ตอนที่ 1
https://ppantip.com/topic/38067162
ตอนที่ 2
https://ppantip.com/topic/38073912
วันที่ 6 Bergen-Stavanger
วันนี้เป็นวันแห่งการชับรถ โดยใช้เวลาชับประมาณ 5-6 ชม. จากBergen ไป Stavanger ช่วงนี้ขับง่าย ไม่ต้องคอยดู GPS เพราะวิ่งเส้น 39 ตลอด พอเริ่มใกล้ถึงสังเกตถึงภูมิภาคที่เปลี่ยนไป แถวนี้เป็นหินเยอะ มีจุดชมวิว มองลงไปเห็นคนเล่นน้ำอยู่ด้วย (อยากเดินลงไปแต่อีกใจก็อยากทำเวลา)
เมื่อเข้าไปถึงในเมือง เราไป norskolje museum ถึงจะเป็น museum ที่ไม่ใหญ่ แต่ด้านในอลังการมาก มีการเอาอุปกรณ์ที่เคยใช้งานมาจัดแสดง และมีการฉายภาพยนตร์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของการขุดเจาะน้ำมัน ถือเป็น museum ที่ดีมากอีกอันนึง
พอออกจากmuseum ระหว่างทางเห็นเรือสำราญมาจอดมากมาย (หวังว่าจะมีสักครั้งในชีวิตที่ได้ล่อง)
จากนั้นหาห้างเดิน เพื่อไปซุปเปอร์มาร์เกตซื้อน้ำมันตับปลาเป็นของฝาก ถ้าเทียบราคาน้ำมันตับปลาที่นี่แพงกว่า Kiwi ประมาณ 10 NOK ส่วนการจอดรถห้างที่นี่จอดรถไม่ต้องรับบัตร ใช้กล้องวงจรปิดบันทึกป้ายทะเบียนตอนเข้า แล้วตอนจะออกสามารถเดินไปกรอกทะเบียนรถที่ตู้ ก็จะเห็นจำนวนชม.ที่เราจอด แล้วก็จ่ายเงินค่าส่วนเกินได้ (ไม่ต้องใช้พนักงานอีกแล้ว ดีจัง)
จากนั้นก็ขับแล้วเราก็ไปเที่ยวthe monument Sverd i fjell (Swords in rock)
คืนนี้เราพักกันที่โรงแรม Sandnes Vandrerhjem โรงแรมนี้ที่จอดรถฟรี แต่ผ้าปูเตียงกับปลอกหมอนต้องใส่เอง....เกิดมาไม่เคยเจอ แต่เราเลือกที่นี่เพราะมันใกล้ kjeragbolten
วันที่ 7 kjeragbolten
วันนี้ขับไปถึง kjeragbolten ประมาณ 9 โมง เส้นทางระหว่างทาง สวยเหมือนเคย เพียงแต่หินเยอะหน่อย และระหว่างทางจะมีคนมากางเต้นท์นอน
ที่นี่จะมีเจ้าหน้าที่เพียง 1 คนอยู่ตรงที่จอดรถ คอยถามทุกคันที่มา ว่ามาจากไหน เป็นยังไงกันบ้าง พอเห็นสภาพพวกเราบอกว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 6 ชม ไปกลับ สำหรับการปีนเขาอันนี้
ข้อควรระวัง+สิ่งที่ต้องเตรียม พวกเรา 2 คนเคยเดินเขามาบ้าง แต่อันนี้ถือว่าเป็นเขาที่ธรรมชาติมากที่สุด และต้องระวังให้มากที่สุด
1. จิตใจ และสติ
2. ควรออกกำลังกายก่อนไปทริปนี้ตั้งแต่เมืองไทย ฝึกเดินทางชัน
3. รองเท้าเรา 2 คน ใช้รองเท้าพวกเดินเขาแบบกันน้ำ ลุยได้ไม่ต้องกังวล (ใช้ตลอดทริป)
4. น้ำ + อาหาร + ผลไม้
5. เสื้อผ้าที่ระบาย ใส่คล่องตัว
6. เสื้อหนาว ตอนไปอยู่ข้างบน เย็นๆนิดหน่อย (แต่ไม่เอาไปก็ได้)
