เวลาที่มีใครถามผมว่าหนังญี่ปุ่นที่ชอบที่สุดมีเรื่องไหนบ้าง ทุกครั้งที่ตอบ จะต้องมีเรื่อง Be with You อยู่เสมอ ไม่ใช่แค่เป็นหนังที่ทำสร้างความประทับใจ สะอื้นไห้ให้กับบทสรุป แต่ยังทำให้ผมเกลียดฝนไปเลยช่วงหนึ่ง แม้จะผ่านเวลามาพอสมควร เมื่อใดที่ฝนตก แล้วนึกถึงฉากต่างๆ ใน Be with You ขึ้นมา ความไม่ชอบฝนเหล่านั้นก็มักจะย้อนมาทำพิษเสมอ แต่ผมก็ยังหวังนะว่าจะมีหนังสักเรื่องที่คลายปมนี้ออกได้
จนกระทั่งการมาของหนังจากแดนอาทิตย์อุทัยอีกเรื่องที่ทำจากการ์ตูน โดยมีฝนเป็นตัวละครหลักอย่าง
After the Rain ด้วยหน้าหนังที่ดูแล้วน่าจะอบอุ่นมากกว่า ผมก็อดใจรอ จนในที่สุดเรื่องนี้ก็ได้ไปอยู่ในไลน์อัพของโปรเจ็คต์
หนังผมไม่เล็กนะครับ ซึ่งนั่นเป็นการยืนยันว่าผมคงไม่พลาดตีตั๋วเข้าไปดูแน่ๆ
ถ้าจะว่ากันตามตรง
After the Rain เป็นหนังที่พล็อตหลักน่าสนใจและเรียกร้องให้ไปดูอย่างมาก ทั้งประเด็นความรักต่างวัยของสาวน้อยวัยใสกับชายวัย(เกือบ)กลางคน รวมถึงประเด็น coming of age ที่ตัวนางเอกมีปมในชีวิตบางอย่างคอยหลอกหลอนและเป็นชนักติดหลัง ไม่ให้สามารถก้าวต่อไปได้ ซึ่งจากจุดนี้ ก็เลยทำให้คาดหวังในระดับนึงว่าหนังจะสร้างอิมแพ็คต์แรงๆ สร้างแรงบันดาลใจหนักๆ ให้ได้บ้าง
พอได้ดูจริงๆ ก็พบว่า
After the Rain เป็นหนังฟีลกู้ดย่อยง่ายที่น่ารักและตลก รอบที่ผมดูเสียงฮาครืนนี่มาไม่ขาดสายเลย (ไม่ได้จะบอกว่าเป็นหนังคอเมดี้ครับ แต่หลายๆ ช็อตก็จงใจใส่เข้ามาโดยใช้จังหวะซิทคอมแบบญี่ปุ่นๆ พอรวมกับกริยาท่าทางของตัวละครแล้ว ก็เลยเรียกเสียงหัวเราะได้ตลอดทั้งเรื่อง)
แต่ในขณะเดียวกัน การนำเสนอทั้งสองประเด็นที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องกลับทำได้เบาหวิวอย่าน่าเสียดาย
ในส่วนของความรักต่างวัย แม้หนังจะพยายามอธิบายว่าทำไมนางเอกถึงสนใจพระเอกที่ดูท่าทางก็งกๆ เงิ่นๆ แถมยังมีลูกติดขนาดนั้น ขนาดว่ามีเพื่อนผู้ชายหน้าตาดีมาขายขนมจีบ ก็มิอาจเรียกร้องความสนใจจากเธอได้เลยแม้แต่นิดเดียว แต่ก็ไม่ช่วยสร้างความหนักแน่นพอจนทำคล้อยตามและเชื่อว่าเพียงแค่นั้นจะกลายเป็นความรักไปได้
ถ้าแค่เบาไปเพียงประเด็นเดียวก็ไม่เป็นไร แต่อีกหัวใจสำคัญก็แผ่วไปตามๆ กัน พูดการตามตรง ผมว่า
After the Rain เป็นหนังที่เครื่องติดช้าเกินไปหน่อย กว่าจะเริ่มเข้าที่เข้าทาง เปิดตัวละครสำคัญครบก็ใช้เวลาไปกว่าครึ่งเรื่องแล้ว
