ขอเกริ่นก่อน กระทู้นี้ค่อนข้างยาว เราอยากเล่าประสบการณ์ที่เจอมา และมีสิ่งที่อยากจะฝากให้นักธุรกิจ amway ในมุมมองของคนทั่วไป ก่อนอื่นเราขอบอกก่อนว่าเราไม่ได้จะมาให้ร้ายคนที่ทำ amway หรือต้องการดิสเครดิตอะไรเลย เราแค่อึดอัดและอยากมาแชร์ประสบการณ์ให้ฟัง เผื่อคนที่ทำ amway อยู่จะเข้าใจและมองเห็นมุมมองของคนอื่นมากขึ้น
ขอเริ่มเลยแล้วกัน เมื่อช่วงปลายปีที่แล้วเราโดนหัวหน้าชวนไปทำ amway มีวันหนึ่งเค้านัดเราไปหาตอนเช้าวันเสาร์ที่ตึกแห่งหนึ่งย่านราชเทวีโดยไม่ได้บอกเราว่าให้ไปหาทำไม เราก็ซื่อเห็นเค้าเป็นหัวหน้าก็ไม่คิดว่าเค้าจะพาไปฟัง amway เค้านัดเรา 9 โมงเช้า เราไปถึงเค้าก็พาไปนั่งเก้าอี้ในห้องบรรยายเล็กๆ หนึ่งที่มีโปรเจคเตอร์ฉายหัวข้อ Your dream อยู่ เราก็เริ่มเอะใจนิดๆ แต่ตอนนั้นมันก็ไหวตัวไม่ทันแล้ว ไม่นานก็มีเสียงดนตรีดังขึ้น เป็นเพลงฮิตติด billboard มีจังหวะเร้าใจ แล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่งอายุราวๆ 25 ปี ขึ้นมาพูดเรื่องความฝัน เค้าก็พูดว่าฝันของเค้าคือมีรถหรู บ้านหลังใหญ่ ไปเที่ยวรอบโลก ไอโฟน macbook และอีกมากมาย แล้วเค้าก็พูดเกี่ยวกับรายได้ที่จะำให้ฝันนั้นเป็นจริง เค้าจะจ้งมีรายดายเดืนละเท่าไรบ้าง แล้วเค้าก็ปิดท้ายด้วยการถรามกลับมาว่าฝันของคุณคือออะไร ตอนนั้นเราก็เริ่มคิดแล้วว่าหรือว่าจะเป็น amway ว้ะ แล้วไม่นานหัวหน้าเราก็มาเฉลย เค้าก็มาเล่าเรื่องรูปแบบธุรกิจให้ฟัง ตอนแรกเลยเค้าก็ไม่ยอมจะพูดออกมาว่า amway หรอก แต่ว่าเค้าเปิดสไลด์พรีเซนต์ให้เราดูแล้วดันพลาดมีโลโก้ amway ขึ้นมา เค้าเลยต้องเฉลยว่าเป็น amway
** เรื่องแรกที่จะฝากถึงนักธุรกิจ amway
ถ้าคุณจะขาย amway คุณก็บอกเรามาเถอะ โอเคเราเข้าใจ amway มันมีชื่อเสียงทางลบและมุมมองที่ไม่ดีติดตา ทำให้คนอาจจะต่อว่าหรือปฏิเสธตั้งแต่แรก แต่ว่าที่คุณหลอกเราไปฟังอย่านี้มันก็ไม่ได้ช่วยให้มุมมองเราดีขึ้นนะ มันกลับแย่ลง เพราะว่าคุณยังไม่กล้าที่จะพูดถึงสิ่งที่คุณทำอยู่เลย แล้วคุณจะมาชวนเราไปทำด้วยเนี่ยนะ แล้วยิ่งเป็นคนที่เราไว้ใจเรายิ่งรู้สึกแย่ เหมือนคุณหลอกเราและทำให้เราต้องเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากใจ **
จากนั้นหัวหน้าเราก็ได้โอกาสชวนเราทำ amway ตอน
แรกเราก็คิดที่จะปฏิเสธนะ แต่ด้วยความที่เค้าเป็นหัวหน้าเราแล้วเราก็คิดว่าผลิตภัณฑ์ของ amway เค้าก็คุณภาพดี ลองใช้ดูก็ไม่เสียหาย หัวหน้าเค้าก็บอกให้เราลองซื้ออาหารเสริมของ amway มากิน เค้า เค้าก็แนะนำโปรตีนเสริมกับ bodykey ไอตัว bodykey มันเหมือนเป็นเครื่องดื่มชงกินทดแทนมื้ออาหาร เอามากินช่วงไดเอ็ท บ่ายวันนั้นเค้าก็ให้เราเข้าฟัง present product ตัว bodykey ของแอมเวย์ เราก็ฟังแล้วก็โอเคลองซื้อตัวนี้กินก็ได้เพราะเราจะอยากจะหาอะไรกินช่วยตอนช่วงลดหุ่นอยู่พอดี