ขุมทรัพย์จากพระไตรปิฎก 4
เรื่อง สิ้นแผ่นดิน ไม่สิ้นแค้น
ตอน ปัจฉิมบท สิ้นแผ่นดิน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขันติ โสรัจจะ เห็นปานนี้ ได้มีแล้วแก่พระราชาเหล่านั้น ผู้ถืออาชญา ผู้ถือศัสตราวุธ ก็การที่พวกเธอบวชในธรรมวินัยอันเรากล่าวดีแล้วอย่างนี้ จะพึงอดทนและสงบเสงี่ยมนั้น ก็จะพึงงามในธรรมวินัยนี้แน่.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสพระโอวาทแก่ภิกษุเหล่านั้นว่า อย่าเลย ภิกษุทั้งหลาย อย่าบาดหมางกัน อย่าแก่งแย่งกันอย่าวิวาทกันเลย
ภิกษุอธรรมวาทีรูป หนึ่งกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นเจ้าของแห่งธรรมได้โปรดทรงยับยั้งเถิด ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าได้โปรดทรงมีความขวนขวายน้อย ประกอบสุขวิหารธรรมในปัจจุบันอยู่เถิด พวกข้าพระพุทธเจ้าจักปรากฏด้วยความบาดหมาง ความทะเลาะ ความแก่งแย่ง การวิวาทนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงพระดำริว่า โมฆบุรุษเหล่านี้หัวดื้อนักแล เราจะให้โมฆบุรุษเหล่านี้เข้าใจกัน ทำไม่ได้ง่ายเลย ดังนี้ แล้วเสด็จลุกจากพระพุทธอาสน์กลับไป.
พระองค์ทรงระอาพระทัย เพราะความอยู่วุ่นวายนั้น ทรงพระดำริว่า เดี๋ยวนี้เราอยู่วุ่นวายเป็นทุกข์ และภิกษุเหล่านี้ไม่ทำตามคำของเรา ถ้าอย่างไร เราพึงหลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ดังนี้ เสด็จเที่ยวบิณฑบาตในเมืองโกสัมพี ไม่ตรัสบอกพระภิกษุสงฆ์ ทรงถือบาตรจีวรของพระองค์ เสด็จไปพาลกโลณการาม แต่พระองค์เดียว ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัส เอกจาริกวัตร แก่พระภคุเถระที่พาลกโลณการามนั้น
จากนั้นเสด็จพุทธดำเนินไปทางปาจีนวังสทายวัน สมัยนั้น ท่านพระอนุรุทธะ ท่านพระนันทิยะ และท่านพระกิมพิละ พักอยู่ที่ปราจีนวังสทายวัน ท่านเหล่านั้นเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมา จึงพากันไปรับเสด็จ ครั้นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ที่จัดไว้แล้ว ตรัสถามว่า อนุรุทธะพวกเธอยังพอทนได้หรือ ยังพอให้อัตภาพเป็นไปได้หรือ ไม่ลำบาก
ด้วยอาหารบิณฑบาตหรือ
พวกท่านพระอนุรุทธะกราบทูลว่า พวกข้าพระพุทธเจ้า ยังพอทนได้ยังพอให้อัตภาพเป็นไปได้ และพวกข้าพระพุทธเจ้า ไม่ลำบากด้วยอาหารบิณฑบาต พระพุทธเจ้าข้า
ดูก่อนพวกอนุรุทธะ ก็พวกเธอยังพร้อมเพรียงกัน ยังปรองดองกัน ไม่วิวาทกัน เป็นดุจน้ำนมสดกับน้ำ มองดูกันด้วยดวงตาอันเป็นที่รักอยู่หรือ
พวกข้าพระพุทธเจ้ายังพร้อมเพรียงกัน ยังปรองดองกัน ไม่วิวาทกัน เป็นดุจน้ำนมสดกับน้ำ มองดูกันด้วยดวงตาอันเป็นที่รักอยู่ โดยส่วนเดียว พระพุทธเจ้าข้า