ตามสูตรของหนังแนวตัวเอกมีปมชีวิตอะไรสักอย่าง ถ้าโปรโมทว่าเป็นแนวฟีลกู้ด ก็ต้องมีอะไรสักอย่างมากระตุ้นให้ตัวเอกฮึดสู้อีกครั้ง ซึ่งถ้าทำจุดนี้ได้ถึง เรื่องนั้นจะเป็นหนังที่สนุกและน่าประทับใจมากๆ แต่กับ
After the Rain เหมือนติดหล่มอะไรสักอย่างอยู่ กว่าที่คู่แข่งจะมา กว่านางเอกจะมีไฟอีกครั้ง ก็มาในจังหวะที่ไม่ค่อยสวยไปเสียแล้ว อารมณ์เหมือนคนพะว้าพะวงอะไรสักอย่าง กว่าจะตัดสินใจทำได้ก็ใช้เวลานานเกินไปหน่อย และพอได้ทำจริงๆ ก็กลายเป็นว่าทำไปเฉยๆ ให้พอรู้ว่าทำและจางๆ ลงไป
ในเมื่อการนำเสนอประเด็นหลักทำได้ไม่หนักแน่นพอ สิ่งที่ควรนำมาทดแทนก็คือการดำเนินเรื่องที่ไปอย่างสนุก (ที่ไม่ใช่สนุกด้วยมุก) แต่
After the Rain ก็มาตามวิสัยหนังญี่ปุ่นหลายๆ เรื่อง คือไปเนิบๆ เรียบๆ อย่าถามหาจุดพีคให้ตื่นตัวยาวๆ เพราะตลอดการรับชมจะมีแค่มาให้ลุ้นเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น (ส่วนตัว ผมยกให้ฉากเปิดตัวนางเอกตื่นเต้นที่สุดแล้วครับ) แต่ขณะเดียวกัน
After the Rain ก็เป็นเรื่องที่เหมาะแก่การดูเพื่อผ่อนคลายอย่างแท้จริง ด้วยความเบาของทั้งประเด็นและความเรียบง่ายของการเดินเรื่อง จึงเหมาะเข้าไปดูเพื่อรีแลกซ์ อมยิ้มไปกับความน่ารักของเรื่องราวและตัวละครมากกว่าไปคิดตามเนื้อเรื่อง เพราะถ้าเริ่มคิดเมื่อไหร่ อาจจะมีอาการงงนิดๆ ได้ว่าฉากนี้มีที่มาที่ไปยังไง เพราะ
After the Rain ใช้วิธีโปรโมทหนังตามความนิยมสมัยนี้คือทำสปินออฟดราม่า หรือละครที่เป็นเนื่อเรื่องเสริม เล่าในส่วนที่เวลาไม่เอื้อให้ใส่ในฉบับภาพยนตร์ แต่เหมือนทีมงานจะลืมคิดไปว่า
After the Rain มีโอกาสที่จะได้ฉายในต่างประเทศ และไม่ใช่ทุกประเทศที่จะได้ดูสปินออฟ แถมถ้าไทม์ไลน์ทั้งหนังและละครคาบเกี่ยวกันไปเลยยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ซึ่ง
After the Rain ก็เป็นแบบนั้นครับ ในฉบับภาพยนตร์ จู่ๆ ก็พูดถึงประเด็นนี้ขึ้นมา แล้วก็ปล่อยค้างเติ่งไว้อย่างนั้น ไม่กล่าวถึงที่มาที่ไปแต่อย่างใด (เพราะเฉลยในสปินออฟไงล่ะครับ) โดยสปินออฟของ
After the Rain จะพูดถึงเรื่องราวของคู่รอง นั่นจึงเป็นสัญญาณว่าในหนังคงใช้ตัวละครไม่คุ้มแน่ๆ ซึ่งก็เป็นไปตามนั้นครับ แทบจะเรียกได้ว่าทั้งเรื่องมีแค่พระเอกและนางเอกสองคน ตัวอื่นๆ ถึงพอจะมีบทขึ้นมาหน่อย แต่ก็ไม่ได้มีความสำคัญต่อเนื้อเรื่องขนาดนั้น เพราะฉะนั้น ถ้ามีโอกาสก็หาสปินออฟมาดูกันนะครับ
โดยสรุปแล้ว แม้
