ภิกษุ ท ! การอยู่แบบพระอริยเจ้า ซึ่งพระอริยเจ้าทั้งหลาย ได้อยู่มาแล้วก็ดี กำลังอยู่ในบัดนี้ก็ดี จักอยู่ต่อไปก็ดี
มีเครื่องอยู่ ๑๐ ประการ เหล่านี้. ๑๐ ประการ อะไรบ้างเล่า ? ๑๐ ประการ คือ :-
ภิกษุ ท !
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ละองค์ห้าได้ขาด, ประกอบพร้อมด้วยองค์หก, มีอารักขาอย่างเดียว, มีพนักพิงสี่ด้าน,
เป็นผู้ถอนความเห็นว่าจริงดิ่งไปคนละทางขึ้นเสียแล้ว, เป็นผู้ละการแสวงหาสิ้นเชิงแล้ว, เป็นผู้มีความดำริอันไม่ขุ่นมัว,
เป็นผู้มีกายสังขารอันสงบรำงับแล้ว, เป็นผู้มีจิตหลุดพ้นด้วยดี, เป็นผู้มีปัญญาในความหลุดพ้นด้วยดี.
ภิกษุ ท ! ( ๑ ) ภิกษุเป็นผู้
ละองค์ห้าได้ขาด เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ละกามฉันทะ, ละพยาบาท, ละถีนมิทธะ, ละอุทธัจจะกุกกุจจะ และละวิจิกิจฉาได้แล้ว.
ภิกษุ ท ! ภิกษุอย่างนี้ ชื่อว่า เป็นผู้ละองค์ห้าได้ขาด.
ภิกษุ ท ! ( ๒ ) ภิกษุเป็นผู้
ประกอบพร้อมด้วยองค์หก เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ได้เห็นรูปด้วยตา, ได้ฟังเสียงด้วยหู, ได้ดมกลิ่นด้วยจมูก, ได้ลิ้มรสด้วยลิ้น, ได้สัมผัสโผฏฐัพพะด้วยกาย
และได้รับรู้ธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ก็เป็นผู้ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะอยู่ได้.
ภิกษุ ท ! ภิกษุอย่างนี้ ชื่อว่า เป็นผู้ประกอบพร้อมด้วยองค์หก.
ภิกษุ ท ! ( ๓ ) ภิกษุเป็นผู้
มีอารักขาอย่างเดียว เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ประกอบการรักษาจิตด้วยสติ.
ภิกษุ ท ! ภิกษุอย่างนี้ ชื่อว่า มีอารักขาอย่างเดียว.
ภิกษุ ท ! ( ๔ ) ภิกษุเป็นผู้
มีพนักพิงสี่ด้าน เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาแล้วเสพของสิ่งหนึ่ง, พิจารณาแล้วอดกลั้นของสิ่งหนึ่ง,
พิจารณาแล้วเว้นขาดของสิ่งหนึ่ง, พิจารณาแล้วบรรเทาของสิ่งหนึ่ง.
ภิกษุ ท ! ภิกษุอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้มีพนักพิงสี่ด้าน.
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้การพิจารณาแล้วเสพ ใช้กับ สิ่งของ บุคคล ธรรม ที่ควรเสพ.
การพิจารณาแล้วอดกลั้น ใช้กับ เวทนา ถ้อยคำ อารมณ์ ที่ควรอดกลั้น.
การพิจารณาแล้วงดเว้น ใช้กับ สิ่งของ บุคคล ธรรม ที่ควรเว้น.
การพิจารณาแล้วบรรเทา ใช้กับ อกุศลวิตกทุกชนิด.
ภิกษุ ท ! ( ๕ ) ภิกษุเป็นผู้
ถอนความเห็นว่าจริงดิ่งไปคนละทางขึ้นเสียแล้ว เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ถอน สละ คาย ปล่อย ละ ทิ้ง เสียแล้ว ซึ่งความเห็นว่าจริงดิ่งไปคนละทางมากอย่างของเหล่า
สมณพราหมณ์มากผู้ด้วยกัน ที่มีความเห็นว่า " โลกเที่ยงบ้าง, โลกไม่เที่ยงบ้าง, โลกมีที่สุดบ้าง, โลกไม่มีที่สุดบ้าง, ชีวะก็อันนั้น
สรีระก็อันนั้นบ้าง, ชีวะก็อันอื่น สรีระก็อันอื่นบ้าง, ตถาคตภายหลังแต่การตาย ย่อมมีอีกบ้าง, ตถาคตภายหลังแต่การตายย่อมไม่มีอีกบ้าง,
ตถาคตภายหลังแต่การตาย ย่อมมีอีกก็มีไม่มีอีกก็มีบ้าง, ตถาคตภายหลังแต่การตาย ย่อมมีอีกก็หามิได้ ไม่มีอีกก็หามิได้บ้าง ".