7. ถุงมือสำหรับคนมือบาง (เราไม่ได้เอาไปกัน ก็สบายๆอยู่ แต่จะลื่นนิดๆ)
8. เวลาจับโซ่ ต้องดึงให้ตึง
9. ไม่ควรจับโซ่ช่วงเดียวกัน เพราะมันจะแกว่ง
10. หลังการเดินเขา ควรยืดร่างกายทุกส่วน โดยเฉพาะขา มันจะช่วยได้เยอะสำหรับวันถัดไป
(แต่จากการอ่านข้อมูลหลังกลับมา ไม่เคยมีคนตกลงไปจากหินก้อนนั้นนะ)
อากาศด้านบนเบาบาง ช่วง 1 ชม. แรก เป็นช่วงการปรับตัว ระหว่างทาง ให้หาตัว T สีแดง เป็นเหมือนสัญลักษณ์ว่าต้องเดินไปทางนั้นนะ
แล้วระหว่างทางก็มีความหลากหลาย ทั้งเดินทางธรรมดา
เดินแบบไม่มีโซ่ช่วยดึง (อันนี้เหนื่อยหน่อย โดยเฉพาะขาลง)
หรือแบบมีโซ่ช่วย เพราะมันชัน
สำหรับเรา ถ้ามีทางเดินเป็นดิน+หญ้า เราจะเดินทางนั้น แต่เพื่อนเราชอบเดินบนหิน
อันนี้เป็นวิวจากอีกด้าน (ใกล้ถึงมากแล้ว)
กว่าจะถึงยังต้องปีนป่ายกันอีกนะ
ในที่สุดก็มาถึงที่นี่ บินข้ามน้ำข้ามทะเล เพื่อมายืนด้วยเท้า 2 ข้าง
พวกเรานั่งพัก กินอาหาร ผลไม้ แล้วก็ลง ขาลงใช้เวลาไปเกือบ 4 ชม. เพราะมันชันมากในบางที่ แล้วพวกเราเลือกที่จะจับเชือกลง มากกว่าจะอาศัยกำลังจากขาเพื่อรับน้ำหนักตอนลง (แนะนำว่าขาลงถ้าจับโซ่ลง ควรเดินถอยหลังลง แล้วต้องจับให้โซ่ตึง อย่าหย่อน เพราะตัวจะโยกเยก แล้วจะตกใจ) แล้วก็เกิดเรื่องที่ไม่อยากให้เกิดมากที่สุด คือ ลื่น!!!!!
โชคดีที่มือจับโซ่อยู่
โชคดีที่มีหินแถวนั้น ขาเลยยังยันอยู่ ไม่ตกลงไป
โชคดีที่กระเป๋ากระแทกก่อนก้น
โชคดีที่ เพื่อนยังอยู่
ทริปนี้ สอนให้รู้ว่า เอามันส์อย่างเดียวไม่ควร เอาชีวิตคนอื่นมาเสี่ยงไม่ควร แล้วโชคอาจไม่ช่วยอีกแล้ว
จากเหตุการณ์วันนี้ ทำให้เรา 2 คนตัดสินใจยกเลิกการไป Preikestolen เนื่องจาก พรุ่งนี้ฝนตก การไปยืนขอบหน้าผา ก็ไม่ต่างอะไรจากวันนี้ที่มีให้ยืนเหมือนกัน
ท้ายสุดคือ เรามาท่องเที่ยว ไม่ได้มาเก็บ RC ดังนั้น คืนรถที่สนามบิน Stavanger แล้วพรุ่งนี้เที่ยวเล่นในเมือง จัดกระเป๋า นอนพักเอาแรง....สบายใจ
วันที่ 8 Stanvanger
ย้ายมาพักโรงแรม scandic stavanger city มีชา กาแฟ บริการฟรีตลอดเวลา เดินไปกดได้ตลอด
มื้อเย็น เราเลือกที่จะกินตลาดปลาอีกครั้ง เพราะหาร้านถูกใจไม่เจอ แต่ที่นี่ตลาดเล็ก ตอนเช้าเปิดตู้แช่ขายของ ตกเย็นเอาโต๊ะมาตั้ง ขายอาหาร เราเลือกเมนูที่เป็นหลากหลายอย่าง ทำให้ได้ชิมเกือบทุกอย่างในขนาดเล็ก
อร่อยทุกอย่าง....แล้วเราก็เดินไปขึ้นรถไฟ กลับไปออสโล
วันที่ 9
พวกเราก็ไปซื้อ Oslo pass เพราะค่าโดยสาร และค่าเข้าที่เที่ยวต่างๆที่เราจะไปทั้งหลายฟรี