After the Rain จะไม่ได้สร้างอิมแพ็คต์หนักๆ สร้างอารมณ์ร่วมมาไม่ดีพอ ทำให้จุดที่ควรพีคมากๆ เหมือนแค่โดนกระตุกเบาๆ หรือไม่ค่อยมีประเด็นให้คุยต่อหลังดูจบเท่าไหร่ (แอบเสียดายฟอร์มผู้กำกับที่ทำไว้ตอน If If Cats Disappeared From the World ซึ่งเป็นเรื่องที่เน้นประเด็นคุณค่าชีวิตได้ดีมากและกินใจไม่น้อย) แต่ขณะเดียวกันก็ถือเป็นความเพลิดเพลินที่ดีพอสมควร ในระหว่างที่ดู อยากให้จำลองภาพขึ้นมาในหัวว่าเรากำลังติดฝนอยู่ในกระท่อมปลายนากับใครสักคน และคุยกันถึงประเด็นนั้นประเด็นนี้ไปตามเรื่อง แม้จะเป็นประเด็นที่หนัก มันก็จะลื่นไหล คุยกันได้เรื่อยๆ ไม่จำเป็นต้องลงน้ำหนักกับเรื่องใดมากนัก แล้ว
After the Rain แม้จะไม่ได้ชื่นใจ แต่ก็ทำให้ได้สัมผัสความอบอุ่นแม้ฝนตก เหมือนตัวคนเดียวก็ไม่เหงา และจะเป็นอีกเรื่องที่สร้างความชื่นชอบในความเย็นและฟีลกู้ดให้ได้อย่างไม่ยากเย็น
ป.ล. ส่วนที่ตื่นตาที่สุดคือนานะซังครับ เรื่องนี้งานดีมาก ดาเมจทะลุจอเลยทีเดียว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ป.ล.2
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้สำหรับสปินออฟ After the Rain ~ Wish in a Pocket ~ ผมทำซับไว้แล้วล่ะครับ ถ้าสนใจก็รับชมได้ที่เพจจิโอะเลย
jio.
[CR] [จิโอะเวิ่นเว้อ] After the Rain ความเหงาที่ไม่เหงา แม้ฝนตกก็ยังอบอุ่น
เวลาที่มีใครถามผมว่าหนังญี่ปุ่นที่ชอบที่สุดมีเรื่องไหนบ้าง ทุกครั้งที่ตอบ จะต้องมีเรื่อง Be with You อยู่เสมอ ไม่ใช่แค่เป็นหนังที่ทำสร้างความประทับใจ สะอื้นไห้ให้กับบทสรุป แต่ยังทำให้ผมเกลียดฝนไปเลยช่วงหนึ่ง แม้จะผ่านเวลามาพอสมควร เมื่อใดที่ฝนตก แล้วนึกถึงฉากต่างๆ ใน Be with You ขึ้นมา ความไม่ชอบฝนเหล่านั้นก็มักจะย้อนมาทำพิษเสมอ แต่ผมก็ยังหวังนะว่าจะมีหนังสักเรื่องที่คลายปมนี้ออกได้
จนกระทั่งการมาของหนังจากแดนอาทิตย์อุทัยอีกเรื่องที่ทำจากการ์ตูน โดยมีฝนเป็นตัวละครหลักอย่าง After the Rain ด้วยหน้าหนังที่ดูแล้วน่าจะอบอุ่นมากกว่า ผมก็อดใจรอ จนในที่สุดเรื่องนี้ก็ได้ไปอยู่ในไลน์อัพของโปรเจ็คต์หนังผมไม่เล็กนะครับ ซึ่งนั่นเป็นการยืนยันว่าผมคงไม่พลาดตีตั๋วเข้าไปดูแน่ๆ
ถ้าจะว่ากันตามตรง After the Rain เป็นหนังที่พล็อตหลักน่าสนใจและเรียกร้องให้ไปดูอย่างมาก ทั้งประเด็นความรักต่างวัยของสาวน้อยวัยใสกับชายวัย(เกือบ)กลางคน รวมถึงประเด็น coming of age ที่ตัวนางเอกมีปมในชีวิตบางอย่างคอยหลอกหลอนและเป็นชนักติดหลัง ไม่ให้สามารถก้าวต่อไปได้ ซึ่งจากจุดนี้ ก็เลยทำให้คาดหวังในระดับนึงว่าหนังจะสร้างอิมแพ็คต์แรงๆ สร้างแรงบันดาลใจหนักๆ ให้ได้บ้าง
