เบื้องหลังนิทานซึ่งทำหน้าที่สร้างความบันเทิงให้แก่คนในสังคมบ่อยครั้งมักมาจากชีวิตจริงของบุคคลที่มีเลือดเนื้อ เช่นเดียวกับ “คนในทาน” ของ กร ศิริวัฒโณ เรื่องนี้เป็นนวนิยายย้อนยุคสังคมเกษตรแบบจารีตประเพณี (peasant Society) ที่ผู้เขียนจงใจแตะต้องและตั้งคำถามต่อประเด็นเรื่องเพศอันล่อแหลม
ดำกฤษณาคือแรงขับเคลื่อนของสรรพสัตว์ หากแต่การตอบสนองต่อความปรารถนาดังกล่าวในสังคมมนุษย์มักอยู่ภายใต้กรอบของกฎกติกา การเบี่ยงเบนจาก “รีตรอย” นำไปสู่การประณามหยามหยันตีตราว่าวิปริตวิตถาร
ปมความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างพ่อตากับลูกเขยในเรื่องเล่าขำขันนี้ เบื้องหลังของเรื่องราวขมขื่นของผู้เพลี่ยงพล้ำต่อการสนองตัณหาซ่อนเร้นในหนทางที่สังคมไม่ยอมรับ ทางออกและการคลี่คลายดำเนินผ่านฉากชีวิตในชนบทที่สอดแทรกเรื่องการทำมาหากิน ภูมิปัญญาท้องถิ่น และกลวิธีในการประสานตำนานและเกร็ดเรื่องเล่าเข้าเป็นส่วนหนึ่งอย่างแยบยล นอกเหนือจากคุณค่าเชิงนวนิยายแล้ว “คนในนิทาน” ยังทำหน้าที่เป็นบทบันทึกทางสังคมที่มีคุณค่าเชิงประวัติศาสตร์และมนุษยวิทยาอีกส่วนหนึ่งด้วย
(บางส่วนจากคำนิยมที่ประกาศเผยแพร่ โดยรางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด)
ข้อความที่ผมตัดมาข้างบนนี้พอจะทำให้ท่านทราบได้คร่าวๆ แล้วว่า นวนิยาย “คนในนิทาน” เรื่องนี้คือนวนิยายแนวไหน ผมขอบอกก่อนเลยว่า สำหรับนวนิยายเรื่องนี้คนที่โลกสวยหรือคนที่ยึดติดในศีลธรรมอย่างเหนียวแน่นไม่ควรอ่านเด็ดขาด เพราะว่าเนื้อหาในบางส่วนบางตอนอาจจะไปขัดกับความรู้สึกนึกคิดของท่านก็เป็นได้
นวนิยายเรื่อง “คนในนิทาน” นี้ นอกจากจะเข้ารอบ 8 เรื่องสุดท้ายในการเข้าชิงรางวัลซีไรต์ในปีนี้แล้ว นวนิยายเรื่องนี้ยังได้ตำแหน่ง รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ในประเภทนวนิยาย ของการประกวดรางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประจำปี 2561 ซึ่งน่าจะพอการันตรีได้ว่านวนิยายเรื่องนี้ต้องมีความน่าสนใจในระดับหนึ่ง ถึงได้คว้ารางวัลมาประเดิมก่อนเพื่อท้าทายเล่มอื่นอีก 7 เรื่อง(ที่เข้ารอบสุดท้ายซีไรต์ประจำปี 2561)ได้อย่างมั่นใจ
อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง?
ซึ่งความน่าสนใจที่ผมพบในนวนิยายเรื่องนี้ก็คือ “คนในนิทาน” มีความเป็นนวนิยายอย่างสมบูรณ์แบบ คือครบองค์ประกอบที่สำคัญของการเป็นนวนิยายที่ดี เป็นนวนิยายที่เกิดขึ้นจากเรื่องเล่า คือการเอามุขปาฐะมาขยายให้เป็นงานวรรณกรรม เอานิทานมาทำเป็นนวนิยาย โดยองค์ประกอบที่ดี 3 ประการคือมีเรื่องราวซึ่งเป็นปมขัดแย้งรุนแรง , มีตัวละครที่บุคคลิกชัดเจน และมีฉากของเรื่องที่น่าสนใจ รวมทั้งมีวิธีการดำเนินเรื่องที่น่าสนใจมาก มีทั้งการ ขยำ , ขยัก , ขย้อน , ขยี้ และ ขยาย ซึ่งผมจะขออธิบายไล่เรียงย้อนลำดับในท่านทราบดังนี้