1. Viking museum
2. Fram museum
3. มีงานขายของกินพอดี (ชิมฟรี อันไหนอร่อยก็ซื้อกิน จนไม่ต้องกินข้าวเที่ยง)
5. National Gallery (ห้องที่มีภาพ Scream คึกคักสุด)
6. The Royal Palace เห็นอยู่ลิบๆ
7. อาคารรัฐสภา
8. Opera House
9. กินข้าวเย็นร้านอาหารไทย Tuk tuk (รสชาติจัดจ้านดี เพราะขอพี่ๆแม่ครัวได้)
ส่วนวันแรกที่ออสโลเราไป
1. Frogner Park
2. มาเดินริมน้ำ Aker Brygge ฝั่งตรงข้าม akershus festning และมีกิจกรรมเต้นของผู้สูงวัย ใครอยากร่วมก็ได้
3. ที่ Astrup Fearnley Museum of Modern Art เดินไปจนสุดจะมีสระว่ายน้ำกลางแจ้ง บรรยากาศดี
คืนสุดท้ายพักกันที่โรงแรม Park inn by Radisson เดินประมาณ 5 นาที จากสนามบิน และมีมื้อเช้าเปิด ตี 5 มั้งถ้าจำไม่ผิด
ขากลับแวะเปลี่ยนเครื่องที่ โคเปนเฮเก้น 5 ชม. ไม่พลาดที่จะซื้อเลโก้ สนามบินที่นี่คึกคักกว่าที่ออสโล มาก
*ทริปนี้ถ่ายรูปมาถึงเสื้อผ้าจะตัวเดิม แต่ซักทุกวันแล้วตากบนรถนะ**
ทริปนี้ขอขอบคุณเทวดา ฟ้าฝน ที่เป็นใจ เจอฝนเพียง 1 วัน และให้พวกเราเดินทางปลอดภัย
Norway (Oslo-Trondheim-Atlantic Ocean Road-Geirangerfjord-Briksdal Glarcier-Bergen-kjeragbolten-Stavanger-Oslo) ตอนที่ 3
ตอนที่ 2 https://ppantip.com/topic/38073912
วันที่ 6 Bergen-Stavanger
วันนี้เป็นวันแห่งการชับรถ โดยใช้เวลาชับประมาณ 5-6 ชม. จากBergen ไป Stavanger ช่วงนี้ขับง่าย ไม่ต้องคอยดู GPS เพราะวิ่งเส้น 39 ตลอด พอเริ่มใกล้ถึงสังเกตถึงภูมิภาคที่เปลี่ยนไป แถวนี้เป็นหินเยอะ มีจุดชมวิว มองลงไปเห็นคนเล่นน้ำอยู่ด้วย (อยากเดินลงไปแต่อีกใจก็อยากทำเวลา)
เมื่อเข้าไปถึงในเมือง เราไป norskolje museum ถึงจะเป็น museum ที่ไม่ใหญ่ แต่ด้านในอลังการมาก มีการเอาอุปกรณ์ที่เคยใช้งานมาจัดแสดง และมีการฉายภาพยนตร์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของการขุดเจาะน้ำมัน ถือเป็น museum ที่ดีมากอีกอันนึง
พอออกจากmuseum ระหว่างทางเห็นเรือสำราญมาจอดมากมาย (หวังว่าจะมีสักครั้งในชีวิตที่ได้ล่อง)
จากนั้นหาห้างเดิน เพื่อไปซุปเปอร์มาร์เกตซื้อน้ำมันตับปลาเป็นของฝาก ถ้าเทียบราคาน้ำมันตับปลาที่นี่แพงกว่า Kiwi ประมาณ 10 NOK ส่วนการจอดรถห้างที่นี่จอดรถไม่ต้องรับบัตร ใช้กล้องวงจรปิดบันทึกป้ายทะเบียนตอนเข้า แล้วตอนจะออกสามารถเดินไปกรอกทะเบียนรถที่ตู้ ก็จะเห็นจำนวนชม.ที่เราจอด แล้วก็จ่ายเงินค่าส่วนเกินได้ (ไม่ต้องใช้พนักงานอีกแล้ว ดีจัง)