พอได้ดูจริงๆ ก็พบว่า After the Rain เป็นหนังฟีลกู้ดย่อยง่ายที่น่ารักและตลก รอบที่ผมดูเสียงฮาครืนนี่มาไม่ขาดสายเลย (ไม่ได้จะบอกว่าเป็นหนังคอเมดี้ครับ แต่หลายๆ ช็อตก็จงใจใส่เข้ามาโดยใช้จังหวะซิทคอมแบบญี่ปุ่นๆ พอรวมกับกริยาท่าทางของตัวละครแล้ว ก็เลยเรียกเสียงหัวเราะได้ตลอดทั้งเรื่อง)
แต่ในขณะเดียวกัน การนำเสนอทั้งสองประเด็นที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องกลับทำได้เบาหวิวอย่าน่าเสียดาย
ในส่วนของความรักต่างวัย แม้หนังจะพยายามอธิบายว่าทำไมนางเอกถึงสนใจพระเอกที่ดูท่าทางก็งกๆ เงิ่นๆ แถมยังมีลูกติดขนาดนั้น ขนาดว่ามีเพื่อนผู้ชายหน้าตาดีมาขายขนมจีบ ก็มิอาจเรียกร้องความสนใจจากเธอได้เลยแม้แต่นิดเดียว แต่ก็ไม่ช่วยสร้างความหนักแน่นพอจนทำคล้อยตามและเชื่อว่าเพียงแค่นั้นจะกลายเป็นความรักไปได้
ถ้าแค่เบาไปเพียงประเด็นเดียวก็ไม่เป็นไร แต่อีกหัวใจสำคัญก็แผ่วไปตามๆ กัน พูดการตามตรง ผมว่า After the Rain เป็นหนังที่เครื่องติดช้าเกินไปหน่อย กว่าจะเริ่มเข้าที่เข้าทาง เปิดตัวละครสำคัญครบก็ใช้เวลาไปกว่าครึ่งเรื่องแล้ว
ตามสูตรของหนังแนวตัวเอกมีปมชีวิตอะไรสักอย่าง ถ้าโปรโมทว่าเป็นแนวฟีลกู้ด ก็ต้องมีอะไรสักอย่างมากระตุ้นให้ตัวเอกฮึดสู้อีกครั้ง ซึ่งถ้าทำจุดนี้ได้ถึง เรื่องนั้นจะเป็นหนังที่สนุกและน่าประทับใจมากๆ แต่กับ After the Rain เหมือนติดหล่มอะไรสักอย่างอยู่ กว่าที่คู่แข่งจะมา กว่านางเอกจะมีไฟอีกครั้ง ก็มาในจังหวะที่ไม่ค่อยสวยไปเสียแล้ว อารมณ์เหมือนคนพะว้าพะวงอะไรสักอย่าง กว่าจะตัดสินใจทำได้ก็ใช้เวลานานเกินไปหน่อย และพอได้ทำจริงๆ ก็กลายเป็นว่าทำไปเฉยๆ ให้พอรู้ว่าทำและจางๆ ลงไป
ในเมื่อการนำเสนอประเด็นหลักทำได้ไม่หนักแน่นพอ สิ่งที่ควรนำมาทดแทนก็คือการดำเนินเรื่องที่ไปอย่างสนุก (ที่ไม่ใช่สนุกด้วยมุก) แต่ After the Rain ก็มาตามวิสัยหนังญี่ปุ่นหลายๆ เรื่อง คือไปเนิบๆ เรียบๆ อย่าถามหาจุดพีคให้ตื่นตัวยาวๆ เพราะตลอดการรับชมจะมีแค่มาให้ลุ้นเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น (ส่วนตัว ผมยกให้ฉากเปิดตัวนางเอกตื่นเต้นที่สุดแล้วครับ) แต่ขณะเดียวกัน After the Rain ก็เป็นเรื่องที่เหมาะแก่การดูเพื่อผ่อนคลายอย่างแท้จริง ด้วยความเบาของทั้งประเด็นและความเรียบง่ายของการเดินเรื่อง