งานวิจัยได้ออกโรงเตือนว่า คุณครูที่ทำตัวเป็นปรปักษ์กับนักเรียนไม่ว่าจะเป็นการดูถูก การโชว์พาวหรือวิพากษ์วิจารณ์นักเรียนในทางลบถือเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเรียนรู้ของนักเรียน
งานวิจัยได้ทำการวิเคราะห์คุณครูที่มีพฤติกรรมเป็นปรปักษ์กับนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ การพูดคุยสื่อสารกันเป็นทีม โดยได้มีการบันทึกวีดีโอเอาไว้ในช่วงที่คุณครูสอนนักเรียนราวๆ 500 คนด้วยกัน
มีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่มด้วยกันคือ กลุ่มที่นักเรียนได้อยู่ร่วมกับคุณครูที่ทำตัวเป็นปรปักษ์กับกลุ่มที่อยู่ร่วมกับคุณครูที่ไม่ได้เป็นปรปักษ์ จากนั้นก็ให้ทางนักเรียนได้ทำแบบสอบถามเกี่ยวกับภาวะแวดล้อมโดยรวมก่อนที่จะออกแบบทดสอบจริง
เมื่อทำการเปรียบเทียบแบบทดสอบของนักเรียน 2 กลุ่มแล้ว นักวิจัยพบว่ากลุ่มนักเรียนที่อยู่กับคุณครูที่เป็นปรปักษ์ทำคะแนนสอบแย่กว่ากลุ่มนักเรียนที่อยู่กับคุณครูที่ไม่เป็นปรปักษ์ คะแนนสอบที่ทำได้อย่างมากก็ได้คะแนน 5 % หรือต่ำกว่า เนื่องจากนักเรียนไม่อยากเรียนรู้กับคุณครูที่เป็นปรปักษ์
นอกจากนั้นแล้วนักเรียนที่เผชิญกับคุณครูที่เป็นปรปักษ์ก็ส่งผลต่อการเรียนรู้โดยตรงและไม่มีความเต็มใจที่อยากจะให้คุณครูสอนอีกในอนาคต
หัวหน้าวิจัยอย่าง Dr.Alan Goodboy เห็นถึงผลลัพธ์ด้านลบในระยะยาวของคุณครูที่มีพฤติกรรมแย่สำหรับการเรียนรู้ต่อนักเรียน “แม้ว่าคุณครูจะไม่ได้เป็นปรปักษ์มาก แต่ก็ส่งผลต่อแนวทางการสอนจนกลายเป็นการลดแรงจูงใจนักเรียนและเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ ด้วยเหตุนี้การสอนของคุณครูจะยิ่งทำให้นักเรียนมีทัศนคติต่อการเรียนรู้กับคุณครูแย่ลงไปอีกและเป็นอุปสรรคในการเรียนรู้ตลอดทั้งเทอม”
ด้วยเหตุนี้คุณครูก็ควรที่จะไม่ทำพฤติกรรมแย่ๆในห้องเรียนเป็นพิเศษ
“ความเป็นปรปักษ์เกิดขึ้นได้ในห้องเรียนอย่างชนิดที่คาดไม่ถึงหรือแม้แต่เกิดขึ้นในทันทีทันใดกับตัวของคุณครูเอง” Goodboy กล่าว
“ดังนั้นพวกเราจะต้องแน่ใจว่า คุณครูรุ่นใหม่จะต้องทำความเข้าใจว่า ความเป็นปรปักษ์อาจค่อยๆเกิดขึ้นในตัว โดยจะต้องโฟกัสว่าตัวเองมีความเป็นปรปักษ์มากแค่ไหนและจะต้องพัฒนาตัวเองในการทำปฎิสัมพันธ์กับนักเรียนไปในทางด้านบวกแม้ว่าจะเจอกับภาวะความกดดันมาแค่ไหนก็ตาม”
ผู้แปล : Mr.lawrence10
ที่มา : sciencedaily.com