ดูก่อนพวกอนุรุทธะ พวกเธอพร้อมเพรียงกัน ปรองดองกัน ไม่วิวาทกัน เป็นดุจน้ำนมสดกับน้ำ มองดูกันด้วยดวงตาอันเป็นที่รักอยู่ ด้วยวิธีอย่างไรเล่า
พระพุทธเจ้าข้า ในข้อนี้ข้าพระพุทธเจ้ามีความคิดอย่างนี้ว่า เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ ที่เราได้อยู่ร่วมกับเพื่อนสพรหมจารีเห็นปานนี้ ข้าพระพุทธเจ้านั้น ได้เข้าไปตั้งเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรมเมตตามโนกรรมไว้ในท่านเหล่านั้น ทั้งในที่แจ้งและที่ลับข้าพระพุทธเจ้านั้น มีความคิดอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ เราพึงวางจิตของตนให้เป็นไปตามอำนาจจิต
ของท่านเหล่านี้เท่านั้น ดังนี้แล้ววางจิตของตนให้เป็นไปตามอำนาจจิตของท่านเหล่านี้แหละ กายของพวกข้าพระพุทธเจ้าต่างกันก็จริงแล แต่จิตเป็นเหมือนดวงเดียวกัน พระพุทธเจ้าข้า.
ฝ่ายท่านพระนันทิยะและท่านพระกิมพิละ ต่างได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า แม้ข้าพระพุทธเจ้าก็มีความคิดอย่างนี้ว่าเป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ ที่เราได้อยู่ร่วมกับเพื่อนสพรหมจารีเห็นปานนี้ ข้าพระพุทธเจ้านั้นได้เข้าไปตั้งเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรมเมตตามโนกรรมไว้ในท่านเหล่านี้ ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ ข้าพระพุทธเจ้านั้นมีความคิดอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ เราพึงวางจิตของตนให้เป็นไปตามอำนาจจิตของท่านเหล่านี้เท่านั้น ดังนี้ แล้ววางจิตของตนให้เป็นไปตามอำนาจจิตของท่านเหล่านี้แหละ กายของพวกข้าพระพุทธเจ้าต่างกันก็จริงแล แต่จิตเป็นเหมือนดวงเดียวกัน พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ยังปรองดองกัน ไม่วิวาทกัน เป็นดุจน้ำนมสดกับน้ำ มองดูกันด้วยดวงตาอันเป็นที่รักอยู่ด้วยวิธีอย่างนี้แล พระพุทธเจ้าข้า.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงชี้แจง ให้ท่านพระอนุรุทธะท่านพระนันทิยะ และท่านพระกิมพิละ เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา แล้วทรงลุกจากที่ประทับ เสด็จพระพุทธดำเนินไปทางตำบลบ้านปาริไลยกะ เสด็จจาริกโดยลำดับ ถึงตำบลบ้านปาริไลยกะ ทราบว่า ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยบ้านปาริเลยยกะ เสด็จจำพรรษาอยู่ที่ควงไม้สาละใหญ่ในราวป่ารักขิตวัน อันช้างปาริเลยยกะอุปัฏฐากอยู่ผาสุก
ฝ่ายพวกอุบาสก ผู้อยู่ในเมืองโกสัมพีแล ไปสู่วิหาร ไม่เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงถามว่า พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่ไหน ขอรับ
ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า พระองค์เสด็จไปสู่ราวป่าปาลิเลยยกะเสียแล้ว.
เพราะเหตุอะไร ขอรับ.
