JJNY : 5in1 ปีนี้เสียหายแสนล้าน/บก.ลายจุดอึ้งสุเทพ/งัดข้อศธจ./พม.โยนตอบ/สั่ง57จว.

กระทู้คำถาม
ปีนี้เสียหายนับแสนล้าน!! เปิดเวทีชำแหละ 'อีโคโนมิค คอรัปชั่น'
http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/813408

"สังศิต" ชำแหละ 14 งานวิจัยทุจริต ประเมินขั้นต่ำปีนี้ เสียหาย 100,000 ล้านบาท แพร่กระจายเป็นเอสเอ็มอี ระบุอีโคโนมิคคอรัปชั่น-บูโรเครติคคอรัปชั่นระบาดหนัก อำนาจรัฐเข้มแข็งยิ่งโกงหนัก

โรงแรมเบสท์เวสเทิร์น พลัส แวนดา แกรนด์. -18 ก.ย.61 สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) จัดงานสัมมนาวิชาการนำเสนอ 14 ผลงานวิชาการด้านการศึกษารูปแบบการทุจริต ประจำปี 2561

นายกิตติ ลิ้มชัยกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท) กล่าวว่า ป.ป.ท.ก่อตั้งมานาน 10 ปี จนถึงปัจจุบันพบสถิติเรื่องร้องเรียนมากกว่า 30,000 เรื่อง ประเภทคดีส่วนใหญ่เป็นการกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งมีพฤติการณ์หรือรูปแบบการทุจริตที่หลากหลายตามภารกิจงานของแต่ละองค์กร บางคดีมีการกระทำความผิดเกิดขึ้นซ้ำหลายครั้ง บางคดีเกิดขึ้นครั้งเดียวแต่ส่งผลกระทบรุนแรงมีมูลค่าความเสียหายสูง โดยตัวแปรและปัจจัยสำคัญคือ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ

พ.ต.ท.วันนพ สมจินตนากุล รองเลขาธิการคณะกรรมการป.ป.ท.กล่าวว่า ในแต่ละปีป.ป.ท.ได้รับเรื่องร้องเรียนจำนวนมาก ดังนั้นในปีนี้จึงให้แต่ะลำนักงานเขตพื้นที่นำปัญหาและรูปแบบการทุจริตที่เกิดขึ้นแต่ละพื้นที่มาจัดเป็นหมวดหมู่เพื่อให้สะดวกต่อการศึกษา ตรวจสอบ การสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ โดยการจัดรูปแบบ 14 กรณีศึกษาคดีการทุจริตเพี่อนำไปวิเคราะห์แผนประทุษกรรม พฤติกรรมการทุจริต สาเหตุและผลกระทบที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นจะนำผลการศึกษาดังกล่าวไปต่อยอดเพื่อหาแนวทางป้องกัน และปิดจุดอ่อน รวมทั้งจัดทำเป็นคู่มือการสืบสวนสวอบสวนแต่หาหลักฐานในโครงการทุจริตต่างๆต่อไป

นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาผลการศึกษารูปแบบการทุจริต กล่าวว่า ผลการศึกษารูปแบบการทุจริตประจำปีงบประมาณ 2561 จำนวน 14 เรื่องของเจ้าหน้าที่ป.ป.ท.ในฐานะฝ่ายปฎิบัติงานงานในแต่ละเขตพื้นที่พบว่า มีการทุจริตคอรัปชั่นในรูปแบบที่แตกต่างกัน ทั้งคดีการจดทะเบียนสมรสอำพรางของชาวต่างชาติและชาวไทย การทุจริตเงินออมผู้สูงอายุ การยักยอกทรัพย์ของเจ้าหน้าที่รัฐวิสาหกิจ การทุจริตเพิ่มชื่อบุคคลในทะเบียนบ้าน และยังพบประเด็นใหม่ล่าสุด คือ รูปแบบการทุจริต กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ซึ่งน่าสนใจ เนื่องจากอยู่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้และไม่มีใครกล้าเข้าไปตรวจสอบ เพราะเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงหลายหน่วยงานฉวยโอกาสใช้สถานการณ์รุนแรงในพื้นที่แสวงหาผลประโยชน์มาเป็นของตนเอง ขณะที่การใช้กฎหมายพิเศษในพื้นที่ได้เอื้อต่อการทุจริตรูปแบบพิเศษ ทำให้ไม่มีการตรวจสอบ