จึงเหมาะเข้าไปดูเพื่อรีแลกซ์ อมยิ้มไปกับความน่ารักของเรื่องราวและตัวละครมากกว่าไปคิดตามเนื้อเรื่อง เพราะถ้าเริ่มคิดเมื่อไหร่ อาจจะมีอาการงงนิดๆ ได้ว่าฉากนี้มีที่มาที่ไปยังไง เพราะ After the Rain ใช้วิธีโปรโมทหนังตามความนิยมสมัยนี้คือทำสปินออฟดราม่า หรือละครที่เป็นเนื่อเรื่องเสริม เล่าในส่วนที่เวลาไม่เอื้อให้ใส่ในฉบับภาพยนตร์ แต่เหมือนทีมงานจะลืมคิดไปว่า After the Rain มีโอกาสที่จะได้ฉายในต่างประเทศ และไม่ใช่ทุกประเทศที่จะได้ดูสปินออฟ แถมถ้าไทม์ไลน์ทั้งหนังและละครคาบเกี่ยวกันไปเลยยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ซึ่ง After the Rain ก็เป็นแบบนั้นครับ ในฉบับภาพยนตร์ จู่ๆ ก็พูดถึงประเด็นนี้ขึ้นมา แล้วก็ปล่อยค้างเติ่งไว้อย่างนั้น ไม่กล่าวถึงที่มาที่ไปแต่อย่างใด (เพราะเฉลยในสปินออฟไงล่ะครับ) โดยสปินออฟของ After the Rain จะพูดถึงเรื่องราวของคู่รอง นั่นจึงเป็นสัญญาณว่าในหนังคงใช้ตัวละครไม่คุ้มแน่ๆ ซึ่งก็เป็นไปตามนั้นครับ แทบจะเรียกได้ว่าทั้งเรื่องมีแค่พระเอกและนางเอกสองคน ตัวอื่นๆ ถึงพอจะมีบทขึ้นมาหน่อย แต่ก็ไม่ได้มีความสำคัญต่อเนื้อเรื่องขนาดนั้น เพราะฉะนั้น ถ้ามีโอกาสก็หาสปินออฟมาดูกันนะครับ
โดยสรุปแล้ว แม้ After the Rain จะไม่ได้สร้างอิมแพ็คต์หนักๆ สร้างอารมณ์ร่วมมาไม่ดีพอ ทำให้จุดที่ควรพีคมากๆ เหมือนแค่โดนกระตุกเบาๆ หรือไม่ค่อยมีประเด็นให้คุยต่อหลังดูจบเท่าไหร่ (แอบเสียดายฟอร์มผู้กำกับที่ทำไว้ตอน If If Cats Disappeared From the World ซึ่งเป็นเรื่องที่เน้นประเด็นคุณค่าชีวิตได้ดีมากและกินใจไม่น้อย) แต่ขณะเดียวกันก็ถือเป็นความเพลิดเพลินที่ดีพอสมควร ในระหว่างที่ดู อยากให้จำลองภาพขึ้นมาในหัวว่าเรากำลังติดฝนอยู่ในกระท่อมปลายนากับใครสักคน และคุยกันถึงประเด็นนั้นประเด็นนี้ไปตามเรื่อง แม้จะเป็นประเด็นที่หนัก มันก็จะลื่นไหล คุยกันได้เรื่อยๆ ไม่จำเป็นต้องลงน้ำหนักกับเรื่องใดมากนัก แล้ว After the Rain แม้จะไม่ได้ชื่นใจ แต่ก็ทำให้ได้สัมผัสความอบอุ่นแม้ฝนตก เหมือนตัวคนเดียวก็ไม่เหงา และจะเป็นอีกเรื่องที่สร้างความชื่นชอบในความเย็นและฟีลกู้ดให้ได้อย่างไม่ยากเย็น
ป.ล. ส่วนที่ตื่นตาที่สุดคือนานะซังครับ เรื่องนี้งานดีมาก ดาเมจทะลุจอเลยทีเดียว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ป.ล.2
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้