เรื่องเล่าจากเคนย่า2018 ตอนที่ 1 จากกรุงเทพกว่าจะถึงไนโรบี

สวัสดีค่ะ กระทู้นี้เป็นการเขียนกระทู้ครั้งแรก โดยส่วนตัว มีความตั้งใจตั้งแต่ก่อนออกเดินทางแล้วว่า
ถ้ากลับมาจะเขียนเรื่องนี้
ก่อนเดินทางมีการหาข้อมูลจากพันทิปนี่แหละค่ะ  เพราะฉะนั้นเชื่อว่า
เพื่อนๆคงสามารถใช้ข้อมูลที่เขียนให้เกิดประโยชน์ได้เช่นกันค่ะ
เจ้าของกระทู้เคยเดินทางมาแล้ว30กว่าประเทศทั่วโลก แต่ครั้งนี้เป็นการเดินทางครั้งแรกในทวีปแอฟริกา เราวางแผนล่วงหน้าตั้งแต่ต้นปี เพื่อที่จะจองทุกอย่างเพื่อที่มาในในช่วงปลายเดือน กรกฏาคม ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้น ของการอพยพของ Wildebeest และม้าลาย นับล้านตัว
จาก แทนซาเนียเข้ามาที่ Maasai Mara เคนย่า
โดยติดต่อผ่านบริษัททัวร์ที่ชื่อ Kenya walking ซึ่งจากผลการสำรวจเป็นบริษัทที่ได้รับคะแนนจากการจัดอันดับในweb Safari
เป็นอันดับต้นๆในการให้บริการท่องเที่ยวซาฟารีในเคนย่า และเมื่อเปรียบเทียบราคาแล้ว ราคาย่อมเยากว่าบริษัทอื่นๆ (11วัน /ประมาณ2900$ ราคานี้รวมทุกอย่าง อาหารที่พัก การเดินทาง รถ คนขับรถ ค่าเข้าอุทยาน ไม่รวมอย่างเดียวคือทิปที่จะให้กับคนขับรถในวันสุดท้าย ส่วนที่จ่ายเองคือค่าตั๋วเครื่องบินจากไทยไป ไนโรบี ซึ่งเราเลือกบินตรงจากกทม. ไปยังเคนย่าด้วยสายการบิน เคนย่าแอร์เวย์ Kenya Airway) ทริปนี้เราเดินทางกันทั้งหมด 4 คน

ตอนที่เราเดินทางออกจาก กทม. เราเจอนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการทัวร์ ที่ไปไฟลท์เดียวกับเรา
แอบไปถามราคามา มีตกใจนิดนึง ถ้าคุณไปผ่านบริษัททัวร์  ส่วนใหญ่ 7 วัน ราคาจะอยู่ที่ 140,000 ขึ้น
เพราะฉะนั้นถ้าคุณมีความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษได้ แนะนำว่า ลองติดต่อเอง น่าจะประหยัดกว่ากันเยอะ  
เทคโนโลยีข้อมูลสมัยนี้ ทำให้โลกแคบลงสามารถช่วยประกอบการจัดสินใจได้มากขึ้น

ความสนุกของเราเริ่มตั้งแต่ขึ้นเครื่องเลยค่ะ เนื่องจากเครื่องของ Kenya Airway จะต้นทางมาจาก ไต้หวัน
และแวะมารับเราที่กรุงเทพ ก่อนเดินทางไปไนโรบี ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเคนย่า ไฟลท์เดินทาง 01.00  พอขึ้นเครื่องไป
เราจะเจอคนจีนที่นอนเหยียดยาวตามเบาะต่างๆ ซึ่งที่ใครไม่รู้ นางนอนยาว มีการปลุกขับไล่ที่กันตั้งแต่ขึ้นเครื่องเลย
เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 9 ชม. จากกรุงเทพถึงไนโรบี