เราก็ตกลงว่าจะลองกิน เค้าก็บอกดราว่าโอเคอย่างนั้นวันเสาร์หน้าให้มาหาเค้าอีกครั้งหนึ่ง เค้าจะพาไปดูสำนักงานใหญ่ amway พาไปซื้อของ แล้วก็วันนั้นจะมีจัดบรรยายใหญ่เปิดตัวอาหารเสริมตัวใหม่ด้วย มีหมอคนหนึ่งมาพูดเกี่ยงกับอาหารเสริมตัวนี้ เราโอเคเห็นมีหมอมาพูดเราก็ไปก็ได้ ไหนๆ ก็ถลำตัวมาขนาดนี้แล้วก็ลองไปฟังดู เสาร์ถัดมาเค้าก็นัดเราไปแต่เช้าไปนั่งฟังเรื่อง your dream ช่วงเช้า และ product amway ช่วงบ่าย ในวันนั้นเค้าก็เอาบัตรสมาชิกมาให้เราเสียเงินค่าสมัคร 900 บาท จากนั้นตอนเย็นเค้าก็พาเราไปที่ amway สำนักงานใหญ่ย่านรามคำแหง เราก็ไปซื้ออาหารเสริมตามที่เค้าแนะนำ แล้วก็ซื้อครีมของ
มาใช้อีกตัวนึง ตอนนั้นเราก็หมดเงินไป 7,000 กว่าบาท แต่ด้วยความที่เป็นคนพยายามมองโลกให้เป็นทุ่งลาเวนเดอร์ ก็คิดว่าโอเคถ้าซื้อมาใช้แล้วสุขภาพดีขึ้น ผิวพรรณ ผิวหน้าดีขึ้น ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร ตอนแรกเค้าก็เชียร์ให้เราซื้อพวกน้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก หรืออย่างอื่นด้วย แต่เราปฏิเสธไป เค้าก็แอบบ่นนิด ๆ ว่าทำไมไซื้ออันนี้คุ้มดีมากเอามาเจือขางใช้ได้เป็นปี อยากให้เราซื้อของ amway ไปใช้ให้ครบทุกอย่างเพราะถ้าเราจะขายได้ก็ต้องลองใช้ก่อน เงินเอาไปใช้จ่ายอย่างอื่นยังได้เลยนู่นนี่ เค้าก็ตื้อสักพัก แต่เราก็ไม่ซื้ออยู่ดีเพราะแค่ 7,000 กว่าบาทนั่นก็แพงมากแล้วสำหรับเรา เพราะเราเองก็เป็นแค่มนุษเงินเดือนทั่วไปการต้องซื้อของด้วยเงินจำนวนมากขนาดนี้ก็รู้สึกมือสั่นหน้าสั่นเหมือนกัน
**ฝากถึงนักธุรกิจ amway เรื่องที่ 2
คนแต่ละคนไม่ได้มีเงินพอใช้จ่ายที่เท่ากัน สินค้า amway ค่อนข้างมีราคาสูง คนที่มีรายได้ไม่มาก ต้องจำกัดเงินที่ใช้นั้นการจะตัดสินใจซื้อของที่รวมราคาแล้วเป็นหมื่นบาทต้องใช้เวลาและการตึกตรอง และมองถึงความเหมาะสม ความจำเป็น และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในเดือนนั้นด้วย**
แล้วก็เข้าไปฟังบรรยาย product ตัวใหม่ เสียค่าเข้างาน 200 งานเริ่ม 6 โมงเย็นยาวไปจนถึงมืด ก็มีหมอมาพูดจริงๆ เป็นหมอที่มีชื่อเสียงด้วย เค้าก็พูดดีนะ พูดเกี่ยวกับประโยชน์ของอาหารเสริมตัวนี้ แต่บรรยายเชิงใฟ้ความรู้ไม่ได้ขายของ ต่อมาก็เป็นคนของ amway มาพูดขายของ product ตัวนี้ต่อ และคนสุดท้าเป็นนักธุรกิจ amway ระดับเพชรคู่ที่ขึ้นมาแชร์ประสบการณ์การทำ amway บอกเคล็ดลับ เรื่องความอดทน ความตั้งใจต่าง ๆ นา ๆ และจบก้วยความฝันและดูไบ สรุปวันนั่นงานเลิก 4 ทุ่ม เราว่าก็ดึกนะสำหรับเรา เพราะกว่าจะกลับถึงบ้านอีกก็ใช้เวลา โชคดีที่หัวหน้าเราขับรถมาส่ง ระหว่างทางเค้าก็คุยกัยเราเรื่องว่าเรามีความฝันอะไร เราก็บอกเค้าไปว่าตอนนี้เราก็ยังไม่ได้ตั้งเป้าขนาดนั้นว่าจะให้ตัวเองไปอยู่ตรงจุดไหนที่บ้านปลาย