไม่สัมบูรณ์ จะกลับกัน คือ จำนวนคนที่เสียจะมีมากกว่า จำนวนคนที่ได้ ดังนั้นคนที่ได้มีจำนวนน้อยมาก แต่จะได้เงินเยอะ ไม่ว่าใครจะอ่านตำราเซียนหุ้น ก็ไม่อาจทำตามคนกลุ่มนี้หรือ รวยเท่ากันได้ตามระยะเวลาที่เท่ากัน เพราะปัจจัยต่างๆ ไม่มีวันตรงกัน เวลาต่างกัน สถานะบุคคลต่างกันโดยสิ้นเชิง ฯลฯ
ดังนั้น คนที่คิดจะเข้ามาเล่นหุ้นและหวังรวยเร็วด้วยเงินน้อยในเวลาสั้น ตอบได้ว่า ยากมาก แต่ก็ใช่จะหมดโอกาสเพราะยังมี โชค มาช่วยอยู่ข้าง ๆ ฝีมืออย่างเดียวไม่มีโอกาสเป็นไปได้ ไม่เชื่อก็ลองตรวจสอบถ่ายถามดู ว่า คนในตลาด ที่เป็นคนเก่ง สมองเยี่ยม อย่างอาชีพหมอ ,วิศวกร, นักบัญชีที่อ่านงบเก่ง ป่านนี้รวยหมดมีเงินเป็นร้อยล้านจากการเล่นหุ้น
ต้องกลับมาคิดใหม่ ถึงหลักความจริง และลงมือด้วยความมุ่งมั่น จากนั้นค่อยสะสมกำไรทีละน้อยไปก่อนคอยรอโอกาสรวยแบบรอโชคทีหลังผสมฝีมือจัด หนึ่งในหลักการนี้ คือ การมีแนวคิดที่ดี ป้องกันการขาดทุน มุ่งสร้างกำไรได้ ฯลฯ ต้องติดอาวุธให้ตนเอง มีโปรแกรมดีช่วยเหลือ ช่วยคิดทางลัดให้ ส่วนที่เหลือก็คือ การลงมือที่ถูกจังหวะเวลาอย่างกล้าหาญและชาญฉลาด ไม่สนใจว่ามีทุนน้อยหรือมากเพียงใด ไม่ยอมติดดอย และไม่กลัวขายหมู
โปรแกรมที่ดีไม่ใช้การใช้กราฟล้วนๆ แต่ต้องมีแนวคิดการเล่นหุ้นที่ดี ลดความเสี่ยงให้เหลือน้อยเท่าที่จะทำได้ เพิ่มการสร้างกำไรไม่ลดละ
.....ติดตามอ่านต่อตอนต่อไป.....