เรื่องนี้มีฉากที่น่าสนใจ
เพราะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสังคมแบบเกษตรกรรมในลุ่มน้ำจืดโดยรอบทะเลสาบสงขลา โดยเฉพาะเมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องราวย้อนยุค ที่ย้อนกลับไปเล่าเรื่องถึงสภาพสังคมในยุคเก่าสัก 80 ปีที่แล้ว ในเรื่องบอกว่าเป็นยุคที่มีทหารญี่ปุ่นคืบคลานเข้ามาในจังหวัดสงขลาและพื้นที่ใกล้เคียงแล้ว เป็นยุคก่อนที่จะเริ่มต้นสงครามมหาเอเชียบูรพา(สงครามโลกครั้งที่ 2 บนแผ่นดินเอเชีย) แต่ว่าพูดเขียนกลับพูดถึงเรื่องราวของการรุกรานน้อยมาก เหมือนจะพูดถึงก็เพื่อเป็นการเทียบเคียงยุคสมัยให้คนอ่านทราบเท่านั้น ส่วนการบรรยายฉากและสภาพความเป็นอยู่ในสังคมท้องทุ่งแห่งนี้ ผู้เขียนให้รายละเอียดที่เยอะมาก เรียกว่า “ขยาย” จนทำให้คนอ่านเห็นภาพเกือบทุกตารางนิ้วทั้งต้นไม้ใบหญ้า สิงสาราสัตว์ตัวเล็กตัวน้อย เสียงนกเสียงกา จนกระทั่งบรรยายไปถึงรายละเอียดต่างๆ เช่น มียุงบินมากัด , จิ้งจกที่ออกมาร้องทักในเรื่องประมาณ 4-5 รอบเห็นจะได้ ฯลฯ โดยเฉพาะสถานที่ที่ผู้เขียนใช้คำว่า “มาบ” (คำนาม) ที่หมายถึงบริเวณที่ลุ่มกว้างใหญ่ซึ่งอาจจะมีน้ำขังหรือไม่มีก็ได้ ในเรื่องมาบน้ำนี้คือลุ่มน้ำจืดขนาดใหญ่ที่อยู่ติดกับทะเลสาบสงขลา เป็นลักษณะพื้นที่ที่เราไม่อาจจะพบเห็นได้ทั่วไป เพราะเป็นรอยต่ออันกว้างใหญ่ที่น้ำจืดรอคอยน้ำเค็มมาปะทะ ในเรื่องนี้มีการบรรยายฉากเยอะมากนั้น ผมคิดว่านักอ่านบางท่านอาจจะไม่ชอบก็ได้เพราะว่ามันเยอะเกินไป แต่สำหรับนักอ่านบางท่านน่าจะชอบก็ได้ เพราะจะได้เห็นภาพฉากที่ละเอียดชัดเจนมากๆ ผมอ่านเรื่องนี้แล้วก็ได้ทราบว่าคนทางภาคใต้ก็กินไข่มดแดงเหมือนกัน มีการไปยอนไข่มดแดงเหมือนคนทางภาคอีสาน ซึ่งถือว่าเป็นความรู้ใหม่ของผมเลย
ตัวละครในเรื่องที่มีบุคคลิกชัดเจน
สำหรับในเรื่องนี้มีตัวละครแค่ 6 ตัว โดยมีตัวละครหลัก 2 ตัวคือเทิ้มทดผู้เป็นพ่อตา และกริชผู้เป็นเขยใหญ่ และมีตัวละครประกอบอีก 4 ตัวที่ทำหน้าที่เดินเรื่องไปพร้อมกับตัวละครหลักคือ นิ่มน้อยแม่ยาย ดอกบวบและดอกแตงลูกสาว และสินชัยเขยเล็ก โดยต้องถือว่าเป็นความโชคดีหรือความตั้งใจของผู้เขียนก็ได้ ที่เจาะจงให้มีตัวละครไม่มากนัก จนสามารถสร้างเรื่องให้คนอ่านเห็นภาพของตัวละครที่ชัดเจนได้ รวมทั้งการจับตัวละครเป็นคู่เพื่อนำมาเปรียบเทียบกัน อาทิเช่น ตัวละครเทิ้มทดจับคู่กับนิ่มน้อย , ดอกบวบจับคู่กับดอกแตง และ กริชเขยใหญ่จับคู่กับสินชัยเขยเล็ก ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบในความเหมือน(สถานะที่เหมือนกัน)แล้วจะพบความแตกต่างของตัวละครที่ชัดเจน ผู้เขียนสามารถบรรยายภาพของตัวละครจนผู้อ่านสามารถเห็นลักษณะนิสัยของตัวละครได้ เรียกได้ว่าเป็นการ “ขยำ” จนเห็นภาพที่ชัดเจน เนียนมาก ประเด็นนี้จึงเป็นสิ่งน่าชื่นชมในนวนิยายเรื่องนี้