ก็ทำงานเก็บเงิน อาจจะทำงานเสริมด้วยก็เพื่อให้มีรายได้หลายทาง เค้าก็บอกว่าอืมเรายังเด็กนี่เนอะก็อาจจะยังมองไม่เห็นความสำคัญ แต่ถ้าเราโตขึ้นอีกนิดเราก็จะอยากได้ความมั่นคงในชีวิต อยากจะมีเงินไปเที่ยว ไปพักผ่อน และหยุดทำงานได้โดยที่ยังมีรายได้เข้ามาทุกวัน เราก็เออออตามเค้าไป จากนั้นเค้าก็บอกว่าพรุ่งนี้มีบรรยายเรื่องแผนธุรกิจ amway เค้าอยากให้เราลองไปฟังดูสักครั้งนึง เพื่อให้เราตัดสินใจได้ว่าอยากทำมั้ย เราก็โอเคไปฟังดูก็ได้ เผื่อเราไม่ชอบก็เป็นทางให้เราปฏิเสธได้ว่าเราฟังปล้วไม่ใช่ทาง ไม่อยากทำ วันอาทิตย์เราก็ไปฟังบรรยายที่หอประชุมแห้งหนึ่ง วันนั้นก็มีพูดเรื่องการทำธุรกิจขายตรงดีอย่างไร พูดถึงตลาดและมุมมองของธุรกิจขายตรง เคล็ดลับในการทำธุรกิจ และมีการประกาศรายชื่อผู้ที่ทำธุรกิจถึงเป้า 9% และ 21% แล้วก็มีนักธุรกิจระดับเพชรขึ้นมาแชร์ประสบการณ์การท่องเที่ยว การทำงาน รายได้ และดูไบ จากนั้นก็มีการประกาศว่าในเดือนหน้าจะมีงานสัมนาใหญ่ มีการเชิญนักธุรกิจระดับมงกุฎฑูตมาพูดในงาน นักธุรกิจคนนี้รายได้ต่อเดือนเป็นร้อยล้าน เชิญตัวยากมาก เป็นโอกาศดีที่จะได้เข้าฟัง งานมี 2 วัน 1 คืน บัตรราคา 2,000 บาท สามารถซื้อได้ในวันนี้เลย รีบซื้อก่อนที่บัตรจะหมด ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่ได้สนใจและคิดว่าหัวหน้าเราก็คงจะไม่อะไรกับเราเพราะเราพึ่งเคยมาฟัง amway แค่ 2-3 ครั้ง แต่ผิดคาดพอเดินออกจากห้องประชุมเค้าก็พุ่งไปจุดซื้อบัตรและบอกพนักงานว่าของเราด้วย 1 ใบ เราก็บอกว่า เฮ้ย...ไม่เอา เรายังไม่พร้อมไป เค้าก็บอกว่าซื้อกันสิทธิไว้ก่อน เราบอกว่าอย่าเลย บัตรราคามันก็แพงอยู่ เค้าก็ไม่ยอมโดยให้เหตผลไปฟังมงกุฎฑูตมันได้ประโยชน์มาก ๆ เลยรู้มั้ย เราจะได้เรียนรู้ในการทำธุรกิจมากมายยย มันยิ่งกว่าคำว่าคุ้มค่า เนอะ...ว่ามั้ย และยังบอกอีกว่าเค้ามีคนในสังกัดที่อยากไปอยู่แล้ว ใบนี้เค้าซื้อไว้สำรองให้เราถ้าเราตัดสินใจจะไปก็บอกเค้า ตอนนั้นเราก็ห้ามเค้าไม่อยู่ก็ได้แต่ปล่อยให้ซื้อบัตรไป ตอนนั้นเราก็เครียดพอสมควรเลยนะเพราะบัตรราคาแพงอยู่เหมือนกัน และ 90% เราคงไม่ไปงานนี้แน่นอน เราก็เลยลองพยายามคุยกับเค้าบนรถ เค้าก็บอกว่าเราอย่างพึ่งรีบตัดสินใจตอนนี้ เรายังไม่เคยฟังแผนการทำงานของ amway อย่างจริงจังเลย แผนพวกนี้อยากให้เราเข้าไปฟังสัก 2 ครั้งช่วงเย็นวันพุธ แล้วพอเราเข้าใจแผนแล้วก็ค่อยตัดสินใจ เราก็อะโอเค ไปฟัง 2 ครั้ง แล้วตัดสินใจได้ใช่มั้ย เราก็ไปฟังแผนการทำงานช่วงเย็นวันพุธ เค้าก็จะพูดถึงข้อดีของการทำธุรกิจขายตรง มุมมอง ทำอย่างไรให้สำเร็จ เค้าจะมีแผนการทำงานที่เรียกว่า core 9 อยู่ ซึ่งจะมีวิธีการทำงาน list ให้เป็นข้อๆ แล้วเราจะต้องพยายามทำให้ครบ 9 ข้อนั้น เช่น 1.)