พระองค์ทรงพยายามจะทำพวกเราให้พร้อมเพรียงกัน, แต่พวกเราหาได้เป็นผู้พร้อมเพรียงกันไม่
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านทั้งหลายบวชอุทิศพระศาสดาแล้ว ถึงเมื่อพระองค์ทรงทำให้สามัคคีกัน แต่กลับไม่อาจเป็นผู้สามัคคีกันได้หรือ
อย่างนั้นแล ผู้มีอายุ
เหล่าอุบาสกอุบาสิกาปรึกษากันว่า ภิกษุเหล่านี้ บวชอุทิศพระศาสดาแล้ว ถึงเมื่อพระองค์ทรงทำให้สามัคคีอยู่, ก็ไม่สามัคคีกัน พวกเราไม่ได้เห็นพระศาสดา เพราะอาศัยภิกษุเหล่านี้ พวกเราจักไม่ถวายอาสนะ จักไม่ทำสามีจิกรรมแก่ภิกษุพวกนี้ ตั้งแต่นั้นมา ก็ไม่ทำแม้เพียงสามีจิกรรมแก่ภิกษุเหล่านั้น.
เธอทั้งหลายซูบซีดเพราะมีอาหารน้อย โดยสองสามวันเท่านั้นก็เป็นคนตรง แสดง
โทษที่ล่วงเกินแก่กันและกัน ต่างรูปต่างขอขมากันแล้ว กล่าวว่า อุบาสกทั้งหลาย พวกเราพร้อมเพรียงกันแล้ว ฝ่ายพวกท่าน ขอให้ปฏิบัติต่อพวกเราเหมือนอย่างก่อน
พวกท่านทูลขอขมาพระศาสดาแล้วหรือ ขอรับ.
ยังไม่ได้ทูลขอขมา ผู้มีอายุ.
ถ้าอย่างนั้น ขอพวกท่านทูลขอขมาพระศาสดาเสีย เมื่อพวกท่านทูลขอขมาแล้ว ฝ่ายพวกข้าพเจ้าจักปฏิบัติต่อพวกท่านเหมือนอย่างก่อน
เธอทั้งหลายไม่สามารถจะไปเฝ้าพระศาสดาได้ เพราะเป็นภายในพรรษา จึงให้ภายในพรรษานั้น ผ่านพ้นไปด้วยความลำบาก.
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ตลอดพรรษาที่ป่ารักขิตวัน ตำบลบ้านปาลิไลยกะ ครั้นออกพรรษา เสด็จพุทธดำเนินไปทางพระนครสาวัตถี เสด็จถึงพระนครสาวัตถีโดยลำดับ ทราบว่าพระองค์ประทับอยู่ที่พระเชตะวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
ภิกษุชาวเมืองโกสัมพี สดับข่าวว่า ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จถึงกรุงสาวัตถีแล้ว ได้ไป ณ ที่นั้นเพื่อจะกราบทูลขอขมาพระพุทธองค์
พระเจ้าโกศลทรงสดับว่า ได้ยินว่า พวกภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ผู้ก่อการแตกร้าวเหล่านั้น กำลังเดินทางมา จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันจักไม่ยอมให้ภิกษุเหล่านั้นเข้ามาสู่แว่นแคว้นของหม่อมฉัน
พระพุทธองค์ ตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร ภิกษุเหล่านั้นเป็นผู้มีศีล แต่ไม่เชื่อฟังคำของอาตมภาพ เพราะวิวาทกันและกันเท่านั้น บัดนี้เธอทั้งหลายมาเพื่อขอขมาอาตมภาพ, ดูก่อนมหาบพิตร ขอภิกษุเหล่านั้นจงมาเถิด
ฝ่ายท่านเศรษฐีอนาถบิณฑิกะ ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญข้าพระองค์จักไม่ยอมให้ภิกษุเหล่านั้นเข้ามาสู่วิหาร ดังนี้ แต่ก็ถูกพระศาสดาทรงห้ามเสียเหมือนอย่างนั้น
เมื่อภิกษุเหล่านั้นถึงกรุงสาวัตถีโดยลำดับแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า รับสั่งให้ประทานเสนาสนะ ณ ส่วนข้างหนึ่ง ทำให้เป็นที่สงัดแก่เธอทั้งหลาย. ภิกษุเหล่าอื่นไม่นั่ง ไม่ยืน ร่วมกับภิกษุพวกนั้น.
