Donald Trump เก็บภาษีหนักขนาดนี้คนในสหรัฐจะไม่เดือดร้อนเองหรือครับ ผมเข้าใจว่าเค้าต้องการให้ธุรกิจที่เป็นของสหรัฐกลับไปลงทุนในประเทศมากขึ้น เพื่อสหรัฐเองจะได้เก็บภาษีได้มากขึ้นประเทศก็พัฒนาได้ดีขึ้น แต่โรงงานไม่ได้ย้ายกันง่ายๆแบบ 1 เดือนสร้างเสร็จพร้อมใช้ อีกอย่างสินค้าหลายอย่างก็ไปผลิตที่จีนมาตั้งนานแล้วด้วย หรือว่ามีปัจจัยอื่นๆที่ทำให้สหรัฐต้องเพิ่มกำแพงภาษีกับจีนให้สูงขึ้นและค่อนข้างเร็วด้วยครับ สุดท้ายบริษัทสหรัฐมีโอกาสมาตั้งในพื้นที่ EEC มั้ยครับหรือไปเวียดนามจะได้ค่าแรงถูกกว่าไทย
(Sep 22) ภาคไอทีเจ็บหนัก เหยื่อภาษี 3 แสนล้าน : ในที่สุดรัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ตัดสินใจทิ้งระเบิดรอบใหม่สุมไฟสงครามการค้ากับจีนให้ลุกโชนขึ้น มาอีกตามที่หลายฝ่ายคาดหมายเอาไว้ ด้วยการประกาศเก็บภาษี 10% กับสินค้านำเข้าจากจีนอีก 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.5 ล้านล้านบาท) เริ่มมีผลนับตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย.นี้ และจะปรับเพิ่มอัตราภาษีจาก 10% เป็น 25% ตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นไป หลังเก็บภาษีสินค้าจีน 5 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1.6 ล้านล้านบาท) ไปเมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา
ข้อมูลเอามาจาก FB: Bank of Thailand Scholarship Students รายละเอียดยาวๆขอใส่ใน spoil นะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
FB: Bank of Thailand Scholarship Students
(Sep 22) ภาคไอทีเจ็บหนัก เหยื่อภาษี 3 แสนล้าน : ในที่สุดรัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ตัดสินใจทิ้งระเบิดรอบใหม่สุมไฟสงครามการค้ากับจีนให้ลุกโชนขึ้น มาอีกตามที่หลายฝ่ายคาดหมายเอาไว้ ด้วยการประกาศเก็บภาษี 10% กับสินค้านำเข้าจากจีนอีก 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.5 ล้านล้านบาท) เริ่มมีผลนับตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย.นี้ และจะปรับเพิ่มอัตราภาษีจาก 10% เป็น 25% ตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นไป หลังเก็บภาษีสินค้าจีน 5 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1.6 ล้านล้านบาท) ไปเมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา
แน่นอนว่า การตั้งภาษีรอบใหม่เรียกปฏิกิริยาโต้กลับจากจีนในทันที โดยจีนประกาศตั้งภาษี 5-10% กับสินค้าสหรัฐ 6 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1.9 ล้านล้านบาท) เริ่มมีผลตั้งแต่ 24 ก.ย.เช่นกัน
นักวิเคราะห์จำนวนมากมองว่า ศึกภาษี 10% รอบล่าสุดนี้ยังไม่ใช่สถานการณ์เลวร้ายขั้นสุด เพราะยังพอมีความหวังเลือนรางว่า ทั้งสองฝ่ายอาจหันหน้ามาคุยกันหลังสหรัฐเสร็จสิ้นการเลือกตั้งกลางเทอมในเดือน พ.ย.นี้
อย่างไรก็ดี สำหรับ "ภาคธุรกิจเทคโนโลยีและบริษัทผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์" แล้ว พายุลูกใหญ่ ตั้งเค้าขึ้นและกำลังจะพัดเข้ามาเขย่าทั้งภาคอุตสาหกรรมในอีกไม่ช้า เนื่องจากศึกภาษีระหว่างสองชาติจะส่งผลกระทบต่อบริษัททั้งทางตรงและทางอ้อม