มีเรื่องราวซึ่งเป็นปมขัดแย้ง
สำหรับนวนิยายเรื่องนี้ต้องขอบอกก่อนว่าเป็นนวนิยายที่เล่าเรื่องซ้อนเรื่อง โดยเล่าซ้อนถึง 2 ชั้น คือเมื่อเริ่มต้นเรื่องมีตัวละครทั่วไปที่ไม่ระบุชื่อได้เล่าถึง “คนในนิทาน” ซึ่งก็คือเรื่องเล่าที่ซ้อนอยู่ ซึ่งในตัวเรื่องเล่าที่ซ้อนอยู่นี้เป็นเรื่องราวของความสัมพันธ์ระหว่างเทิ้มทดและกริช และก็มีการเล่าเรื่องซ้อนลงไปอีกชั้นหนึ่ง โดยเรื่องที่เล่าซ้อนอีกชั้นนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของตำนานและความเชื่อต่างๆ มีการเล่าเรื่องแบบเป็นการพรรณาและเล่าเรื่องผ่านบทสนทนาของตัวละคร ซึ่งมีการ “ขยัก” ทำให้ผู้อ่านอยากรู้ , มีการ “ขย้อน” เผยออกมาให้ผู้อ่านรู้ทีละน้อยไม่ปล่อยออกมารวดเดียวทั้งหมด และเมื่อเรื่องราวที่ซ่อนไว้ได้เผยออกมาทั้งหมดแล้วจะมีการ “ขยี้” สร้างอารมณ์ให้ผู้อ่านรู้สึกได้มากขึ้นไปอีก และที่สำคัญที่สุดคือการ “ขยำ” เอาทั้งเรื่องเล่าเรื่องตำนานต่างๆ และเรื่องเล่าที่ซ้อนอยู่ เอามาขยำรวมเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างเนียนมาก โดยเนียนในที่นี้คือผู้อ่านไม่รู้สึกว่ามันโดดไปมาแต่ผู้อ่านรู้ได้ว่าเรื่องไหนคือเรื่องไหน เหมือนเอาเรื่องเล่าที่ซ้อนกันอยู่นั้นมาอธิบายเรื่องเล่าในภาพใหญ่ได้ แล้วก็ “ขยาย” เรื่องเล่าทั้งหมดโดยให้ความสำคัญกับฉากและตัวละครเป็นหลัก ต้องถือว่าเป็นชั้นเชิงการเขียนระดับครูจริงๆ
แล้วก็อย่างที่ทราบกันว่า คุณกร ศิริวัฒโณ เป็นครูจริงๆ เป็นคุณครูที่สอนอยู่ในโรงเรียนทางภาคใต้ ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะสอนอยู่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ด้วยความเป็นครูนี่เองที่อดไม่ได้ที่จะต้องสอนอยู่ตลอด ซึ่งในเรื่อง “คนในนิทาน” นี้ อ่านแล้วก็รู้ได้ว่ามีการสอนอยู่ในหลายๆ ตอนมาก โดยเฉพาะเรื่องหลักที่สอนคือเรื่องของวิชาชีพและการทำมาหากิน เรื่องการทำนา, การจับปลา , การปลูกพืชผล , การทำอาหาร ฯลฯ ซึ่งผมอ่านแล้วรู้สึกได้ว่ามันเป็นการสอน ผู้เขียนสอนโดยบทบรรยายเพื่อให้ความรู้ ในเล่มนี้ถ้าหยิบหนังสือขึ้นมาแล้วลองเขย่าดู จะเห็นว่าสิ่งที่ตกหล่นลงมามากมายคือบทบรรยายอันหลากหลายที่ใช้เป็นแหล่งความรู้ได้เป็นอย่างดี เล่มนี้มีบทบรรยายมากกว่าบทสทนา ถ้าใครเคยอ่านนวนิยายที่ดำเนินเรื่องด้วยบทสนทนาเป็นหลักมาก่อน เมื่อมาอ่านเรื่องนี้แล้วอาจจะรู้สึกว่าเรื่องมันเดินช้าเกิดจนไปก็ได้ แต่การดำเนินเรื่องอย่างช้าเนิบๆ นี่เอง เป็นการให้รายละเอียดและให้ผู้อ่านได้ฉุกคิดตามไปได้ตลอดทั้งเรื่อง เพราะถึงแม้จะสอนแต่ก็เป็นการสอนในเรื่องราวที่ดีๆ ทั้งหมด