จากนั้นก็ขับแล้วเราก็ไปเที่ยวthe monument Sverd i fjell (Swords in rock)
คืนนี้เราพักกันที่โรงแรม Sandnes Vandrerhjem โรงแรมนี้ที่จอดรถฟรี แต่ผ้าปูเตียงกับปลอกหมอนต้องใส่เอง....เกิดมาไม่เคยเจอ แต่เราเลือกที่นี่เพราะมันใกล้ kjeragbolten
วันที่ 7 kjeragbolten
วันนี้ขับไปถึง kjeragbolten ประมาณ 9 โมง เส้นทางระหว่างทาง สวยเหมือนเคย เพียงแต่หินเยอะหน่อย และระหว่างทางจะมีคนมากางเต้นท์นอน
ที่นี่จะมีเจ้าหน้าที่เพียง 1 คนอยู่ตรงที่จอดรถ คอยถามทุกคันที่มา ว่ามาจากไหน เป็นยังไงกันบ้าง พอเห็นสภาพพวกเราบอกว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 6 ชม ไปกลับ สำหรับการปีนเขาอันนี้
ข้อควรระวัง+สิ่งที่ต้องเตรียม พวกเรา 2 คนเคยเดินเขามาบ้าง แต่อันนี้ถือว่าเป็นเขาที่ธรรมชาติมากที่สุด และต้องระวังให้มากที่สุด
1. จิตใจ และสติ
2. ควรออกกำลังกายก่อนไปทริปนี้ตั้งแต่เมืองไทย ฝึกเดินทางชัน
3. รองเท้าเรา 2 คน ใช้รองเท้าพวกเดินเขาแบบกันน้ำ ลุยได้ไม่ต้องกังวล (ใช้ตลอดทริป)
4. น้ำ + อาหาร + ผลไม้
5. เสื้อผ้าที่ระบาย ใส่คล่องตัว
6. เสื้อหนาว ตอนไปอยู่ข้างบน เย็นๆนิดหน่อย (แต่ไม่เอาไปก็ได้)
7. ถุงมือสำหรับคนมือบาง (เราไม่ได้เอาไปกัน ก็สบายๆอยู่ แต่จะลื่นนิดๆ)
8. เวลาจับโซ่ ต้องดึงให้ตึง
9. ไม่ควรจับโซ่ช่วงเดียวกัน เพราะมันจะแกว่ง
10. หลังการเดินเขา ควรยืดร่างกายทุกส่วน โดยเฉพาะขา มันจะช่วยได้เยอะสำหรับวันถัดไป
(แต่จากการอ่านข้อมูลหลังกลับมา ไม่เคยมีคนตกลงไปจากหินก้อนนั้นนะ)
อากาศด้านบนเบาบาง ช่วง 1 ชม. แรก เป็นช่วงการปรับตัว ระหว่างทาง ให้หาตัว T สีแดง เป็นเหมือนสัญลักษณ์ว่าต้องเดินไปทางนั้นนะ
แล้วระหว่างทางก็มีความหลากหลาย ทั้งเดินทางธรรมดา
เดินแบบไม่มีโซ่ช่วยดึง (อันนี้เหนื่อยหน่อย โดยเฉพาะขาลง)
หรือแบบมีโซ่ช่วย เพราะมันชัน
สำหรับเรา ถ้ามีทางเดินเป็นดิน+หญ้า เราจะเดินทางนั้น แต่เพื่อนเราชอบเดินบนหิน
อันนี้เป็นวิวจากอีกด้าน (ใกล้ถึงมากแล้ว)
กว่าจะถึงยังต้องปีนป่ายกันอีกนะ
ในที่สุดก็มาถึงที่นี่ บินข้ามน้ำข้ามทะเล เพื่อมายืนด้วยเท้า 2 ข้าง
พวกเรานั่งพัก กินอาหาร ผลไม้ แล้วก็ลง ขาลงใช้เวลาไปเกือบ 4 ชม. เพราะมันชันมากในบางที่ แล้วพวกเราเลือกที่จะจับเชือกลง มากกว่าจะอาศัยกำลังจากขาเพื่อรับน้ำหนักตอนลง (แนะนำว่าขาลงถ้าจับโซ่ลง ควรเดินถอยหลังลง แล้วต้องจับให้โซ่ตึง อย่าหย่อน เพราะตัวจะโยกเยก แล้วจะตกใจ) แล้วก็เกิดเรื่องที่ไม่อยากให้เกิดมากที่สุด คือ ลื่น!!!!!