ความสนุกสับสนอลหม่านก็เกิดขึ้นอีกครั้งตั้งแต่ลงเครื่องเลย  แนะนำถ้าใครคิดจะไปเที่ยวเคนย่า คุณควรจะทำวีซ่า ให้เรียบร้อย โดยจะไปยื่นที่สถานทูตแถวทองหล่อโดยจะใช้เวลาประมาณ 3 วันทำการ หรือ ยื่นออนไลน์ แล้วทำการปริ้นท์เอกสารติดตัวไป  จะดีกว่าการไป ทำวีซ่า On Arrival มาก
เนื่องจากเรื่องการจัดการ การผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองมีความโกลาหลมาก แค่รอคิวก็เป็นชั่วโมงแล้ว
และด่านตม. ที่นี่ เค้าตรวจกันเป็นครอบครัว พ่อแม่ถือหนังสือเดินทางต่อคิว พอถึงคิว ก็เด็กอีกมากมายก็จะวิ่งมาแทรกคิวเราในทันที
เบ็ดเสร็จรอผ่านตม.ในตอนเช้า ก็ใช้เวลาเป็นชม.

หลังจากออกมารับกระเป๋า คุณจะได้รับการเรียกตรวจกระเป๋ากันทุกคน เน้นย้ำเลยนะคะ ว่าเรียกทุกคน  ให้เปิดตีแผ่ทุกใบ
เจ้าหน้าที่อาจจะถามคุณว่ามีอาหารติดมาด้วยรึเปล่า (Do you have food?)  เค้าอาจจะร้องขอ 10$-20$ ก็ให้เค้าไปเถอะ ดีกว่าเค้ามายึดเสบียงทั้งหมดที่คุณมี คุณผ่านเจ้าหน้าที่คนแรกไปแล้ว อย่านิ่งนอนใจ รีบออกมาให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะโดนตรวจและต้องจ่ายอีกรอบก็ได้
และ การที่คุณร้องขอความช่วยเหลืออะไรจากใครในประเทศนี้ อาจจะมีคำว่า Coffee Coffee!! ประมาณว่าขอค่ากาแฟหน่อย
การเดินทางที่นี่มีรถที่ใช้อยู่2 ประเภท คือรถตู้ กับรถจี๊ป Land rover ทุกคันขับเคลื่อน4 ล้อทั้งหมด ถ้าเป็นแบบหลังอาจจะดูหรูหราและสมรรถนะดีกว่า ซึ่งคุณอาจจะต้องจ่ายเพิ่มเติมอีก 25,000-30,000 ต่อการเดินทาง 10 วัน

หลังจากได้ขึ้นรถเก็บสัมภาระแล้ว เราก็มุ่งหน้าจากสนามบินเข้าเมืองไนโรบีได้  คนเคนย่าเดินทางด้วยวิธีการเดินเท้า เดินกันแบบจริงๆจังๆ เข้าใจเลยว่า ทำไมแชมป์โอลิมปิกมาราธอนที่ผ่านมาถึงเป็นคนเคนย่า เดินทน เดินไกล เดินได้ไม่กลัวแดด เดินกันจริงจังมาก ส่วนถนนหนทางไม่ต้องพูดถึง ประเทศกำลังพัฒนา ถนนกำลังก็สร้าง รถที่นี่ติดพอๆกับกรุงเทพเลย บา
งวันมากกว่าด้วยซ้ำ ติดแบบไม่ขยับติดกันทีเป็นครึ่งชั่วโมง
อีกเรื่องหนึ่ง คือรถที่นี่ส่วนใหญ่เค้าเปิดหน้าต่างนะคะ ไม่เปิดแอร์ ตลอดการเดินทางที่ผ่านมาเปิดหน้าต่างล้วนๆ ฝุ่นควันมากมายสระผมกันทุกวัน มีแค่วันสุดท้ายที่ได้ขึ้นรถจากโรงแรมซึ่งเราพักโรงแรมค่อนข้างหรู ราคาค่ารถแทกซี่จากโรงแรมมายังสนามบิน ระยะทางไม่น่าเกิน 20 กม.ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 40 นาที ค่าแทกซี่ 50$ เป็นการเปิดแอร์ให้ครั้งแรกและครั้งเดียวตลอดทริป 10 กว่าวันที่ผ่านมา