ภิกษุ ท ! ภิกษุอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้ถอนความเห็นว่าจริงดิ่งไปคนละทาง (ปัจเจกสัจจะ) ขึ้นเสียแล้ว.
ภิกษุ ท ! ( ๖ ) ภิกษุเป็นผู้
ละการแสวงหาสิ้นเชิงแล้ว เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ละการแสวงหากามแล้ว, เป็นผู้ละการแสวงหาภพแล้ว, และ
การแสวงหาพรหมจรรย์ของเธอนั้นก็ระงับไปแล้ว.
ภิกษุ ท ! ภิกษุอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้ละการแสวงหาสิ้นเชิงแล้ว.
ภิกษุ ท ! ( ๗ ) ภิกษุเป็นผู้
มีดำริไม่ขุ่นมัว เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ละความดำริในทางกามเสียแล้ว, เป็นผู้ละความดำริในทางพยาบาทเสียแล้ว,
เป็นผู้ละความดำริในทางเบียดเบียนเสียแล้ว.
ภิกษุ ท ! ภิกษุอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้มีดำริไม่ขุ่นมัว.
ภิกษุ ท ! ( ๘ ) ภิกษุเป็นผู้
มีกายสังขารอันสงบรำงับแล้ว เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะละสุขเสียได้ เพราะละทุกข์เสียได้ และเพราะความดับหายไปแห่งโสมนัส และโทมนัสในกาลก่อน
จึงบรรลุฌานที่ ๔ อันไม่มีทุกข์และสุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่.
ภิกษุ ท ! ภิกษุอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้มีกายสังขารอันสงบรำงับแล้ว.
ภิกษุ ท ! ( ๙ ) ภิกษุเป็นผู้
มีจิตหลุดพ้นด้วยดี เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วจากราคะ จากโทสะ จากโมหะ.
ภิกษุ ท ! ภิกษุอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้มีจิตหลุดพ้นด้วยดี.
ภิกษุ ท ! ( ๑๐ ) ภิกษุเป็นผู้
มีปัญญาในความหลุดพ้นด้วยดี เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้ชัดว่า " เราละ ราคะ โทสะ โมหะ เสียแล้ว ถอนขึ้นได้กระทั่งราก ทำให้เหมือนตาลยอดเน่า
ไม่ให้มี ไม่ให้เกิดได้อีกต่อไป " ดังนี้.
ภิกษุ ท ! ภิกษุอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้มีปัญญาในความหลุดพ้นด้วยดี.
ภิกษุ ท ! ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต พระอริยเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ได้เป็นอยู่แล้วอย่างพระอริยเจ้า;
พระอริยเจ้าทั้งหมดเหล่านั้น ก็ได้เป็นอยู่แล้ว ในการอยู่อย่างพระอริยเจ้า สิบประการนี้เหมือนกัน.
ภิกษุ ท ! ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต พระอริยเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ได้เป็นอยู่แล้วอย่างพระอริยเจ้า;
พระอริยเจ้าทั้งหมดเหล่านั้น ก็ได้เป็นอยู่แล้ว ในการอยู่อย่างพระอริยเจ้า สิบประการนี้เหมือนกัน.
ภิกษุ ท ! ในกาลบัดนี้ พระอริยเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ได้เป็นอยู่แล้วอย่างพระอริยเจ้า;
พระอริยเจ้าทั้งหมดเหล่านั้น ก็ได้เป็นอยู่แล้ว ในการอยู่อย่างพระอริยเจ้า สิบประการนี้เหมือนกัน.