เหล่าชนผู้มาเฝ้าพระผู้มีพระภาค จะทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุเหล่าไหน คือภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ผู้ก่อการแตกร้าว ผู้ทำให้พระองค์ทรงลำบาก
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า นั่น ภิกษุชาวเมืองโกสัมพี
ภิกษุชาวเมืองโกสัมพีเหล่านั้น ถูกเหล่าชนผู้มาแล้ว ติเตียนว่า ได้ยินว่า นั่นภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ผู้ก่อการแตกร้าว ผู้ทำให้พระพุทธองค์ทรงลำบาก นั่นภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ผู้ก่อการแตกร้าวผู้ทำให้พระพุทธองค์ทรงลำบาก ดังนี้ ไม่อาจยกศีรษะขึ้น เพราะความอับอาย ฟุบลงแทบบาทมูลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลขอขมาพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว.
พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายทำกรรมหนักเสียแล้ว เธอทั้งหลายแม้บวชอุทิศพระพุทธเจ้าผู้เช่นเรา เมื่อเราทำความสามัคคีอยู่, กลับไม่ทำตามคำของเรา ดังนี้แล้ว จึงตรัสพุทธพจน์ว่า
ก็ชนเหล่าอื่นไม่รู้ตัวว่า 'พวกเราพากันย่อยยับ
อยู่ในท่ามกลางสงฆ์นี้' ฝ่ายชนเหล่าใดในหมู่นั้น
ย่อมรู้ชัด, ความหมายมั่นกันและกัน ย่อมสงบ
เพราะการปฏิบัติของชนพวกนั้น.
ครั้นตรัสพุทธพจน์นี้แล้ว จึงรับสั่งให้สงฆ์ทำสังฆสามัคคี คือสงฆ์พึงทำอุโบสถ พึงสวดปาติโมกข์ อธิกรณ์เป็นอันระงับ เรื่องราวความแตกร้าวกันของภิกษุชาวเมือโกสัมพีเป็นอันจบลงด้วยประการฉะนี้
จบเรื่อง สิ้นแผ่นดิน ไม่สิ้นแค้น
ประเด็นน่าสนใจ
เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย เป็นบทสรุปเรื่องราวความแตกร้าวของภิกษุชาวเมืองโกสัมพี เหตุเกิดเพราะเรื่องเล็กน้อย หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่าย ถอยสักก้าว ยินยอมสละทิฏฐิ เรื่องราวคงไม่ลุกลามใหญ่โตถึงเพียงนี้ แต่เพราะไม่ยอมกันไม่ยอมเสียหน้า จึงเป็นเหตุให้มีสิ่งต้องสูญเสียตามมาอีกมากมาย ตั้งแต่ สูญเสียความสงบใจ สูญเสียมิตรสหาย สูญเสียบรรยากาศการปฏิบัติธรรม สูญเสียความโปรดปรานจากพระผู้มีพระภาคเจ้า สูญเสียความเลื่อมใสศรัทธาจากอุบาสกอุบาสิกา สูญเสียสุขภาพที่ดี ต้องลำบากเรื่องการภัตตาหาร สูญเสียเวลาที่ต้องเดินทางไปขอขมาพระผู้มีพระภาคเจ้า และสุดท้ายต้องเสียสิ่งที่รักษากันมาแต่แรก นั่นคือ หน้าตา ต้องได้รับความอับอายจนไม่อาจมองหน้าใครได้
ดังนั้นพึงสละสิ่งเล็กน้อย เพื่อรักษาสิ่งที่มีค่ามากกว่า สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า
บุคคลพึงสละทรัพย์ เพราะเหตุแห่งอวัยวะอัน
ประเสริฐ เมื่อจะรักษาชีวิตไว้พึงสละอวัยวะ เมื่อระลึกถึง
ธรรม พึงสละอวัยวะ ทรัพย์ แม้กระทั่งชีวิตทั้งหมด ดังนี้.