ต้อง list รายชื่อ, 2)ต้องโทรไปนัดคุย, 3)ควรต้องเข้าไปคุยประมาณ 10 คนต่อวัน อะไรอย่างนี้ แล้วก็มีแนะนำสินค้าบ้าง มีการแชร์ประสบการณ์และข้อคิดแบบ positive thinking รายได้ และดูไบ ซึ่งหลังจากที่เราไปฟังตาที่หัวหน้าบอกเค้าก็มาถามเราว่า เป็นยังไงบ้าง ฟังแล้วได้ประโยชน์ดีใช่มั้ย ถ้าเรา อย่าลืมจัดวันไปงานสัมด้วยนะ เราก็บอกเค้าไปว่าเราอะชอบสินค้านะเราใช้แล้วสินค้าใช้ดีจริง ๆ แต่ว่าเรื่องให้เราไปทำงานตามรูปแบบนั้นเราอาจจะไม่ถนัด เค้าก็บอกว่าอยากให้เราลองเปิดใจ amway ทำแล้วรายได้เป็น passive income พี่รู้ว่าเรามีความฝัน ทำอะไรให้คิดถึงความฝัน ถึงเป้าหมายของเราเอาไว้ เค้ามาเปิดโอกาสทางธุรกิจให้ มีอะไรบอกได้ไม่ต้องเกรงใจ เราก็งงว่าเราบอกไปแล้วว่าเราไม่อยากทำแต่เหมือนเค้าจะพยายามโน้มน้าวเราอยู่ เราเลยบอกไปอีกครั้งว่าเราไม่ชอบทางนี้จริง ๆ เราเข้าใจว่าคนที่ทำธุรกิจนี้แล้วประสบความเร็จเค้ามีจริงๆ และรายได้ดีด้วย แต่สำหรับตอนนี้เรายังไม่พร้อม อยากโฟกัสในงานที่ทำอยู่และอย่างอื่นมากกว่า สุดท้ายเราก็ไม่ได้ไปงานสัมนานั้น และเราคิดว่ามันจบด้วยความไม่เข้าใจของหัวหน้าเรา เพราะช่วงแรก ๆ เค้าก็ตึงไปเลย แต่พักหลังก็เบาลงมาหน่อยแต่ก็มีพูดจาเหน็บแนมในระหว่างการทำงานอยู่บ่อย ๆ (งานปกติที่บริษัท) เช่น ถ้าเราไปทำผมทำเล็บมาก็เหน็บว่าแหม...ช่วงนี้สวยจังมีตังไปทำผมทำเล็บมาใหม่ ตอนนั้นไม่ยอมไปงานสัมนากับพี่เพราะเก็บตังเอาตังไปใช้หมดแล้วปะเนี่ย อะไรอย่างนี้ เราเบื่อมากไม่รู้จะทำยังไงดี บรรยากาศการทำงานแย่สุด ๆ น่าอึดอัดสุด ๆ เหมือนถ้าเราทำอะไรพลาดนิดหน่อยเค้าก็จะสามรถต่อว่าและเหน็บแนมได้อยู่ตลอด พอเป็นอย่างนี้เราก็เลยยิ่งไม่อยากใช้ของ amway เพราะเราเยอากตัดขาดจากมัน ตัดขาดจากวงจร ถึงแม้ผลิตภัณฑ์ของ amway จะดีแค่ไหน แต่ถ้าต้องเจอเหตการณ์แบบนี้เราก็เลือกที่จะไม่ใช้อยู่ดี เพราะเราคิดว่ามันก็คงต้องมีผลิตภัณฑ์อื่นที่เราใช้แล้วถูกใจได้เหมือนกัน ถ้าผลิตภัณฑ์ของยี่ห้ออื่นมีนแย่ขนาดนั้น คนทั้งโลกก็คงจะใช้แต่ amway กันไปหมดแล้ว
**ฝากถึงนักธุรกิจ amway เรื่องที่ 3
ความฝันของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนมีความฝันว่าอยากรวย บางคนอยากไปเที่ยวรอบโลก บางคนอยากมีเงินซื้อของหรูหรามาใช้ และบางคนก็อาจจะมีความฝันว่าอยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุขที่บ้านต่างจังหวัด อยากใช้ชีวิตสบายๆ พอเพียง ไม่ฟุ่มเฟือย
**ฝากถึงนักธุรกิจ amway เรื่องที่ 4
คนที่ไม่เลือกทำธุรกิจ amway ไม่ได้แปลว่าเค้าโง่ เค้าแค่ไม่ชอบที่จะทำหรือไม่ถนัด อย่าไปพูดจาเหน็บแนมคนอื่นเลย คนทุกคนย่อมมีหนทางเป็นของตัวเอง
**ฝากถึงนักธุรกิจ amway เรื่องที่ 5
ในเมื่อคุณบอกว่ามาเปิดโอกาสทางธุรกิจ นั่นหมายถึงคุณเปิดโอกาสให้เค้าเลือก ดังนั้นถ้าเค้าจะไม่เลือก เค้าก็ไม่ผิด