โดยเรื่องที่สอนเป็นหลักใหญ่ของเรื่องนี้ก็คือ เรื่องของการยับยั่งชั่งใจในความรู้สึกด้านกามราคะของมนุษย์ ที่เป็นธรรมชาติสามารถเกิดขึ้นได้แต่ควรจะต้องห้ามจิตห้ามใจตัวเองเอาไว้ให้ได้ เรียกเป็นภาษาบ้านๆ ว่า “สอนให้คนอ่านไม่หื่นกาม” ในเรื่องผู้เขียนใช้คำว่า “ดำกฤษณา” ที่พูดถึงแรงขับเคลื่อนของความกำหนัด โดยใช้สัญลักษณ์แทนเป็น “นางสองแขน” ซึ่งตอนที่ผมอ่านผมไม่รู้ว่านางสองแขนหมายถึงอะไร? ผมจึงต้องไปลองเสิร์ชกูเกิ้ลดูก็ได้ความประมาณว่า “เป็นนางร้ายประจำเมืองที่นายหนังตะลุงอุปโลกน์ขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่านางเบียดหรือนางสองแขน” นั้นเอง สำหรับประเด็นเรื่อง “นางสองแขน” นี้ต้องเป็นคนที่เข้าใจหรือเคยดูหนังตะลุงมาก่อนถึงจะอ่านแล้วเข้าใจได้ในทันที
และอีกนิดนึงที่ผมอยากจะพูดถึงในประเด็นเรื่อง “ดำกฤษณา” หรือเรื่องฉาวคาวราคะนี้ เอาเป็นว่าผมขออนุญาตสปอยล์ เพื่อเปิดเผยสาระสำคัญของเรื่องว่า ในเรื่องตัวพ่อตาคือเทิ้มทดนั้นมีเพศสัมพันธ์กับสุนัข และตัวลูกเขยใหญ่คือกริชมาแอบไปเห็นเข้า กริชจึงเอาเรื่องกามวิตถารกับสุนัขนี้ถือไว้เป็นอาวุธลับที่ใช้ดัดหลังพ่อตา ดังนั้นเรื่องราวของนวนิยายเรื่อง “คนในนิทาน” นี้ พล็อตหลักคือเรื่องราวความสัมพันธ์อันไม่ลงรอยกันระหว่างพ่อตากับลูกเขย เป็นปมความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งกันมากจนอาจถึงขั้นฆ่าฟันกันตายได้เลย ซึ่งผมอ่านแล้วรู้สึกได้ว่าเวลาที่ผู้เขียนพูดถึงเรื่องกามวิตถารที่เทิ้มทดมีอะไรกับสุนัขนี้ หรือในฉากที่มีเพศสัมพันธ์อื่นๆ นั้น ผู้เขียนพยายามใช้เลือกใช้ถ้อยคำที่ระมัดระวังเป็นอย่างมาก ผมเชื่อว่าความที่เป็นครูผู้เขียนจึงไม่อาจทำลายผู้อ่านด้วยเรื่องราวอันผิดศีลธรรมได้แน่ แต่เชื่อว่าผู้เขียนจำเป็นต้องพูดถึงเรื่องความกำหนัดพุ่งพล่านที่ไม่อาจข่มใจนี้ได้ ก็เพื่อเป็นการสอนโดยการยกตัวอย่างให้ผู้อ่านได้รับทราบ จะได้ไม่หลงผิดพลาดพลั้งไปกับอารมณ์อันชั่ววูบเหมือนที่เทิ้มทดกระทำลงไปได้ และไม่ทำเรื่องอันไม่ดีเหมือนการกระทำของกริชที่มีต่อพ่อตาด้วย
กร ศิริวัฒโณ
ดั้งนั้นอย่างที่ผมกล่าวไว้ตั้งแต่ต้นว่า นวนิยายเรื่องนี้ “คนที่โลกสวยหรือคนที่ยึดติดในศีลธรรมอย่างเหนียวแน่นไม่ควรอ่านเด็ดขาด” นั้น ผมก็เขียนขึ้นมาเพื่อกระทบกระเทียบและยกเป็นประเด็นไม่ให้คนอ่านทั่วไปตีความอะไรอย่างผิวเผิน อย่าตีความเมื่ออ่านเจอเพียงข้อความว่า “เทิ้มทดเสพสมกับหมา” แต่ขอให้ท่านตีความเมื่อได้อ่านเรื่องนี้จบลงแล้ว โดยให้ตีความถึงเหตุผลของการกระทำและผลที่ตามมา และตีความเหตุการณ์ทั้งหมดที่ผู้เขียนยกมาสร้างเป็นเรื่องราวนี้ดีกว่า