สำหรับผลกระทบโดยตรงนั้นคงหนีไม่พ้นเรื่องเอกชนสหรัฐจะต้องแบกรับต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นราวๆ 10% และเพิ่มเป็น 25% ในปีหน้า
แม้ว่าก่อนประกาศเก็บภาษี รัฐบาลวอชิงตันยอมหั่นสินค้ากว่า 300 รายการ ออกจากลิสต์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้ากลุ่มเทคโนโลยี เช่น สมาร์ทวอตช์ สมาร์ทโฟน และคอมพิวเตอร์ หลังเจอเสียงคัดค้านอย่างหนักจาก
บริษัทไอทีรายใหญ่อย่าง แอปเปิ้ลและเดลล์ แต่ส่วนประกอบของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายรายการยังคงอยู่ในลิสต์ภาษีรอบล่าสุด เช่น แผงวงจรไฟฟ้าและชิปคอมพิวเตอร์และแหล่งชิ้นส่วนดังกล่าวของบริษัทอเมริกันก็มาจากจีนเป็นส่วนใหญ่ เห็นได้จากตัวเลขการค้าระหว่างสหรัฐและจีนเมื่อปี 2017 ที่ผ่านมา โดยชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์เป็นสินค้าที่สหรัฐนำเข้าจากจีนมากที่สุดอยู่ที่ 1.67 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 5.4 ล้านล้านบาท) ทิ้งห่างจากสินค้านำเข้าอันดับ 2 อยู่มากคืออุปกรณ์ไฟฟ้า ที่มียอดการนำเข้าที่ 3.9 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1.2 ล้านล้านบาท) ตามข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติสหรัฐ
ถึงเอกชนอเมริกันหลายแห่งพยายามหาทางบรรเทาผลกระทบจากศึกภาษีสองชาติ โดยหอการค้าสหรัฐในจีนและในเซี่ยงไฮ้ เปิดเผยว่า 1 ใน 3 ของบริษัทอเมริกัน 430 แห่งในจีนกำลังดำเนินการย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศ ซึ่งหลายแห่งคาดว่าจะย้ายไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนแทน แต่การย้ายฐานก็ไม่ได้ดำเนินการได้โดยง่ายนัก ทั้งข้อจำกัดเรื่องการลงทุนสร้างฐานผลิตใหม่ และระยะเวลาในการดำเนินการดังกล่าว
นอกจากเรื่องต้นทุนเพิ่มขึ้นมาตรการภาษียังบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของบริษัทขนาดเล็ก เช่นกรณี เอเลอเมนต์ อเล็กทรอนิกส์ ผู้ผลิตสมาร์ททีวีรายหนึ่งในสหรัฐ เปิดเผยว่า สหรัฐยกเว้นภาษีทีวีจากจีน แต่ก็เก็บภาษีชิ้นส่วนนำเข้า เช่น บอร์ดวงจรหรือหน้าจอแอลซีดี ซึ่งจะส่งผลให้ชิ้นส่วนดังกล่าวแพงขึ้นอีก 25% ใน ปีหน้า เช่นเดียวกับ ไซเบอร์พาวเวอร์พีซี บริษัทผลิตคอมพิวเตอร์สั่งทำในลอสแองเจลิส ทื่ระบุว่า ภาษีดังกล่าวจะทำให้บริษัทไม่สามารถแข่งขันกับรายอื่นๆ ได้
สำหรับผลกระทบทางอ้อมที่น่ากลัวกว่าคือ ศึกภาษีจะสกัดความก้าวหน้าในการพัฒนาเครือข่าย 5จี ของสหรัฐ เนื่องจากภาษีสินค้าจีน 2 แสนล้านดอลลาร์ ครอบคลุมถึงอุปกรณ์เชื่อมต่อเครือข่ายต่างๆ เช่น เราเตอร์ ด้วยเช่นกัน
ขณะที่รัฐบาลทรัมป์อาจไม่หยุด ศึกภาษีไว้แค่ 2.5 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 8.1 ล้านล้านบาท) เพราะการตอบโต้ล่าสุดของจีนอาจกระตุ้นให้ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีกับจีนเพิ่มอีก 2.67 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 8.7 ล้านล้านบาท) ซึ่งหากทรัมป์ประกาศเก็บเพิ่มจริง หมายความว่าสินค้า ทุกอย่างที่สหรัฐนำเข้าจากจีนจะเข้าข่ายโดนเก็บภาษี เมื่อดูจากยอดการนำเข้าสินค้าจีนของสหรัฐทั้งหมดเมื่อปี 2017 ที่ 5.06 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 16 ล้านล้านบาท)