**ฝากถึงนักธุรกิจ amway เรื่องสุดท้าย
เราไม่อยากไปดูไบ เราสาย bag packer
หัวหน้าชวนไปทำ amway พอไม่ไปทำก็พูดจาเหน็บ
ขอเริ่มเลยแล้วกัน เมื่อช่วงปลายปีที่แล้วเราโดนหัวหน้าชวนไปทำ amway มีวันหนึ่งเค้านัดเราไปหาตอนเช้าวันเสาร์ที่ตึกแห่งหนึ่งย่านราชเทวีโดยไม่ได้บอกเราว่าให้ไปหาทำไม เราก็ซื่อเห็นเค้าเป็นหัวหน้าก็ไม่คิดว่าเค้าจะพาไปฟัง amway เค้านัดเรา 9 โมงเช้า เราไปถึงเค้าก็พาไปนั่งเก้าอี้ในห้องบรรยายเล็กๆ หนึ่งที่มีโปรเจคเตอร์ฉายหัวข้อ Your dream อยู่ เราก็เริ่มเอะใจนิดๆ แต่ตอนนั้นมันก็ไหวตัวไม่ทันแล้ว ไม่นานก็มีเสียงดนตรีดังขึ้น เป็นเพลงฮิตติด billboard มีจังหวะเร้าใจ แล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่งอายุราวๆ 25 ปี ขึ้นมาพูดเรื่องความฝัน เค้าก็พูดว่าฝันของเค้าคือมีรถหรู บ้านหลังใหญ่ ไปเที่ยวรอบโลก ไอโฟน macbook และอีกมากมาย แล้วเค้าก็พูดเกี่ยวกับรายได้ที่จะำให้ฝันนั้นเป็นจริง เค้าจะจ้งมีรายดายเดืนละเท่าไรบ้าง แล้วเค้าก็ปิดท้ายด้วยการถรามกลับมาว่าฝันของคุณคือออะไร ตอนนั้นเราก็เริ่มคิดแล้วว่าหรือว่าจะเป็น amway ว้ะ แล้วไม่นานหัวหน้าเราก็มาเฉลย เค้าก็มาเล่าเรื่องรูปแบบธุรกิจให้ฟัง ตอนแรกเลยเค้าก็ไม่ยอมจะพูดออกมาว่า amway หรอก แต่ว่าเค้าเปิดสไลด์พรีเซนต์ให้เราดูแล้วดันพลาดมีโลโก้ amway ขึ้นมา เค้าเลยต้องเฉลยว่าเป็น amway
** เรื่องแรกที่จะฝากถึงนักธุรกิจ amway
ถ้าคุณจะขาย amway คุณก็บอกเรามาเถอะ โอเคเราเข้าใจ amway มันมีชื่อเสียงทางลบและมุมมองที่ไม่ดีติดตา ทำให้คนอาจจะต่อว่าหรือปฏิเสธตั้งแต่แรก แต่ว่าที่คุณหลอกเราไปฟังอย่านี้มันก็ไม่ได้ช่วยให้มุมมองเราดีขึ้นนะ มันกลับแย่ลง เพราะว่าคุณยังไม่กล้าที่จะพูดถึงสิ่งที่คุณทำอยู่เลย แล้วคุณจะมาชวนเราไปทำด้วยเนี่ยนะ แล้วยิ่งเป็นคนที่เราไว้ใจเรายิ่งรู้สึกแย่ เหมือนคุณหลอกเราและทำให้เราต้องเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากใจ **
จากนั้นหัวหน้าเราก็ได้โอกาสชวนเราทำ amway ตอน
แรกเราก็คิดที่จะปฏิเสธนะ แต่ด้วยความที่เค้าเป็นหัวหน้าเราแล้วเราก็คิดว่าผลิตภัณฑ์ของ amway เค้าก็คุณภาพดี ลองใช้ดูก็ไม่เสียหาย หัวหน้าเค้าก็บอกให้เราลองซื้ออาหารเสริมของ amway มากิน เค้า เค้าก็แนะนำโปรตีนเสริมกับ bodykey ไอตัว bodykey มันเหมือนเป็นเครื่องดื่มชงกินทดแทนมื้ออาหาร เอามากินช่วงไดเอ็ท บ่ายวันนั้นเค้าก็ให้เราเข้าฟัง present product ตัว bodykey ของแอมเวย์ เราก็ฟังแล้วก็โอเคลองซื้อตัวนี้กินก็ได้เพราะเราจะอยากจะหาอะไรกินช่วยตอนช่วงลดหุ่นอยู่พอดี เราก็ตกลงว่าจะลองกิน เค้าก็บอกดราว่าโอเคอย่างนั้นวันเสาร์หน้าให้มาหาเค้าอีกครั้งหนึ่ง เค้าจะพาไปดูสำนักงานใหญ่ amway พาไปซื้อของ แล้วก็วันนั้นจะมีจัดบรรยายใหญ่เปิดตัวอาหารเสริมตัวใหม่ด้วย มีหมอคนหนึ่งมาพูดเกี่ยงกับอาหารเสริมตัวนี้ เราโอเคเห็นมีหมอมาพูดเราก็ไปก็ได้ ไหนๆ ก็ถลำตัวมาขนาดนี้แล้วก็ลองไปฟังดู เสาร์ถัดมาเค้าก็นัดเราไปแต่เช้าไปนั่งฟังเรื่อง your dream ช่วงเช้า และ product amway ช่วงบ่าย ในวันนั้นเค้าก็เอาบัตรสมาชิกมาให้เราเสียเงินค่าสมัคร 900 บาท จากนั้นตอนเย็นเค้าก็พาเราไปที่ amway สำนักงานใหญ่ย่านรามคำแหง เราก็ไปซื้ออาหารเสริมตามที่เค้าแนะนำ แล้วก็ซื้อครีมของมาใช้อีกตัวนึง ตอนนั้นเราก็หมดเงินไป 7,000 กว่าบาท แต่ด้วยความที่เป็นคนพยายามมองโลกให้เป็นทุ่งลาเวนเดอร์ ก็คิดว่าโอเคถ้าซื้อมาใช้แล้วสุขภาพดีขึ้น ผิวพรรณ ผิวหน้าดีขึ้น ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร ตอนแรกเค้าก็เชียร์ให้เราซื้อพวกน้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก หรืออย่างอื่นด้วย แต่เราปฏิเสธไป เค้าก็แอบบ่นนิด ๆ ว่าทำไมไซื้ออันนี้คุ้มดีมากเอามาเจือขางใช้ได้เป็นปี อยากให้เราซื้อของ amway ไปใช้ให้ครบทุกอย่างเพราะถ้าเราจะขายได้ก็ต้องลองใช้ก่อน เงินเอาไปใช้จ่ายอย่างอื่นยังได้เลยนู่นนี่ เค้าก็ตื้อสักพัก แต่เราก็ไม่ซื้ออยู่ดีเพราะแค่ 7,000 กว่าบาทนั่นก็แพงมากแล้วสำหรับเรา เพราะเราเองก็เป็นแค่มนุษเงินเดือนทั่วไปการต้องซื้อของด้วยเงินจำนวนมากขนาดนี้ก็รู้สึกมือสั่นหน้าสั่นเหมือนกัน
**ฝากถึงนักธุรกิจ amway เรื่องที่ 2
คนแต่ละคนไม่ได้มีเงินพอใช้จ่ายที่เท่ากัน สินค้า amway ค่อนข้างมีราคาสูง คนที่มีรายได้ไม่มาก ต้องจำกัดเงินที่ใช้นั้นการจะตัดสินใจซื้อของที่รวมราคาแล้วเป็นหมื่นบาทต้องใช้เวลาและการตึกตรอง และมองถึงความเหมาะสม ความจำเป็น และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในเดือนนั้นด้วย**
แล้วก็เข้าไปฟังบรรยาย product ตัวใหม่ เสียค่าเข้างาน 200 งานเริ่ม 6 โมงเย็นยาวไปจนถึงมืด ก็มีหมอมาพูดจริงๆ เป็นหมอที่มีชื่อเสียงด้วย เค้าก็พูดดีนะ พูดเกี่ยวกับประโยชน์ของอาหารเสริมตัวนี้ แต่บรรยายเชิงใฟ้ความรู้ไม่ได้ขายของ ต่อมาก็เป็นคนของ amway มาพูดขายของ product ตัวนี้ต่อ และคนสุดท้าเป็นนักธุรกิจ amway ระดับเพชรคู่ที่ขึ้นมาแชร์ประสบการณ์การทำ amway บอกเคล็ดลับ เรื่องความอดทน ความตั้งใจต่าง ๆ นา ๆ และจบก้วยความฝันและดูไบ สรุปวันนั่นงานเลิก 4 ทุ่ม เราว่าก็ดึกนะสำหรับเรา เพราะกว่าจะกลับถึงบ้านอีกก็ใช้เวลา โชคดีที่หัวหน้าเราขับรถมาส่ง ระหว่างทางเค้าก็คุยกัยเราเรื่องว่าเรามีความฝันอะไร เราก็บอกเค้าไปว่าตอนนี้เราก็ยังไม่ได้ตั้งเป้าขนาดนั้นว่าจะให้ตัวเองไปอยู่ตรงจุดไหนที่บ้านปลาย ก็ทำงานเก็บเงิน อาจจะทำงานเสริมด้วยก็เพื่อให้มีรายได้หลายทาง