ถ้าถามผมว่า “คนในนิทาน” นี้ดีกว่าเรื่องอื่นอีก 7 เล่มที่เข้ารอบสุดท้ายในปีนี้หรือไม่? ผมไม่อาจจะตอบคำถามนี้ได้ เพราะว่าผมไม่ได้อ่านนวนิยายครบทั้ง 8 เรื่อง ผมได้อ่านและลองวิเคราะห์เพื่อรีวิวเพียงแค่เรื่อง “คนในนิทาน” เล่มนี้เอง แต่อย่างไรก็ตามผมก็ขออวยพรให้ “คนในนิทาน” หักด่านซีไรต์ในปีนี้ให้สำเร็จ เพราะภายใต้เรื่องราวของกามวิปริตนี้มันยังรายละเอียดต่างๆ ซ่อนอยู่อีกหลากหลาย เพื่อให้นักวิจารณ์วรรณกรรมพูดถึงอีกมากมายหลายประเด็นแน่ หรือถึงแม้ว่า “คนในนิทาน” จะหักด่านซีไรต์ไม่สำเร็จก็ตาม แต่ก็ต้องถือว่านวนิยายเรื่องนี้เป็นสุดยอด 1 ใน 8 เล่มประจำปี 2561 นี้เลย เพราะนวนิยายที่เขียนขยายมาจากนิทานประจำถิ่นนั้นหาอ่านได้น้อยมากในบ้านเรา
[SR] “คนในนิทาน” ผู้อาจหาญหักด่านซีไรต์
เบื้องหลังนิทานซึ่งทำหน้าที่สร้างความบันเทิงให้แก่คนในสังคมบ่อยครั้งมักมาจากชีวิตจริงของบุคคลที่มีเลือดเนื้อ เช่นเดียวกับ “คนในทาน” ของ กร ศิริวัฒโณ เรื่องนี้เป็นนวนิยายย้อนยุคสังคมเกษตรแบบจารีตประเพณี (peasant Society) ที่ผู้เขียนจงใจแตะต้องและตั้งคำถามต่อประเด็นเรื่องเพศอันล่อแหลม
ดำกฤษณาคือแรงขับเคลื่อนของสรรพสัตว์ หากแต่การตอบสนองต่อความปรารถนาดังกล่าวในสังคมมนุษย์มักอยู่ภายใต้กรอบของกฎกติกา การเบี่ยงเบนจาก “รีตรอย” นำไปสู่การประณามหยามหยันตีตราว่าวิปริตวิตถาร
ปมความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างพ่อตากับลูกเขยในเรื่องเล่าขำขันนี้ เบื้องหลังของเรื่องราวขมขื่นของผู้เพลี่ยงพล้ำต่อการสนองตัณหาซ่อนเร้นในหนทางที่สังคมไม่ยอมรับ ทางออกและการคลี่คลายดำเนินผ่านฉากชีวิตในชนบทที่สอดแทรกเรื่องการทำมาหากิน ภูมิปัญญาท้องถิ่น และกลวิธีในการประสานตำนานและเกร็ดเรื่องเล่าเข้าเป็นส่วนหนึ่งอย่างแยบยล นอกเหนือจากคุณค่าเชิงนวนิยายแล้ว “คนในนิทาน” ยังทำหน้าที่เป็นบทบันทึกทางสังคมที่มีคุณค่าเชิงประวัติศาสตร์และมนุษยวิทยาอีกส่วนหนึ่งด้วย
(บางส่วนจากคำนิยมที่ประกาศเผยแพร่ โดยรางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด)
ข้อความที่ผมตัดมาข้างบนนี้พอจะทำให้ท่านทราบได้คร่าวๆ แล้วว่า นวนิยาย “คนในนิทาน” เรื่องนี้คือนวนิยายแนวไหน ผมขอบอกก่อนเลยว่า สำหรับนวนิยายเรื่องนี้คนที่โลกสวยหรือคนที่ยึดติดในศีลธรรมอย่างเหนียวแน่นไม่ควรอ่านเด็ดขาด เพราะว่าเนื้อหาในบางส่วนบางตอนอาจจะไปขัดกับความรู้สึกนึกคิดของท่านก็เป็นได้
นวนิยายเรื่อง “คนในนิทาน” นี้ นอกจากจะเข้ารอบ 8 เรื่องสุดท้ายในการเข้าชิงรางวัลซีไรต์ในปีนี้แล้ว นวนิยายเรื่องนี้ยังได้ตำแหน่ง รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ในประเภทนวนิยาย ของการประกวดรางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประจำปี 2561 ซึ่งน่าจะพอการันตรีได้ว่านวนิยายเรื่องนี้ต้องมีความน่าสนใจในระดับหนึ่ง ถึงได้คว้ารางวัลมาประเดิมก่อนเพื่อท้าทายเล่มอื่นอีก 7 เรื่อง(ที่เข้ารอบสุดท้ายซีไรต์ประจำปี 2561)ได้อย่างมั่นใจ
อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง?