พบกันใหม่โอกาสหน้า
ราตรีสวัสดิ์พระรัตนไตร
ขุมทรัพย์จากพระไตรปิฎก 4 เรื่อง สิ้นแผ่นดิน ไม่สิ้นแค้น ตอน ปัจฉิมบท สิ้นแผ่นดิน
เรื่อง สิ้นแผ่นดิน ไม่สิ้นแค้น
ตอน ปัจฉิมบท สิ้นแผ่นดิน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขันติ โสรัจจะ เห็นปานนี้ ได้มีแล้วแก่พระราชาเหล่านั้น ผู้ถืออาชญา ผู้ถือศัสตราวุธ ก็การที่พวกเธอบวชในธรรมวินัยอันเรากล่าวดีแล้วอย่างนี้ จะพึงอดทนและสงบเสงี่ยมนั้น ก็จะพึงงามในธรรมวินัยนี้แน่.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสพระโอวาทแก่ภิกษุเหล่านั้นว่า อย่าเลย ภิกษุทั้งหลาย อย่าบาดหมางกัน อย่าแก่งแย่งกันอย่าวิวาทกันเลย
ภิกษุอธรรมวาทีรูป หนึ่งกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นเจ้าของแห่งธรรมได้โปรดทรงยับยั้งเถิด ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าได้โปรดทรงมีความขวนขวายน้อย ประกอบสุขวิหารธรรมในปัจจุบันอยู่เถิด พวกข้าพระพุทธเจ้าจักปรากฏด้วยความบาดหมาง ความทะเลาะ ความแก่งแย่ง การวิวาทนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงพระดำริว่า โมฆบุรุษเหล่านี้หัวดื้อนักแล เราจะให้โมฆบุรุษเหล่านี้เข้าใจกัน ทำไม่ได้ง่ายเลย ดังนี้ แล้วเสด็จลุกจากพระพุทธอาสน์กลับไป.
พระองค์ทรงระอาพระทัย เพราะความอยู่วุ่นวายนั้น ทรงพระดำริว่า เดี๋ยวนี้เราอยู่วุ่นวายเป็นทุกข์ และภิกษุเหล่านี้ไม่ทำตามคำของเรา ถ้าอย่างไร เราพึงหลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ดังนี้ เสด็จเที่ยวบิณฑบาตในเมืองโกสัมพี ไม่ตรัสบอกพระภิกษุสงฆ์ ทรงถือบาตรจีวรของพระองค์ เสด็จไปพาลกโลณการาม แต่พระองค์เดียว ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัส เอกจาริกวัตร แก่พระภคุเถระที่พาลกโลณการามนั้น
จากนั้นเสด็จพุทธดำเนินไปทางปาจีนวังสทายวัน สมัยนั้น ท่านพระอนุรุทธะ ท่านพระนันทิยะ และท่านพระกิมพิละ พักอยู่ที่ปราจีนวังสทายวัน ท่านเหล่านั้นเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมา จึงพากันไปรับเสด็จ ครั้นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ที่จัดไว้แล้ว ตรัสถามว่า อนุรุทธะพวกเธอยังพอทนได้หรือ ยังพอให้อัตภาพเป็นไปได้หรือ ไม่ลำบาก
ด้วยอาหารบิณฑบาตหรือ
พวกท่านพระอนุรุทธะกราบทูลว่า พวกข้าพระพุทธเจ้า ยังพอทนได้ยังพอให้อัตภาพเป็นไปได้ และพวกข้าพระพุทธเจ้า ไม่ลำบากด้วยอาหารบิณฑบาต พระพุทธเจ้าข้า
ดูก่อนพวกอนุรุทธะ ก็พวกเธอยังพร้อมเพรียงกัน ยังปรองดองกัน ไม่วิวาทกัน เป็นดุจน้ำนมสดกับน้ำ มองดูกันด้วยดวงตาอันเป็นที่รักอยู่หรือ
พวกข้าพระพุทธเจ้ายังพร้อมเพรียงกัน ยังปรองดองกัน ไม่วิวาทกัน เป็นดุจน้ำนมสดกับน้ำ มองดูกันด้วยดวงตาอันเป็นที่รักอยู่ โดยส่วนเดียว พระพุทธเจ้าข้า