เค้าก็บอกว่าอืมเรายังเด็กนี่เนอะก็อาจจะยังมองไม่เห็นความสำคัญ แต่ถ้าเราโตขึ้นอีกนิดเราก็จะอยากได้ความมั่นคงในชีวิต อยากจะมีเงินไปเที่ยว ไปพักผ่อน และหยุดทำงานได้โดยที่ยังมีรายได้เข้ามาทุกวัน เราก็เออออตามเค้าไป จากนั้นเค้าก็บอกว่าพรุ่งนี้มีบรรยายเรื่องแผนธุรกิจ amway เค้าอยากให้เราลองไปฟังดูสักครั้งนึง เพื่อให้เราตัดสินใจได้ว่าอยากทำมั้ย เราก็โอเคไปฟังดูก็ได้ เผื่อเราไม่ชอบก็เป็นทางให้เราปฏิเสธได้ว่าเราฟังปล้วไม่ใช่ทาง ไม่อยากทำ วันอาทิตย์เราก็ไปฟังบรรยายที่หอประชุมแห้งหนึ่ง วันนั้นก็มีพูดเรื่องการทำธุรกิจขายตรงดีอย่างไร พูดถึงตลาดและมุมมองของธุรกิจขายตรง เคล็ดลับในการทำธุรกิจ และมีการประกาศรายชื่อผู้ที่ทำธุรกิจถึงเป้า 9% และ 21% แล้วก็มีนักธุรกิจระดับเพชรขึ้นมาแชร์ประสบการณ์การท่องเที่ยว การทำงาน รายได้ และดูไบ จากนั้นก็มีการประกาศว่าในเดือนหน้าจะมีงานสัมนาใหญ่ มีการเชิญนักธุรกิจระดับมงกุฎฑูตมาพูดในงาน นักธุรกิจคนนี้รายได้ต่อเดือนเป็นร้อยล้าน เชิญตัวยากมาก เป็นโอกาศดีที่จะได้เข้าฟัง งานมี 2 วัน 1 คืน บัตรราคา 2,000 บาท สามารถซื้อได้ในวันนี้เลย รีบซื้อก่อนที่บัตรจะหมด ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่ได้สนใจและคิดว่าหัวหน้าเราก็คงจะไม่อะไรกับเราเพราะเราพึ่งเคยมาฟัง amway แค่ 2-3 ครั้ง แต่ผิดคาดพอเดินออกจากห้องประชุมเค้าก็พุ่งไปจุดซื้อบัตรและบอกพนักงานว่าของเราด้วย 1 ใบ เราก็บอกว่า เฮ้ย...ไม่เอา เรายังไม่พร้อมไป เค้าก็บอกว่าซื้อกันสิทธิไว้ก่อน เราบอกว่าอย่าเลย บัตรราคามันก็แพงอยู่ เค้าก็ไม่ยอมโดยให้เหตผลไปฟังมงกุฎฑูตมันได้ประโยชน์มาก ๆ เลยรู้มั้ย เราจะได้เรียนรู้ในการทำธุรกิจมากมายยย มันยิ่งกว่าคำว่าคุ้มค่า เนอะ...ว่ามั้ย และยังบอกอีกว่าเค้ามีคนในสังกัดที่อยากไปอยู่แล้ว ใบนี้เค้าซื้อไว้สำรองให้เราถ้าเราตัดสินใจจะไปก็บอกเค้า ตอนนั้นเราก็ห้ามเค้าไม่อยู่ก็ได้แต่ปล่อยให้ซื้อบัตรไป ตอนนั้นเราก็เครียดพอสมควรเลยนะเพราะบัตรราคาแพงอยู่เหมือนกัน และ 90% เราคงไม่ไปงานนี้แน่นอน เราก็เลยลองพยายามคุยกับเค้าบนรถ เค้าก็บอกว่าเราอย่างพึ่งรีบตัดสินใจตอนนี้ เรายังไม่เคยฟังแผนการทำงานของ amway อย่างจริงจังเลย แผนพวกนี้อยากให้เราเข้าไปฟังสัก 2 ครั้งช่วงเย็นวันพุธ แล้วพอเราเข้าใจแผนแล้วก็ค่อยตัดสินใจ เราก็อะโอเค ไปฟัง 2 ครั้ง แล้วตัดสินใจได้ใช่มั้ย เราก็ไปฟังแผนการทำงานช่วงเย็นวันพุธ เค้าก็จะพูดถึงข้อดีของการทำธุรกิจขายตรง มุมมอง ทำอย่างไรให้สำเร็จ เค้าจะมีแผนการทำงานที่เรียกว่า core 9 อยู่ ซึ่งจะมีวิธีการทำงาน list ให้เป็นข้อๆ แล้วเราจะต้องพยายามทำให้ครบ 9 ข้อนั้น เช่น 1.)