ซึ่งความน่าสนใจที่ผมพบในนวนิยายเรื่องนี้ก็คือ “คนในนิทาน” มีความเป็นนวนิยายอย่างสมบูรณ์แบบ คือครบองค์ประกอบที่สำคัญของการเป็นนวนิยายที่ดี เป็นนวนิยายที่เกิดขึ้นจากเรื่องเล่า คือการเอามุขปาฐะมาขยายให้เป็นงานวรรณกรรม เอานิทานมาทำเป็นนวนิยาย โดยองค์ประกอบที่ดี 3 ประการคือมีเรื่องราวซึ่งเป็นปมขัดแย้งรุนแรง , มีตัวละครที่บุคคลิกชัดเจน และมีฉากของเรื่องที่น่าสนใจ รวมทั้งมีวิธีการดำเนินเรื่องที่น่าสนใจมาก มีทั้งการ ขยำ , ขยัก , ขย้อน , ขยี้ และ ขยาย ซึ่งผมจะขออธิบายไล่เรียงย้อนลำดับในท่านทราบดังนี้
เรื่องนี้มีฉากที่น่าสนใจ
เพราะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสังคมแบบเกษตรกรรมในลุ่มน้ำจืดโดยรอบทะเลสาบสงขลา โดยเฉพาะเมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องราวย้อนยุค ที่ย้อนกลับไปเล่าเรื่องถึงสภาพสังคมในยุคเก่าสัก 80 ปีที่แล้ว ในเรื่องบอกว่าเป็นยุคที่มีทหารญี่ปุ่นคืบคลานเข้ามาในจังหวัดสงขลาและพื้นที่ใกล้เคียงแล้ว เป็นยุคก่อนที่จะเริ่มต้นสงครามมหาเอเชียบูรพา(สงครามโลกครั้งที่ 2 บนแผ่นดินเอเชีย) แต่ว่าพูดเขียนกลับพูดถึงเรื่องราวของการรุกรานน้อยมาก เหมือนจะพูดถึงก็เพื่อเป็นการเทียบเคียงยุคสมัยให้คนอ่านทราบเท่านั้น ส่วนการบรรยายฉากและสภาพความเป็นอยู่ในสังคมท้องทุ่งแห่งนี้ ผู้เขียนให้รายละเอียดที่เยอะมาก เรียกว่า “ขยาย” จนทำให้คนอ่านเห็นภาพเกือบทุกตารางนิ้วทั้งต้นไม้ใบหญ้า สิงสาราสัตว์ตัวเล็กตัวน้อย เสียงนกเสียงกา จนกระทั่งบรรยายไปถึงรายละเอียดต่างๆ เช่น มียุงบินมากัด , จิ้งจกที่ออกมาร้องทักในเรื่องประมาณ 4-5 รอบเห็นจะได้ ฯลฯ โดยเฉพาะสถานที่ที่ผู้เขียนใช้คำว่า “มาบ” (คำนาม) ที่หมายถึงบริเวณที่ลุ่มกว้างใหญ่ซึ่งอาจจะมีน้ำขังหรือไม่มีก็ได้ ในเรื่องมาบน้ำนี้คือลุ่มน้ำจืดขนาดใหญ่ที่อยู่ติดกับทะเลสาบสงขลา เป็นลักษณะพื้นที่ที่เราไม่อาจจะพบเห็นได้ทั่วไป เพราะเป็นรอยต่ออันกว้างใหญ่ที่น้ำจืดรอคอยน้ำเค็มมาปะทะ ในเรื่องนี้มีการบรรยายฉากเยอะมากนั้น ผมคิดว่านักอ่านบางท่านอาจจะไม่ชอบก็ได้เพราะว่ามันเยอะเกินไป แต่สำหรับนักอ่านบางท่านน่าจะชอบก็ได้ เพราะจะได้เห็นภาพฉากที่ละเอียดชัดเจนมากๆ ผมอ่านเรื่องนี้แล้วก็ได้ทราบว่าคนทางภาคใต้ก็กินไข่มดแดงเหมือนกัน มีการไปยอนไข่มดแดงเหมือนคนทางภาคอีสาน ซึ่งถือว่าเป็นความรู้ใหม่ของผมเลย
ตัวละครในเรื่องที่มีบุคคลิกชัดเจน
สำหรับในเรื่องนี้มีตัวละครแค่ 6 ตัว โดยมีตัวละครหลัก 2 ตัวคือเทิ้มทดผู้เป็นพ่อตา และกริชผู้เป็นเขยใหญ่ และมีตัวละครประกอบอีก 4 ตัวที่ทำหน้าที่เดินเรื่องไปพร้อมกับตัวละครหลักคือ นิ่มน้อยแม่ยาย ดอกบวบและดอกแตงลูกสาว และสินชัยเขยเล็ก โดยต้องถือว่าเป็นความโชคดีหรือความตั้งใจของผู้เขียนก็ได้ ที่เจาะจงให้มีตัวละครไม่มากนัก จนสามารถสร้างเรื่องให้คนอ่านเห็นภาพของตัวละครที่ชัดเจนได้ รวมทั้งการจับตัวละครเป็นคู่เพื่อนำมาเปรียบเทียบกัน อาทิเช่น ตัวละครเทิ้มทดจับคู่กับนิ่มน้อย , ดอกบวบจับคู่กับดอกแตง และ กริชเขยใหญ่จับคู่กับสินชัยเขยเล็ก ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบในความเหมือน(สถานะที่เหมือนกัน)แล้วจะพบความแตกต่างของตัวละครที่ชัดเจน ผู้เขียนสามารถบรรยายภาพของตัวละครจนผู้อ่านสามารถเห็นลักษณะนิสัยของตัวละครได้ เรียกได้ว่าเป็นการ “ขยำ” จนเห็นภาพที่ชัดเจน เนียนมาก ประเด็นนี้จึงเป็นสิ่งน่าชื่นชมในนวนิยายเรื่องนี้