ภิกษุ ท ! การอยู่แบบพระอริยเจ้า ซึ่งพระอริยเจ้าทั้งหลายได้อยู่มาแล้วก็ดี กำลังอยู่ในบัดนี้ก็ดี
จักอยู่ต่อไปก็ดี มีเครื่องอยู่ ๑๐ ประการ เหล่านี้แล.
บาลี พระพุทธภาษิต ทสก. อํ. ๒๔/๓๑/๒๐.
" ผู้ อยู่ ด้วย เครื่อง อยู่ แบบ พระ อริยเจ้า "
มีเครื่องอยู่ ๑๐ ประการ เหล่านี้. ๑๐ ประการ อะไรบ้างเล่า ? ๑๐ ประการ คือ :-
ภิกษุ ท ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ละองค์ห้าได้ขาด, ประกอบพร้อมด้วยองค์หก, มีอารักขาอย่างเดียว, มีพนักพิงสี่ด้าน,
เป็นผู้ถอนความเห็นว่าจริงดิ่งไปคนละทางขึ้นเสียแล้ว, เป็นผู้ละการแสวงหาสิ้นเชิงแล้ว, เป็นผู้มีความดำริอันไม่ขุ่นมัว,
เป็นผู้มีกายสังขารอันสงบรำงับแล้ว, เป็นผู้มีจิตหลุดพ้นด้วยดี, เป็นผู้มีปัญญาในความหลุดพ้นด้วยดี.
ภิกษุ ท ! ( ๑ ) ภิกษุเป็นผู้ ละองค์ห้าได้ขาด เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ละกามฉันทะ, ละพยาบาท, ละถีนมิทธะ, ละอุทธัจจะกุกกุจจะ และละวิจิกิจฉาได้แล้ว.
ภิกษุ ท ! ภิกษุอย่างนี้ ชื่อว่า เป็นผู้ละองค์ห้าได้ขาด.
ภิกษุ ท ! ( ๒ ) ภิกษุเป็นผู้ ประกอบพร้อมด้วยองค์หก เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ได้เห็นรูปด้วยตา, ได้ฟังเสียงด้วยหู, ได้ดมกลิ่นด้วยจมูก, ได้ลิ้มรสด้วยลิ้น, ได้สัมผัสโผฏฐัพพะด้วยกาย
และได้รับรู้ธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ก็เป็นผู้ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะอยู่ได้.
ภิกษุ ท ! ภิกษุอย่างนี้ ชื่อว่า เป็นผู้ประกอบพร้อมด้วยองค์หก.
ภิกษุ ท ! ( ๓ ) ภิกษุเป็นผู้ มีอารักขาอย่างเดียว เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ประกอบการรักษาจิตด้วยสติ.
ภิกษุ ท ! ภิกษุอย่างนี้ ชื่อว่า มีอารักขาอย่างเดียว.
ภิกษุ ท ! ( ๔ ) ภิกษุเป็นผู้ มีพนักพิงสี่ด้าน เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาแล้วเสพของสิ่งหนึ่ง, พิจารณาแล้วอดกลั้นของสิ่งหนึ่ง,
พิจารณาแล้วเว้นขาดของสิ่งหนึ่ง, พิจารณาแล้วบรรเทาของสิ่งหนึ่ง.
ภิกษุ ท ! ภิกษุอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้มีพนักพิงสี่ด้าน.[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ภิกษุ ท ! ( ๕ ) ภิกษุเป็นผู้ ถอนความเห็นว่าจริงดิ่งไปคนละทางขึ้นเสียแล้ว เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ถอน สละ คาย ปล่อย ละ ทิ้ง เสียแล้ว ซึ่งความเห็นว่าจริงดิ่งไปคนละทางมากอย่างของเหล่า
สมณพราหมณ์มากผู้ด้วยกัน ที่มีความเห็นว่า " โลกเที่ยงบ้าง, โลกไม่เที่ยงบ้าง, โลกมีที่สุดบ้าง, โลกไม่มีที่สุดบ้าง, ชีวะก็อันนั้น
สรีระก็อันนั้นบ้าง, ชีวะก็อันอื่น สรีระก็อันอื่นบ้าง, ตถาคตภายหลังแต่การตาย ย่อมมีอีกบ้าง, ตถาคตภายหลังแต่การตายย่อมไม่มีอีกบ้าง,
ตถาคตภายหลังแต่การตาย ย่อมมีอีกก็มีไม่มีอีกก็มีบ้าง, ตถาคตภายหลังแต่การตาย ย่อมมีอีกก็หามิได้ ไม่มีอีกก็หามิได้บ้าง ".