ดูก่อนพวกอนุรุทธะ พวกเธอพร้อมเพรียงกัน ปรองดองกัน ไม่วิวาทกัน เป็นดุจน้ำนมสดกับน้ำ มองดูกันด้วยดวงตาอันเป็นที่รักอยู่ ด้วยวิธีอย่างไรเล่า
พระพุทธเจ้าข้า ในข้อนี้ข้าพระพุทธเจ้ามีความคิดอย่างนี้ว่า เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ ที่เราได้อยู่ร่วมกับเพื่อนสพรหมจารีเห็นปานนี้ ข้าพระพุทธเจ้านั้น ได้เข้าไปตั้งเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรมเมตตามโนกรรมไว้ในท่านเหล่านั้น ทั้งในที่แจ้งและที่ลับข้าพระพุทธเจ้านั้น มีความคิดอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ เราพึงวางจิตของตนให้เป็นไปตามอำนาจจิต
ของท่านเหล่านี้เท่านั้น ดังนี้แล้ววางจิตของตนให้เป็นไปตามอำนาจจิตของท่านเหล่านี้แหละ กายของพวกข้าพระพุทธเจ้าต่างกันก็จริงแล แต่จิตเป็นเหมือนดวงเดียวกัน พระพุทธเจ้าข้า.
ฝ่ายท่านพระนันทิยะและท่านพระกิมพิละ ต่างได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า แม้ข้าพระพุทธเจ้าก็มีความคิดอย่างนี้ว่าเป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ ที่เราได้อยู่ร่วมกับเพื่อนสพรหมจารีเห็นปานนี้ ข้าพระพุทธเจ้านั้นได้เข้าไปตั้งเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรมเมตตามโนกรรมไว้ในท่านเหล่านี้ ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ ข้าพระพุทธเจ้านั้นมีความคิดอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ เราพึงวางจิตของตนให้เป็นไปตามอำนาจจิตของท่านเหล่านี้เท่านั้น ดังนี้ แล้ววางจิตของตนให้เป็นไปตามอำนาจจิตของท่านเหล่านี้แหละ กายของพวกข้าพระพุทธเจ้าต่างกันก็จริงแล แต่จิตเป็นเหมือนดวงเดียวกัน พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ยังปรองดองกัน ไม่วิวาทกัน เป็นดุจน้ำนมสดกับน้ำ มองดูกันด้วยดวงตาอันเป็นที่รักอยู่ด้วยวิธีอย่างนี้แล พระพุทธเจ้าข้า.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงชี้แจง ให้ท่านพระอนุรุทธะท่านพระนันทิยะ และท่านพระกิมพิละ เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา แล้วทรงลุกจากที่ประทับ เสด็จพระพุทธดำเนินไปทางตำบลบ้านปาริไลยกะ เสด็จจาริกโดยลำดับ ถึงตำบลบ้านปาริไลยกะ ทราบว่า ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยบ้านปาริเลยยกะ เสด็จจำพรรษาอยู่ที่ควงไม้สาละใหญ่ในราวป่ารักขิตวัน อันช้างปาริเลยยกะอุปัฏฐากอยู่ผาสุก
ฝ่ายพวกอุบาสก ผู้อยู่ในเมืองโกสัมพีแล ไปสู่วิหาร ไม่เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงถามว่า พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่ไหน ขอรับ
ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า พระองค์เสด็จไปสู่ราวป่าปาลิเลยยกะเสียแล้ว.
เพราะเหตุอะไร ขอรับ.