ต้อง list รายชื่อ, 2)ต้องโทรไปนัดคุย, 3)ควรต้องเข้าไปคุยประมาณ 10 คนต่อวัน อะไรอย่างนี้ แล้วก็มีแนะนำสินค้าบ้าง มีการแชร์ประสบการณ์และข้อคิดแบบ positive thinking รายได้ และดูไบ ซึ่งหลังจากที่เราไปฟังตาที่หัวหน้าบอกเค้าก็มาถามเราว่า เป็นยังไงบ้าง ฟังแล้วได้ประโยชน์ดีใช่มั้ย ถ้าเรา อย่าลืมจัดวันไปงานสัมด้วยนะ เราก็บอกเค้าไปว่าเราอะชอบสินค้านะเราใช้แล้วสินค้าใช้ดีจริง ๆ แต่ว่าเรื่องให้เราไปทำงานตามรูปแบบนั้นเราอาจจะไม่ถนัด เค้าก็บอกว่าอยากให้เราลองเปิดใจ amway ทำแล้วรายได้เป็น passive income พี่รู้ว่าเรามีความฝัน ทำอะไรให้คิดถึงความฝัน ถึงเป้าหมายของเราเอาไว้ เค้ามาเปิดโอกาสทางธุรกิจให้ มีอะไรบอกได้ไม่ต้องเกรงใจ เราก็งงว่าเราบอกไปแล้วว่าเราไม่อยากทำแต่เหมือนเค้าจะพยายามโน้มน้าวเราอยู่ เราเลยบอกไปอีกครั้งว่าเราไม่ชอบทางนี้จริง ๆ เราเข้าใจว่าคนที่ทำธุรกิจนี้แล้วประสบความเร็จเค้ามีจริงๆ และรายได้ดีด้วย แต่สำหรับตอนนี้เรายังไม่พร้อม อยากโฟกัสในงานที่ทำอยู่และอย่างอื่นมากกว่า สุดท้ายเราก็ไม่ได้ไปงานสัมนานั้น และเราคิดว่ามันจบด้วยความไม่เข้าใจของหัวหน้าเรา เพราะช่วงแรก ๆ เค้าก็ตึงไปเลย แต่พักหลังก็เบาลงมาหน่อยแต่ก็มีพูดจาเหน็บแนมในระหว่างการทำงานอยู่บ่อย ๆ (งานปกติที่บริษัท) เช่น ถ้าเราไปทำผมทำเล็บมาก็เหน็บว่าแหม...ช่วงนี้สวยจังมีตังไปทำผมทำเล็บมาใหม่ ตอนนั้นไม่ยอมไปงานสัมนากับพี่เพราะเก็บตังเอาตังไปใช้หมดแล้วปะเนี่ย อะไรอย่างนี้ เราเบื่อมากไม่รู้จะทำยังไงดี บรรยากาศการทำงานแย่สุด ๆ น่าอึดอัดสุด ๆ เหมือนถ้าเราทำอะไรพลาดนิดหน่อยเค้าก็จะสามรถต่อว่าและเหน็บแนมได้อยู่ตลอด พอเป็นอย่างนี้เราก็เลยยิ่งไม่อยากใช้ของ amway เพราะเราเยอากตัดขาดจากมัน ตัดขาดจากวงจร ถึงแม้ผลิตภัณฑ์ของ amway จะดีแค่ไหน แต่ถ้าต้องเจอเหตการณ์แบบนี้เราก็เลือกที่จะไม่ใช้อยู่ดี เพราะเราคิดว่ามันก็คงต้องมีผลิตภัณฑ์อื่นที่เราใช้แล้วถูกใจได้เหมือนกัน ถ้าผลิตภัณฑ์ของยี่ห้ออื่นมีนแย่ขนาดนั้น คนทั้งโลกก็คงจะใช้แต่ amway กันไปหมดแล้ว
**ฝากถึงนักธุรกิจ amway เรื่องที่ 3
ความฝันของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนมีความฝันว่าอยากรวย บางคนอยากไปเที่ยวรอบโลก บางคนอยากมีเงินซื้อของหรูหรามาใช้ และบางคนก็อาจจะมีความฝันว่าอยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุขที่บ้านต่างจังหวัด อยากใช้ชีวิตสบายๆ พอเพียง ไม่ฟุ่มเฟือย
**ฝากถึงนักธุรกิจ amway เรื่องที่ 4
คนที่ไม่เลือกทำธุรกิจ amway ไม่ได้แปลว่าเค้าโง่ เค้าแค่ไม่ชอบที่จะทำหรือไม่ถนัด อย่าไปพูดจาเหน็บแนมคนอื่นเลย คนทุกคนย่อมมีหนทางเป็นของตัวเอง
**ฝากถึงนักธุรกิจ amway เรื่องที่ 5
ในเมื่อคุณบอกว่ามาเปิดโอกาสทางธุรกิจ นั่นหมายถึงคุณเปิดโอกาสให้เค้าเลือก ดังนั้นถ้าเค้าจะไม่เลือก เค้าก็ไม่ผิด
**ฝากถึงนักธุรกิจ amway เรื่องสุดท้าย
เราไม่อยากไปดูไบ เราสาย bag packer