มีเรื่องราวซึ่งเป็นปมขัดแย้ง
สำหรับนวนิยายเรื่องนี้ต้องขอบอกก่อนว่าเป็นนวนิยายที่เล่าเรื่องซ้อนเรื่อง โดยเล่าซ้อนถึง 2 ชั้น คือเมื่อเริ่มต้นเรื่องมีตัวละครทั่วไปที่ไม่ระบุชื่อได้เล่าถึง “คนในนิทาน” ซึ่งก็คือเรื่องเล่าที่ซ้อนอยู่ ซึ่งในตัวเรื่องเล่าที่ซ้อนอยู่นี้เป็นเรื่องราวของความสัมพันธ์ระหว่างเทิ้มทดและกริช และก็มีการเล่าเรื่องซ้อนลงไปอีกชั้นหนึ่ง โดยเรื่องที่เล่าซ้อนอีกชั้นนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของตำนานและความเชื่อต่างๆ มีการเล่าเรื่องแบบเป็นการพรรณาและเล่าเรื่องผ่านบทสนทนาของตัวละคร ซึ่งมีการ “ขยัก” ทำให้ผู้อ่านอยากรู้ , มีการ “ขย้อน” เผยออกมาให้ผู้อ่านรู้ทีละน้อยไม่ปล่อยออกมารวดเดียวทั้งหมด และเมื่อเรื่องราวที่ซ่อนไว้ได้เผยออกมาทั้งหมดแล้วจะมีการ “ขยี้” สร้างอารมณ์ให้ผู้อ่านรู้สึกได้มากขึ้นไปอีก และที่สำคัญที่สุดคือการ “ขยำ” เอาทั้งเรื่องเล่าเรื่องตำนานต่างๆ และเรื่องเล่าที่ซ้อนอยู่ เอามาขยำรวมเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างเนียนมาก โดยเนียนในที่นี้คือผู้อ่านไม่รู้สึกว่ามันโดดไปมาแต่ผู้อ่านรู้ได้ว่าเรื่องไหนคือเรื่องไหน เหมือนเอาเรื่องเล่าที่ซ้อนกันอยู่นั้นมาอธิบายเรื่องเล่าในภาพใหญ่ได้ แล้วก็ “ขยาย” เรื่องเล่าทั้งหมดโดยให้ความสำคัญกับฉากและตัวละครเป็นหลัก ต้องถือว่าเป็นชั้นเชิงการเขียนระดับครูจริงๆ
แล้วก็อย่างที่ทราบกันว่า คุณกร ศิริวัฒโณ เป็นครูจริงๆ เป็นคุณครูที่สอนอยู่ในโรงเรียนทางภาคใต้ ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะสอนอยู่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ด้วยความเป็นครูนี่เองที่อดไม่ได้ที่จะต้องสอนอยู่ตลอด ซึ่งในเรื่อง “คนในนิทาน” นี้ อ่านแล้วก็รู้ได้ว่ามีการสอนอยู่ในหลายๆ ตอนมาก โดยเฉพาะเรื่องหลักที่สอนคือเรื่องของวิชาชีพและการทำมาหากิน เรื่องการทำนา, การจับปลา , การปลูกพืชผล , การทำอาหาร ฯลฯ ซึ่งผมอ่านแล้วรู้สึกได้ว่ามันเป็นการสอน ผู้เขียนสอนโดยบทบรรยายเพื่อให้ความรู้ ในเล่มนี้ถ้าหยิบหนังสือขึ้นมาแล้วลองเขย่าดู จะเห็นว่าสิ่งที่ตกหล่นลงมามากมายคือบทบรรยายอันหลากหลายที่ใช้เป็นแหล่งความรู้ได้เป็นอย่างดี เล่มนี้มีบทบรรยายมากกว่าบทสทนา ถ้าใครเคยอ่านนวนิยายที่ดำเนินเรื่องด้วยบทสนทนาเป็นหลักมาก่อน เมื่อมาอ่านเรื่องนี้แล้วอาจจะรู้สึกว่าเรื่องมันเดินช้าเกิดจนไปก็ได้ แต่การดำเนินเรื่องอย่างช้าเนิบๆ นี่เอง เป็นการให้รายละเอียดและให้ผู้อ่านได้ฉุกคิดตามไปได้ตลอดทั้งเรื่อง เพราะถึงแม้จะสอนแต่ก็เป็นการสอนในเรื่องราวที่ดีๆ ทั้งหมด