นายสังศิต กล่าวอีกว่า รูปแบบการทุจริตได้แพร่กระจายในหลายระดับทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แต่ทางธนาคารโลกได้แบ่งระดับการทุจริตเป็น 2 ขนาดคือ ทุจริตในโครงการขนาดใหญ่และขนาดเล็ก แต่ตนเห็นว่าไทยมีการทุจริตทั้งในโครงการขนาดเล็กและกลาง โดยมีแนวโน้มการทุจริตในขนาดเล็กมากกว่า ซึ่งแม้จะเป็นโครงการขนาดเล็ก แต่ก็มูลค่าความเสียหายมหาศาล จากการศึกษาปัญหาการทุจริตให้สินบนนำจับในรอบ 1 ปีของตนเองในหน่วยงานรัฐหน่วยงานเดียวด้านยาเสพติดพบว่า มีมูลค่าประมาณ 2,000-10,000 ล้านบาท/ปี หากรวมผลการศึกษารูปแบบการอีก 13 กรณีของป.ป.ท.ประเมินอย่างต่ำพบว่าในปี 2561 มูลค่าความเสียหายจากปัญหาการทุจริตอยู่ที่ 50,000-100,000 ล้านบาท/ปี มูลค่าความเสียหายนี้เรียกว่า Economic Corruption นอกจากนี้ยังมีการทุจริตที่เกิดจากการบริหารราชการแผ่นดิน การซื้อขายตำแหน่ง หรือเรียกว่า”Bureaucratic Corruption ซึ่งแพร่ระบาดมากในสังคมไทย นอกจากนี้ยังมีรูปการคอรัปชั่นทางการเมือง หรือ Politic Corruption โดยปี 2562 จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นจึงขอให้ประเมินดูว่า การทุจริตทางการเมืองจะมีมูลค่าความเสียหายเท่าไร

“สาเหตุที่ทำให้ปัญหาคอรัปชั่นเพิ่มอย่างรวดเร็วเพราะไทยมีระบบการเมืองแบบปิด มีจุดอ่อนคือไม่มีหน่วยงานใดตรวจสอบการทำงานได้อย่างแท้จริง แม้จะมีรัฐสภาหรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญก็ไม่สามารถตรวจสอบการทำหน้าที่ของนักการเมืองได้ ขณะที่ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเอื้อต่อระบบอุปถัมป์มีการใช้เส้นสายมากกว่าระบบการเมืองแบบเลือกตั้ง ที่มีระบบรัฐสภาทำหน้าที่ในการตรวจสอบ อีกทั้งการบังคับใช้กฎหมายในระบบปิดก็ไม่มีประสิทธิภาพพอ ทั้งๆที่รัฐบาลชุดนี้ได้ออกกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันปัญหาการทุจริตดีๆหลายฉบับ”นายสังศิต กล่าว

นายสังศิต กล่าวอีกว่า การคอรัปชั่นมีโอกาสขยายตัวสูงเนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจบิดเบือนในการตัดสินใจแสวงหาผลประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้อง ซึ่งผลจากการคอรัปชั่นในระดับจุลภาคทำให้การแข่งขันทางธุรกิจไม่เป็นธรรมและทำลายระบบเศรษฐกิจของไทยโดยตรงและยังส่งผลกระทบต่อนานาชาติ หากต้องการทราบว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหรือรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งใครคอรัปชั่นมากกว่ากัน ก็ต้องทำวิจัย แต่จากที่ตนเคยทำวิจัยพบว่ารัฐบาลใดก็ตามที่มาอำนาจรัฐเข้มแข็งไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้งหรือไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ก็สามารถทุจริตคอรัปชั่นได้มากกว่าและกว้างขวางกว่า