ประเทศนี้เรื่องที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือ เค้าจะไม่ใช้ถุงพลาสติก รัฐบาลมีการรณรงค์อย่างจริงจัง เรื่องของการใช้ถุงพลาสติก ผู้ผลิตถูกจับปรับ คนใช้โดนยึดและปรับ  ถ้าคุณไปซื้อของเค้าอาจจะใส่ถุงกระดาษหรือ ถุงผ้ามาให้แทน เพราะฉะนั้นคุณควรจะเตรียมกระเป๋า หรือถุงผ้าไปด้วย

ถนนหนทางเมื่อออกจากเมืองแล้ว จะเป็นถนนเลนสวนกัน เป็นส่วนใหญ่เหมือนถนนตามต่างจังหวัด ตามอำเภอ ดินแดงๆลูกรัง ลาดยาง มีหมด ถนนบางช่วงลำบากมาก คือถ้าใครท้องอ่อนๆมา มีโอกาสแท้งได้แน่นอน ตำรวจจับความเร็วไม่ต้องมี เพราะเค้าทำลูกระนาดไว้ถี่มาก ก่อนเข้าชุมชน ตลาด หรือหมู่บ้าน ขับรถเร็วซิ่งมา รถมีพัง
ระยะทางแต่ละที่ห่างกัน 200-300 กิโลเมตร แต่เนื่องจากถนนหนทาง เราจึงต้องใช้เวลาประมาณ 6-7 ชม.เป็นอย่างน้อยในการเดินทาง อุทยานหนึ่งไปยังอีกอุทยานหนึ่ง
ส่วนวันไหนที่เที่ยวในอุทยาน ส่วนใหญ่ตอนเช้า ตื่นมาทานอาหารเช้าแล้วออกไปเล่น Game Drive(นั่งรถตามหาสัตว์)สายๆ ก็กลับเข้าที่พักพักผ่อน ทานอาหารเที่ยง บ่ายอาจจะมีกิจกรรมเดินดูนก แล้วช่วงเย็น ประมาณ 4 โมงเย็น ค่อยออกมาGame drive ตามหาสัตว์กันอีกครั้ง

เรื่องอาหารการกินนี่ไม่ต้องเป็นห่วงเลย เนื่องจากเคนย่าเคยเป็นประเทศอาณานิคมของเครือจักรภพมาก่อน เพราะฉะนั้นอาหารจึงเหมือนทางยุโรปทกประการ ขนมนมเนยเค้ก มิได้ขาด ยังมีข้าวให้ทานทุกโรงแรม ไข่ออมเลตประเทศนี้ เหมือนไข่เจียวบ้านเรามาก เพราะเค้าทอดใช้น้ำมันด้วยแถมยังมีขี้หนูสับ ความเผ็ดของพริกขี้หนูที่นี่ ก็พอๆกับพริกขี้หนูบ้านเราเลย แซ่บ!!   และเนื่องด้วยเป็นประเทศแถบเส้นศูนย์สูตร ผลไม้จำพวก ส้ม สัปปะรด แตงโม มะละกอ เมลอน มีให้กินตลอด ไม่มีอด
การเดินทางทริปนี้เราจะไปทั้งหมด 5 อุทยาน
1.    Samburu National Reserve
2.    Lake Nakuru
3.    Masai Mara
4.    Lake Naivasha
และ สุดท้ายที่ 5. Amboseli  (มีต่อ)จุดประสงค์การเดินทางของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่คือการมาตามหา BIG FIVES ซึ่งประกอบไปด้วย สิงโต ช้าง ควายป่า แรด และที่หายากที่สุดคือเสือดาว
ประเทศนี้ เศรษฐกิจหลักคือการท่องเที่ยวซาฟารี  คุณจะเห็นยีราฟม้าลายนกกระจอกเทศได้ทั่วไปตามริมถนน นอกเมือง เรียกได้ว่า ยีราฟม้าลายพบได้บ่อยกว่าสุนัขอีก (ต่อตอนที่2)

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่