พระองค์ทรงพยายามจะทำพวกเราให้พร้อมเพรียงกัน, แต่พวกเราหาได้เป็นผู้พร้อมเพรียงกันไม่
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านทั้งหลายบวชอุทิศพระศาสดาแล้ว ถึงเมื่อพระองค์ทรงทำให้สามัคคีกัน แต่กลับไม่อาจเป็นผู้สามัคคีกันได้หรือ
อย่างนั้นแล ผู้มีอายุ
เหล่าอุบาสกอุบาสิกาปรึกษากันว่า ภิกษุเหล่านี้ บวชอุทิศพระศาสดาแล้ว ถึงเมื่อพระองค์ทรงทำให้สามัคคีอยู่, ก็ไม่สามัคคีกัน พวกเราไม่ได้เห็นพระศาสดา เพราะอาศัยภิกษุเหล่านี้ พวกเราจักไม่ถวายอาสนะ จักไม่ทำสามีจิกรรมแก่ภิกษุพวกนี้ ตั้งแต่นั้นมา ก็ไม่ทำแม้เพียงสามีจิกรรมแก่ภิกษุเหล่านั้น.
เธอทั้งหลายซูบซีดเพราะมีอาหารน้อย โดยสองสามวันเท่านั้นก็เป็นคนตรง แสดง
โทษที่ล่วงเกินแก่กันและกัน ต่างรูปต่างขอขมากันแล้ว กล่าวว่า อุบาสกทั้งหลาย พวกเราพร้อมเพรียงกันแล้ว ฝ่ายพวกท่าน ขอให้ปฏิบัติต่อพวกเราเหมือนอย่างก่อน
พวกท่านทูลขอขมาพระศาสดาแล้วหรือ ขอรับ.
ยังไม่ได้ทูลขอขมา ผู้มีอายุ.
ถ้าอย่างนั้น ขอพวกท่านทูลขอขมาพระศาสดาเสีย เมื่อพวกท่านทูลขอขมาแล้ว ฝ่ายพวกข้าพเจ้าจักปฏิบัติต่อพวกท่านเหมือนอย่างก่อน
เธอทั้งหลายไม่สามารถจะไปเฝ้าพระศาสดาได้ เพราะเป็นภายในพรรษา จึงให้ภายในพรรษานั้น ผ่านพ้นไปด้วยความลำบาก.
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ตลอดพรรษาที่ป่ารักขิตวัน ตำบลบ้านปาลิไลยกะ ครั้นออกพรรษา เสด็จพุทธดำเนินไปทางพระนครสาวัตถี เสด็จถึงพระนครสาวัตถีโดยลำดับ ทราบว่าพระองค์ประทับอยู่ที่พระเชตะวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
ภิกษุชาวเมืองโกสัมพี สดับข่าวว่า ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จถึงกรุงสาวัตถีแล้ว ได้ไป ณ ที่นั้นเพื่อจะกราบทูลขอขมาพระพุทธองค์
พระเจ้าโกศลทรงสดับว่า ได้ยินว่า พวกภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ผู้ก่อการแตกร้าวเหล่านั้น กำลังเดินทางมา จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันจักไม่ยอมให้ภิกษุเหล่านั้นเข้ามาสู่แว่นแคว้นของหม่อมฉัน
พระพุทธองค์ ตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร ภิกษุเหล่านั้นเป็นผู้มีศีล แต่ไม่เชื่อฟังคำของอาตมภาพ เพราะวิวาทกันและกันเท่านั้น บัดนี้เธอทั้งหลายมาเพื่อขอขมาอาตมภาพ, ดูก่อนมหาบพิตร ขอภิกษุเหล่านั้นจงมาเถิด
ฝ่ายท่านเศรษฐีอนาถบิณฑิกะ ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญข้าพระองค์จักไม่ยอมให้ภิกษุเหล่านั้นเข้ามาสู่วิหาร ดังนี้ แต่ก็ถูกพระศาสดาทรงห้ามเสียเหมือนอย่างนั้น
เมื่อภิกษุเหล่านั้นถึงกรุงสาวัตถีโดยลำดับแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า รับสั่งให้ประทานเสนาสนะ ณ ส่วนข้างหนึ่ง ทำให้เป็นที่สงัดแก่เธอทั้งหลาย. ภิกษุเหล่าอื่นไม่นั่ง ไม่ยืน ร่วมกับภิกษุพวกนั้น.