บก.ลายจุด อึ้ง สุเทพทำกิจกรรมการเมืองที่พิษณุโลก ถึงกับมีรถแห่!!
https://www.matichon.co.th/politics/news_1136486

นายสมบัติ บุญงามอนงค์ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง แกนนำกลุ่มจัดตั้งพรรคเกรียน ทวีตรูปภาพพร้อมข้อความ เป็นรูปการทำกิจกรรมการเมืองของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในการลงพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก พร้อมกับมีรถแห่เชิญชวนประชาชนไปร่วมแสดงความคิดเห็นในการจัดทำนโยบายพรรครวมพลังประชาชาติไทย โดยระบุว่า “สุเทพทำกิจกรรมทางการเมืองที่พิษณุโลกถึงกับมีรถแห่กันเลยทีเดียว”

ทั้งนี้ ในภาพรถแห่จะเป็นกิจกรรมที่จัดโดยกลุ่มประชาภิวัฒน์และชาวพิษณุโลก ในวันที่ 20 กันยายนนี้ ที่โรงแรมเทพนคร

https://twitter.com/nuling/status/1041958461594988544




ผอ.สพท.ทั่วปท.งัดข้อศธจ. ไม่เซ็นหนังสือเลื่อนเงินเดือนครู
https://www.matichon.co.th/education/news_1135903

เมื่อวันที่ 18 กันยายน นายธนชน มุทาพร ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) ชัยภูมิ เขต 1 และประธานชมรมผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแห่งประเทศไทย (ชร.ผอ.สพท.) เปิดเผยว่า ตามที่แกนนำผอ.สพท.ทั่วประเทศเมื่อเร็วๆ นี้ มีมติให้สนับสนุนแก้ไขพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยคืนอำนาจการบรรจุแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตามมาตรา 53 จากศึกษาธิการจังหวัด(ศธจ.) คืนแก่ผอ.โรงเรียนและผอ.สพท. ตามเดิม โดยตราบใดยังไม่คืนอำนาจ ผอ.สพท.ทั่วประเทศจะเคลื่อนไหวต่อต้านศธจ.เชิงสัญลักษณ์ด้วยการไม่ลงนามในหนังสือต้นเรื่องที่ต้องส่งให้ศธจ.ลงนามทั้งเรื่องเลื่อนเงินเดือน เลื่อนวิทยฐานะและแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการครู

นายธนชน กล่าวต่อว่า ล่าสุดผอ.สพท.ทั่วประเทศเริ่มมาตรการนี้แล้ว อย่างกรณีให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับเงินเดือนสูงกว่าหรือต่ำกว่าหรือสูงกว่าขั้นสูงของอันดับ ซึ่งในส่วนของสพป.ชัยภูมิ เขต 1 มีข้าราชการครูและบุคลกรทางการศึกษามีคุณสมบัติตามกฎก.ค.ศ.ในการปรับอัตราเงินเดือนดังกล่าว จำนวน 57 ราย แยกเป็นเต็มขั้น อันดับ คศ.2 จำนวน 1 ราย อันดับ คศ.3 จำนวน 46 ราย และอันดับ คศ.3 (เกษียณอายุราชการ) จำนวน 10 ราย โดยต้องเสนอร่างคำสั่งให้ครูและบุคลากรทั้ง 47 รายให้ได้รับเงินเดือนสูงกว่าหรือต่ำกว่าขั้นต่ำหรือสูงกว่าขั้นสูงของอันดับ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 ก่อนการเลื่อนขั้นเงินเดือน ครั้งที่ 2 (1 ตุลาคม 2561) ให้ศธจ.ชัยภูมิ ลงนาม, ต้องเสนอร่างคำสั่งให้ครูและบุคลากรทั้ง 10 ราย (เกษียณอายุราชการ) ให้ได้รับเงินเดือนสูงกว่าหรือต่ำกว่าหรือสูงกว่าขั้นสูงของอันดับ ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2561 ก่อนการเลื่อนขั้นเงินเดือนครั้งที่ 2 (1 ตุลาคม 2561) ให้ศธจ.ชัยภูมิ ลงนาม และแจ้งโรงเรียนในสังกัดทราบ เรื่องนี้ตนไม่ลงนาม แต่ส่งให้รองผอ.สพท.ลงนามแทน เป็นต้น ทั้งนี้แม้การต่อต้านศธจ. จะไม่มีผลในทางปฏิบัติ แต่เป็นการแสดงออกเชิงจิตวิทยาว่าผอ.สพท.ไม่ยอมรับอำนาจของศธจ.