โชคดีที่มือจับโซ่อยู่
โชคดีที่มีหินแถวนั้น ขาเลยยังยันอยู่ ไม่ตกลงไป
โชคดีที่กระเป๋ากระแทกก่อนก้น
โชคดีที่ เพื่อนยังอยู่
ทริปนี้ สอนให้รู้ว่า เอามันส์อย่างเดียวไม่ควร เอาชีวิตคนอื่นมาเสี่ยงไม่ควร แล้วโชคอาจไม่ช่วยอีกแล้ว
จากเหตุการณ์วันนี้ ทำให้เรา 2 คนตัดสินใจยกเลิกการไป Preikestolen เนื่องจาก พรุ่งนี้ฝนตก การไปยืนขอบหน้าผา ก็ไม่ต่างอะไรจากวันนี้ที่มีให้ยืนเหมือนกัน
ท้ายสุดคือ เรามาท่องเที่ยว ไม่ได้มาเก็บ RC ดังนั้น คืนรถที่สนามบิน Stavanger แล้วพรุ่งนี้เที่ยวเล่นในเมือง จัดกระเป๋า นอนพักเอาแรง....สบายใจ
วันที่ 8 Stanvanger
ย้ายมาพักโรงแรม scandic stavanger city มีชา กาแฟ บริการฟรีตลอดเวลา เดินไปกดได้ตลอด
มื้อเย็น เราเลือกที่จะกินตลาดปลาอีกครั้ง เพราะหาร้านถูกใจไม่เจอ แต่ที่นี่ตลาดเล็ก ตอนเช้าเปิดตู้แช่ขายของ ตกเย็นเอาโต๊ะมาตั้ง ขายอาหาร เราเลือกเมนูที่เป็นหลากหลายอย่าง ทำให้ได้ชิมเกือบทุกอย่างในขนาดเล็ก
อร่อยทุกอย่าง....แล้วเราก็เดินไปขึ้นรถไฟ กลับไปออสโล
วันที่ 9
พวกเราก็ไปซื้อ Oslo pass เพราะค่าโดยสาร และค่าเข้าที่เที่ยวต่างๆที่เราจะไปทั้งหลายฟรี
1. Viking museum
2. Fram museum
3. มีงานขายของกินพอดี (ชิมฟรี อันไหนอร่อยก็ซื้อกิน จนไม่ต้องกินข้าวเที่ยง)
5. National Gallery (ห้องที่มีภาพ Scream คึกคักสุด)
6. The Royal Palace เห็นอยู่ลิบๆ
7. อาคารรัฐสภา
8. Opera House
9. กินข้าวเย็นร้านอาหารไทย Tuk tuk (รสชาติจัดจ้านดี เพราะขอพี่ๆแม่ครัวได้)
ส่วนวันแรกที่ออสโลเราไป
1. Frogner Park
2. มาเดินริมน้ำ Aker Brygge ฝั่งตรงข้าม akershus festning และมีกิจกรรมเต้นของผู้สูงวัย ใครอยากร่วมก็ได้
3. ที่ Astrup Fearnley Museum of Modern Art เดินไปจนสุดจะมีสระว่ายน้ำกลางแจ้ง บรรยากาศดี
คืนสุดท้ายพักกันที่โรงแรม Park inn by Radisson เดินประมาณ 5 นาที จากสนามบิน และมีมื้อเช้าเปิด ตี 5 มั้งถ้าจำไม่ผิด
ขากลับแวะเปลี่ยนเครื่องที่ โคเปนเฮเก้น 5 ชม. ไม่พลาดที่จะซื้อเลโก้ สนามบินที่นี่คึกคักกว่าที่ออสโล มาก
*ทริปนี้ถ่ายรูปมาถึงเสื้อผ้าจะตัวเดิม แต่ซักทุกวันแล้วตากบนรถนะ**
ทริปนี้ขอขอบคุณเทวดา ฟ้าฝน ที่เป็นใจ เจอฝนเพียง 1 วัน และให้พวกเราเดินทางปลอดภัย