เหล่าชนผู้มาเฝ้าพระผู้มีพระภาค จะทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุเหล่าไหน คือภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ผู้ก่อการแตกร้าว ผู้ทำให้พระองค์ทรงลำบาก
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า นั่น ภิกษุชาวเมืองโกสัมพี
ภิกษุชาวเมืองโกสัมพีเหล่านั้น ถูกเหล่าชนผู้มาแล้ว ติเตียนว่า ได้ยินว่า นั่นภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ผู้ก่อการแตกร้าว ผู้ทำให้พระพุทธองค์ทรงลำบาก นั่นภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ผู้ก่อการแตกร้าวผู้ทำให้พระพุทธองค์ทรงลำบาก ดังนี้ ไม่อาจยกศีรษะขึ้น เพราะความอับอาย ฟุบลงแทบบาทมูลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลขอขมาพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว.
พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายทำกรรมหนักเสียแล้ว เธอทั้งหลายแม้บวชอุทิศพระพุทธเจ้าผู้เช่นเรา เมื่อเราทำความสามัคคีอยู่, กลับไม่ทำตามคำของเรา ดังนี้แล้ว จึงตรัสพุทธพจน์ว่า
ก็ชนเหล่าอื่นไม่รู้ตัวว่า 'พวกเราพากันย่อยยับ
อยู่ในท่ามกลางสงฆ์นี้' ฝ่ายชนเหล่าใดในหมู่นั้น
ย่อมรู้ชัด, ความหมายมั่นกันและกัน ย่อมสงบ
เพราะการปฏิบัติของชนพวกนั้น.
ครั้นตรัสพุทธพจน์นี้แล้ว จึงรับสั่งให้สงฆ์ทำสังฆสามัคคี คือสงฆ์พึงทำอุโบสถ พึงสวดปาติโมกข์ อธิกรณ์เป็นอันระงับ เรื่องราวความแตกร้าวกันของภิกษุชาวเมือโกสัมพีเป็นอันจบลงด้วยประการฉะนี้
จบเรื่อง สิ้นแผ่นดิน ไม่สิ้นแค้น
ประเด็นน่าสนใจ
เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย เป็นบทสรุปเรื่องราวความแตกร้าวของภิกษุชาวเมืองโกสัมพี เหตุเกิดเพราะเรื่องเล็กน้อย หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่าย ถอยสักก้าว ยินยอมสละทิฏฐิ เรื่องราวคงไม่ลุกลามใหญ่โตถึงเพียงนี้ แต่เพราะไม่ยอมกันไม่ยอมเสียหน้า จึงเป็นเหตุให้มีสิ่งต้องสูญเสียตามมาอีกมากมาย ตั้งแต่ สูญเสียความสงบใจ สูญเสียมิตรสหาย สูญเสียบรรยากาศการปฏิบัติธรรม สูญเสียความโปรดปรานจากพระผู้มีพระภาคเจ้า สูญเสียความเลื่อมใสศรัทธาจากอุบาสกอุบาสิกา สูญเสียสุขภาพที่ดี ต้องลำบากเรื่องการภัตตาหาร สูญเสียเวลาที่ต้องเดินทางไปขอขมาพระผู้มีพระภาคเจ้า และสุดท้ายต้องเสียสิ่งที่รักษากันมาแต่แรก นั่นคือ หน้าตา ต้องได้รับความอับอายจนไม่อาจมองหน้าใครได้
ดังนั้นพึงสละสิ่งเล็กน้อย เพื่อรักษาสิ่งที่มีค่ามากกว่า สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า
บุคคลพึงสละทรัพย์ เพราะเหตุแห่งอวัยวะอัน
ประเสริฐ เมื่อจะรักษาชีวิตไว้พึงสละอวัยวะ เมื่อระลึกถึง
ธรรม พึงสละอวัยวะ ทรัพย์ แม้กระทั่งชีวิตทั้งหมด ดังนี้.
พบกันใหม่โอกาสหน้า
ราตรีสวัสดิ์พระรัตนไตร