ภิกษุ ท ! ภิกษุอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้ถอนความเห็นว่าจริงดิ่งไปคนละทาง (ปัจเจกสัจจะ) ขึ้นเสียแล้ว.
ภิกษุ ท ! ( ๖ ) ภิกษุเป็นผู้ ละการแสวงหาสิ้นเชิงแล้ว เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ละการแสวงหากามแล้ว, เป็นผู้ละการแสวงหาภพแล้ว, และ
การแสวงหาพรหมจรรย์ของเธอนั้นก็ระงับไปแล้ว.
ภิกษุ ท ! ภิกษุอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้ละการแสวงหาสิ้นเชิงแล้ว.
ภิกษุ ท ! ( ๗ ) ภิกษุเป็นผู้ มีดำริไม่ขุ่นมัว เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ละความดำริในทางกามเสียแล้ว, เป็นผู้ละความดำริในทางพยาบาทเสียแล้ว,
เป็นผู้ละความดำริในทางเบียดเบียนเสียแล้ว.
ภิกษุ ท ! ภิกษุอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้มีดำริไม่ขุ่นมัว.
ภิกษุ ท ! ( ๘ ) ภิกษุเป็นผู้ มีกายสังขารอันสงบรำงับแล้ว เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะละสุขเสียได้ เพราะละทุกข์เสียได้ และเพราะความดับหายไปแห่งโสมนัส และโทมนัสในกาลก่อน
จึงบรรลุฌานที่ ๔ อันไม่มีทุกข์และสุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่.
ภิกษุ ท ! ภิกษุอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้มีกายสังขารอันสงบรำงับแล้ว.
ภิกษุ ท ! ( ๙ ) ภิกษุเป็นผู้ มีจิตหลุดพ้นด้วยดี เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วจากราคะ จากโทสะ จากโมหะ.
ภิกษุ ท ! ภิกษุอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้มีจิตหลุดพ้นด้วยดี.
ภิกษุ ท ! ( ๑๐ ) ภิกษุเป็นผู้ มีปัญญาในความหลุดพ้นด้วยดี เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้ชัดว่า " เราละ ราคะ โทสะ โมหะ เสียแล้ว ถอนขึ้นได้กระทั่งราก ทำให้เหมือนตาลยอดเน่า
ไม่ให้มี ไม่ให้เกิดได้อีกต่อไป " ดังนี้.
ภิกษุ ท ! ภิกษุอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้มีปัญญาในความหลุดพ้นด้วยดี.
ภิกษุ ท ! ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต พระอริยเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ได้เป็นอยู่แล้วอย่างพระอริยเจ้า;
พระอริยเจ้าทั้งหมดเหล่านั้น ก็ได้เป็นอยู่แล้ว ในการอยู่อย่างพระอริยเจ้า สิบประการนี้เหมือนกัน.
ภิกษุ ท ! ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต พระอริยเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ได้เป็นอยู่แล้วอย่างพระอริยเจ้า;
พระอริยเจ้าทั้งหมดเหล่านั้น ก็ได้เป็นอยู่แล้ว ในการอยู่อย่างพระอริยเจ้า สิบประการนี้เหมือนกัน.
ภิกษุ ท ! ในกาลบัดนี้ พระอริยเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ได้เป็นอยู่แล้วอย่างพระอริยเจ้า;
พระอริยเจ้าทั้งหมดเหล่านั้น ก็ได้เป็นอยู่แล้ว ในการอยู่อย่างพระอริยเจ้า สิบประการนี้เหมือนกัน.
ภิกษุ ท ! การอยู่แบบพระอริยเจ้า ซึ่งพระอริยเจ้าทั้งหลายได้อยู่มาแล้วก็ดี กำลังอยู่ในบัดนี้ก็ดี
จักอยู่ต่อไปก็ดี มีเครื่องอยู่ ๑๐ ประการ เหล่านี้แล.
บาลี พระพุทธภาษิต ทสก. อํ. ๒๔/๓๑/๒๐.