โดยเรื่องที่สอนเป็นหลักใหญ่ของเรื่องนี้ก็คือ เรื่องของการยับยั่งชั่งใจในความรู้สึกด้านกามราคะของมนุษย์ ที่เป็นธรรมชาติสามารถเกิดขึ้นได้แต่ควรจะต้องห้ามจิตห้ามใจตัวเองเอาไว้ให้ได้ เรียกเป็นภาษาบ้านๆ ว่า “สอนให้คนอ่านไม่หื่นกาม” ในเรื่องผู้เขียนใช้คำว่า “ดำกฤษณา” ที่พูดถึงแรงขับเคลื่อนของความกำหนัด โดยใช้สัญลักษณ์แทนเป็น “นางสองแขน” ซึ่งตอนที่ผมอ่านผมไม่รู้ว่านางสองแขนหมายถึงอะไร? ผมจึงต้องไปลองเสิร์ชกูเกิ้ลดูก็ได้ความประมาณว่า “เป็นนางร้ายประจำเมืองที่นายหนังตะลุงอุปโลกน์ขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่านางเบียดหรือนางสองแขน” นั้นเอง สำหรับประเด็นเรื่อง “นางสองแขน” นี้ต้องเป็นคนที่เข้าใจหรือเคยดูหนังตะลุงมาก่อนถึงจะอ่านแล้วเข้าใจได้ในทันที
และอีกนิดนึงที่ผมอยากจะพูดถึงในประเด็นเรื่อง “ดำกฤษณา” หรือเรื่องฉาวคาวราคะนี้ เอาเป็นว่าผมขออนุญาตสปอยล์ เพื่อเปิดเผยสาระสำคัญของเรื่องว่า ในเรื่องตัวพ่อตาคือเทิ้มทดนั้นมีเพศสัมพันธ์กับสุนัข และตัวลูกเขยใหญ่คือกริชมาแอบไปเห็นเข้า กริชจึงเอาเรื่องกามวิตถารกับสุนัขนี้ถือไว้เป็นอาวุธลับที่ใช้ดัดหลังพ่อตา ดังนั้นเรื่องราวของนวนิยายเรื่อง “คนในนิทาน” นี้ พล็อตหลักคือเรื่องราวความสัมพันธ์อันไม่ลงรอยกันระหว่างพ่อตากับลูกเขย เป็นปมความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งกันมากจนอาจถึงขั้นฆ่าฟันกันตายได้เลย ซึ่งผมอ่านแล้วรู้สึกได้ว่าเวลาที่ผู้เขียนพูดถึงเรื่องกามวิตถารที่เทิ้มทดมีอะไรกับสุนัขนี้ หรือในฉากที่มีเพศสัมพันธ์อื่นๆ นั้น ผู้เขียนพยายามใช้เลือกใช้ถ้อยคำที่ระมัดระวังเป็นอย่างมาก ผมเชื่อว่าความที่เป็นครูผู้เขียนจึงไม่อาจทำลายผู้อ่านด้วยเรื่องราวอันผิดศีลธรรมได้แน่ แต่เชื่อว่าผู้เขียนจำเป็นต้องพูดถึงเรื่องความกำหนัดพุ่งพล่านที่ไม่อาจข่มใจนี้ได้ ก็เพื่อเป็นการสอนโดยการยกตัวอย่างให้ผู้อ่านได้รับทราบ จะได้ไม่หลงผิดพลาดพลั้งไปกับอารมณ์อันชั่ววูบเหมือนที่เทิ้มทดกระทำลงไปได้ และไม่ทำเรื่องอันไม่ดีเหมือนการกระทำของกริชที่มีต่อพ่อตาด้วย
ดั้งนั้นอย่างที่ผมกล่าวไว้ตั้งแต่ต้นว่า นวนิยายเรื่องนี้ “คนที่โลกสวยหรือคนที่ยึดติดในศีลธรรมอย่างเหนียวแน่นไม่ควรอ่านเด็ดขาด” นั้น ผมก็เขียนขึ้นมาเพื่อกระทบกระเทียบและยกเป็นประเด็นไม่ให้คนอ่านทั่วไปตีความอะไรอย่างผิวเผิน อย่าตีความเมื่ออ่านเจอเพียงข้อความว่า “เทิ้มทดเสพสมกับหมา” แต่ขอให้ท่านตีความเมื่อได้อ่านเรื่องนี้จบลงแล้ว โดยให้ตีความถึงเหตุผลของการกระทำและผลที่ตามมา และตีความเหตุการณ์ทั้งหมดที่ผู้เขียนยกมาสร้างเป็นเรื่องราวนี้ดีกว่า
ถ้าถามผมว่า “คนในนิทาน” นี้ดีกว่าเรื่องอื่นอีก 7 เล่มที่เข้ารอบสุดท้ายในปีนี้หรือไม่? ผมไม่อาจจะตอบคำถามนี้ได้ เพราะว่าผมไม่ได้อ่านนวนิยายครบทั้ง 8 เรื่อง ผมได้อ่านและลองวิเคราะห์เพื่อรีวิวเพียงแค่เรื่อง “คนในนิทาน” เล่มนี้เอง แต่อย่างไรก็ตามผมก็ขออวยพรให้ “คนในนิทาน” หักด่านซีไรต์ในปีนี้ให้สำเร็จ เพราะภายใต้เรื่องราวของกามวิปริตนี้มันยังรายละเอียดต่างๆ ซ่อนอยู่อีกหลากหลาย เพื่อให้นักวิจารณ์วรรณกรรมพูดถึงอีกมากมายหลายประเด็นแน่ หรือถึงแม้ว่า “คนในนิทาน” จะหักด่านซีไรต์ไม่สำเร็จก็ตาม แต่ก็ต้องถือว่านวนิยายเรื่องนี้เป็นสุดยอด 1 ใน 8 เล่มประจำปี 2561 นี้เลย เพราะนวนิยายที่เขียนขยายมาจากนิทานประจำถิ่นนั้นหาอ่านได้น้อยมากในบ้านเรา
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้