'พม.' โบ้ย ก.แรงงานตอบปมโวยละเมิดสิทธิคนพิการ ฮั้วจัดอบรม-จ้างงานไม่โปร่งใส
https://www.matichon.co.th/politics/news_1135946

“รมว.พม.” โบ้ย ก.แรงงาน ตอบปมละเมิดสิทธิคนพิการ เหตุมีฮั้วจัดอบรม-จ้างงานไม่โปร่งใส ยันไม่ใช่ทุจริตทั้งขบวนการ

เมื่อเวลา 13.15 น. วันที่ 18 กันยายน ที่ มรภ.เพชรบูรณ์ พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุม กรณีที่เครือข่ายพิทักษ์สิทธิคนพิการให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิและปฎิบัติอย่างไม่เป็นธรรมกับคนพิการ ตามมาตรา 33 ที่กำหนดให้ต้องมีการจ้างงานคนพิการ แต่ปรากฏว่าตัวเลขการจ้างงานไม่ตรงกับสิทธิของผู้พิการจริง และมาตรา 35 ที่ต้องให้สถานประกอบการจ่ายเงินสบทบเข้ากองทุนในกรณีที่ไม่จ้างงาน แต่มีจัดโครงการจัดฝึกอบรมผู้พิการและเรียกรับหัวคิวเพื่อแลกเปลี่ยนกับการผ่านการฝึกอบรม ว่าไม่ใช่เรื่องการทุจริตและเป็นเรื่องที่ภาคเอกชนไปอบรมกันเอง โดยกระทรวงแรงงานเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนเรื่องการจ้างงานมีคณะอนุกรรมการของกระทรวงแรงงานเป็นผู้รับผิดชอบอยู่แล้ว ส่วนกรณีที่เกิดขึ้นไม่เรียกว่าทุจริต เพราะเป็นเรื่องของเอกชนและสมาคมที่จัดอบรมกันเอง ขณะนี้กำลังพิจารณาและได้เสนอให้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้รับทราบแล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า กระทรวงแรงงานเป็นผู้ดำเนินการลงโทษในกรณีดังกล่าวหรือไม่ พล.อ.อนันตพรกล่าวว่า กฎหมายเป็นคนลงโทษ เพราะหากกระทำผิดตามมาตรา 35 ก็ถือว่ามีความผิด แต่ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน เพราะมีการร้องเรียนว่าเอกชนต้องจ้างงานผู้พิการ 1 คน ในอัตราจ้างคนทั่วไป 100 คน ซึ่งมีช่องว่างทั้งผู้ประกอบการ สมาคม และผู้พิการที่ไปฮั้วกันเองในการจัดอบรมและออกมายอมรับว่าไม่ได้เข้าอบรม จึงต้องดูเป็นรายกรณีไปเพราะไม่ใช่เป็นขบวนการ ทั้งนี้จะต้องทำเรื่องไปที่กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ให้ชี้แจง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่