คุณครูที่ทำตัวเป็นปรปักษ์กับนักเรียนทำให้นักเรียนสูญเสียความสามารถในการทำข้อสอบ
งานวิจัยได้ออกโรงเตือนว่า คุณครูที่ทำตัวเป็นปรปักษ์กับนักเรียนไม่ว่าจะเป็นการดูถูก การโชว์พาวหรือวิพากษ์วิจารณ์นักเรียนในทางลบถือเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเรียนรู้ของนักเรียน
งานวิจัยได้ทำการวิเคราะห์คุณครูที่มีพฤติกรรมเป็นปรปักษ์กับนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ การพูดคุยสื่อสารกันเป็นทีม โดยได้มีการบันทึกวีดีโอเอาไว้ในช่วงที่คุณครูสอนนักเรียนราวๆ 500 คนด้วยกัน
มีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่มด้วยกันคือ กลุ่มที่นักเรียนได้อยู่ร่วมกับคุณครูที่ทำตัวเป็นปรปักษ์กับกลุ่มที่อยู่ร่วมกับคุณครูที่ไม่ได้เป็นปรปักษ์ จากนั้นก็ให้ทางนักเรียนได้ทำแบบสอบถามเกี่ยวกับภาวะแวดล้อมโดยรวมก่อนที่จะออกแบบทดสอบจริง
เมื่อทำการเปรียบเทียบแบบทดสอบของนักเรียน 2 กลุ่มแล้ว นักวิจัยพบว่ากลุ่มนักเรียนที่อยู่กับคุณครูที่เป็นปรปักษ์ทำคะแนนสอบแย่กว่ากลุ่มนักเรียนที่อยู่กับคุณครูที่ไม่เป็นปรปักษ์ คะแนนสอบที่ทำได้อย่างมากก็ได้คะแนน 5 % หรือต่ำกว่า เนื่องจากนักเรียนไม่อยากเรียนรู้กับคุณครูที่เป็นปรปักษ์
นอกจากนั้นแล้วนักเรียนที่เผชิญกับคุณครูที่เป็นปรปักษ์ก็ส่งผลต่อการเรียนรู้โดยตรงและไม่มีความเต็มใจที่อยากจะให้คุณครูสอนอีกในอนาคต
หัวหน้าวิจัยอย่าง Dr.Alan Goodboy เห็นถึงผลลัพธ์ด้านลบในระยะยาวของคุณครูที่มีพฤติกรรมแย่สำหรับการเรียนรู้ต่อนักเรียน “แม้ว่าคุณครูจะไม่ได้เป็นปรปักษ์มาก แต่ก็ส่งผลต่อแนวทางการสอนจนกลายเป็นการลดแรงจูงใจนักเรียนและเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ ด้วยเหตุนี้การสอนของคุณครูจะยิ่งทำให้นักเรียนมีทัศนคติต่อการเรียนรู้กับคุณครูแย่ลงไปอีกและเป็นอุปสรรคในการเรียนรู้ตลอดทั้งเทอม”
ด้วยเหตุนี้คุณครูก็ควรที่จะไม่ทำพฤติกรรมแย่ๆในห้องเรียนเป็นพิเศษ
“ความเป็นปรปักษ์เกิดขึ้นได้ในห้องเรียนอย่างชนิดที่คาดไม่ถึงหรือแม้แต่เกิดขึ้นในทันทีทันใดกับตัวของคุณครูเอง” Goodboy กล่าว
“ดังนั้นพวกเราจะต้องแน่ใจว่า คุณครูรุ่นใหม่จะต้องทำความเข้าใจว่า ความเป็นปรปักษ์อาจค่อยๆเกิดขึ้นในตัว โดยจะต้องโฟกัสว่าตัวเองมีความเป็นปรปักษ์มากแค่ไหนและจะต้องพัฒนาตัวเองในการทำปฎิสัมพันธ์กับนักเรียนไปในทางด้านบวกแม้ว่าจะเจอกับภาวะความกดดันมาแค่ไหนก็ตาม”
ผู้แปล : Mr.lawrence10
ที่มา : sciencedaily.com