สถานการณ์ดังกล่าวจึงนับเป็นการบั่นทอนการเดินเครื่อง 5จี ของสหรัฐอย่างแท้จริง ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีความพร้อมและยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร โดยก่อนหน้านี้ฟอร์บส์เปิดเผยว่า ความพร้อมด้าน 5จี ของสหรัฐอยู่อันดับ 3 ของโลก ตามหลังจีนและเกาหลีใต้
ฟอร์บส์ระบุว่า สาเหตุที่เตะถ่วงสหรัฐในการพัฒนา 5จี นั้น มาจากระเบียบข้อบังคับที่แตกต่างกันของหลายรัฐ ส่งผลให้ยากต่อการหาข้อสรุปเรื่องค่าใช้จ่ายและการวางโครงข่าย ทั่วประเทศ
ทั้งนี้ 5จี คือ ปัจจัยสำคัญเสริมแกร่งความสามารถด้านการแข่งขันของธุรกิจ และต่อยอดสู่การพัฒนาต่างๆ ในด้านเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีบริการสุขภาพ สมาร์ทซิตี้ อินเทอร์เน็ตออฟธิงส์ (IOT)
สำหรับสหรัฐนั้น ฟอร์บส์รายงานว่า 5จี จะช่วยเพิ่มมูลค่าจีดีพีสหรัฐได้ถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ และสร้างงานใหม่กว่า 3 ล้านอัตรา โดยในปัจจุบันนั้น ธุรกิจเครือข่ายไร้สายช่วยสร้างงานกว่า 4.7 ล้านอัตราทั่วสหรัฐ และเพิ่มมูลค่าจีดีพี 4.75 แสนล้านดอลลาร์
นอกจากสกัดการเดินเครื่อง 5จี แล้ว หากสหรัฐเปิดศึกภาษีเต็มรูปแบบ กลุ่มธุรกิจคลาวด์ คอมพิวติ้ง จะติดร่างแหเจอผลกระทบไม่น้อยเช่นกัน เนื่องจากต้นทุนอุปกรณ์เชื่อมต่อสำหรับเซิร์ฟเวอร์จะสูงขึ้น ส่งผลให้ค่าบริการคลาวด์จะปรับขึ้นตามไปด้วย ซึ่งอาจเปิดช่องให้ธุรกิจคลาวด์ต่างชาติเข้ามาแข่งขันชิงส่วนแบ่งตลาดจากบริษัทอเมริกันมากยิ่งขึ้น
การระเบิดศึกภาษีระหว่างสหรัฐและจีนจึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของ ลางร้ายสำหรับภาคเทคโนโลยีสหรัฐ ซึ่งไม่เพียงก่อผลกระทบทางตรงต่อธุรกิจเท่านั้น แต่ยังจะฉุดความสามารถในการแข่งขัน และเสี่ยง เตะถ่วงการพัฒนาเทคโนโลยีสำคัญๆ เพื่อรักษาความแข็งแกร่งของสหรัฐในอนาคต
โดย นรินรัตน์ พรหมพิทักษ์
Source: Posttoday
ภาคไอทีเจ็บหนัก เหยื่อภาษี 3 แสนล้าน
(Sep 22) ภาคไอทีเจ็บหนัก เหยื่อภาษี 3 แสนล้าน : ในที่สุดรัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ตัดสินใจทิ้งระเบิดรอบใหม่สุมไฟสงครามการค้ากับจีนให้ลุกโชนขึ้น มาอีกตามที่หลายฝ่ายคาดหมายเอาไว้ ด้วยการประกาศเก็บภาษี 10% กับสินค้านำเข้าจากจีนอีก 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.5 ล้านล้านบาท) เริ่มมีผลนับตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย.นี้ และจะปรับเพิ่มอัตราภาษีจาก 10% เป็น 25% ตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นไป หลังเก็บภาษีสินค้าจีน 5 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1.6 ล้านล้านบาท) ไปเมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา
ข้อมูลเอามาจาก FB: Bank of Thailand Scholarship Students รายละเอียดยาวๆขอใส่ใน spoil นะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้