ป้าฯ จะนั่ง Time Machine แล้วย้อนเวลาไปหาอดีตแล้วนะ
หลับตาปี๋ เกาะแน่น ๆ แล้วตามป้ามาเล้ยยยย ฟิ้ววววววว!!
ตอนนั้นป้าฯ ทำงานในบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง
น่าเสียดายที่พอถึงเวลาทำงานได้แค่ 7 ปีก็หมดวาสนาต่อกัน
ต้องเดินแยกทางกันช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์พอดิบพอดี
แต่ไม่ได้ลาออกมาเพราะอยากจะเข้ามาเล่นหุ้นเป็น Full Time Trader
แบบที่เม่าอย่างพวกเราชอบทำกันหรอกนะ
เพราะตอนนั้นป้าฯ ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องหุ้นเลยแม้แต่น้อย!
ช่วงตกงานตอนนั้นป้าฯ นี่ฟุ้งซ่านหนักมาก
คิดสารพัดวิธีว่าจะทำอย่างไรกับอนาคตอันมืดมนของตัวเองดี
ที่จริง Profile ของป้าฯ นี่เริดไม่เป็นรองใครสิจิบอกให้
โดยเฉพาะวัยวุฒิของป้าฯ นี่กินขาดสาวสวยทุกคน
ถ้าจะลุกขึ้นมาสมัครหางานใหม่ทันทีที่ตกงานก็คงยังไม่น่าจะยากเกินไป
ไม่อยากจะคุยว่าป้าฯ ได้เข้าสัมภาษณ์รอบ 3 กับท่านทูตฯ แถว ๆ ถนนวิทยุด้วย
น่าเสียดายที่ป้าฯ ฉลาดน้อยไปนิดที่ดันไปตอบคำถามการเมืองบ้านเราแบบเลือกข้าง
ที่คงไม่เหมาะสมกับตำแหน่งเลขาฯ เอกอัครราชทูต ซึ่งจำเป็นต้องวางตัวเป็นกลาง
ต้องมีทักษะและศิลปะทางการทูตที่ยอดเยี่ยม เป็นเลิศ
ซึ่งจะช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้อย่างดียิ่งด้วย
สรุปป้าฯ ชวดจากงานเลขาฯ ท่านทูตฯ อย่างน่าเสียดาย
จากนั้นก็นอนซมจมกองความท้อแท้อยู่เป็นเดือน
หมดอาลัยตายอยากไม่อยากจะลุกขึ้นมาทำอะไรเลย
ยิ่งเรื่องทำธุรกิจนี่ยิ่งไม่อยู่ในสมองเพราะไม่ได้เชี่ยวชาญอะไรเป็นพิเศษ
จะไปลงทุนทำธุรกิจอะไรก็กลัวเงินเก็บที่มีอยู่น้อยนิดจะบินหายไปในอากาศ
แล้ววันหนึ่ง ป้าฯ ก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาจากที่นอนร้องตะโกน Eureka!!!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เอ่ออ ป้าฯ ไม่ได้ใบ้หุ้นนะ โปรดอย่าคิดลึก หรือเข้าใจเป็นอื่น อิอิ
ป้าฯ แค่ตื่นเต้นอยากเลียนแบบอาร์คิเมดีส บิดาแห่งกลศาสตร์ชาวกรีก
ผู้ที่ร้องตะโกนคำว่า “Eureka” ทันทีที่ค้นพบหลักในการหาความถ่วงจำเพาะของวัตถุ
ที่เขาสังเกตได้โดยบังเอิญขณะที่กำลังอยู่ในอ่างอาบน้ำ
ด้วยความตื่นเต้นดีใจอาร์คิเมดีสจึงได้อุทานแสดงความดีใจแบบฝุด ๆ ว่า
“ไชโย พบแล้ว ๆๆ” หรือ Eureka!!
สิ่งที่ป้าฯ พบแล้ว รู้แล้ว เจอทางสว่างแล้วว่าจะทำอะไรดีในตอนตกงานแล้วเช่นนี้
คือการเดินทางเข้าไปแสวง “หาเงินค่ากับข้าว” ในตลาดหุ้นนั่นเอง!
พอไอเดียบรรเจิดป้าฯ ก็คิดต่อทันทีว่าสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือต้องหาความรู้
เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว Facebook เพิ่งเริ่มเป็นที่รู้จักของคนไทย
และยังไม่มีสื่อ Online ที่รวดเร็วเข้าถึงหลากหลายข้อมูลเช่น Line ได้แบบทุกวันนี้
ป้าฯ ทำได้แค่ Search ขอความช่วยเหลือจากอากู๋ว่าการเล่นหุ้นต้องรู้อะไรบ้าง
แล้วก็พบว่ามีคำแนะนำถึงหนังสือเล่มแรกสำหรับมือใหม่เรื่องหุ้นชื่อ “ตีแตก”
เป็นหนังสือที่เขียนโดย นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor)
ชั้นแนวหน้าในประเทศไทย “ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จากนั้นป้าฯ ก็ไม่รอช้ารีบซื้อหนังสือเล่มดังกล่าวมาอ่าน
อ่านไปผูกโบว์คิ้วไปเพราะสำหรับป้าฯ ในตอนนั้นมันเต็มไปด้วยเนื้อหาที่เป็นวิชาการ
มีคำยาก ๆ ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจการลงทุน และศัพท์เทคนิคต่าง ๆ ที่ป้าไม่คุ้นชิน
เรื่องหุ้นเป็นเรื่องใหม่ เป็นศาสตร์ใหม่สำหรับป้าฯ ในตอนนั้นจริง ๆ
ตอนแรกตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องอ่านรวดเดียวให้จบในวัน
จะได้มีความรู้เอาไปใช้หากินในตลาดหุ้นให้รวยเร็วได้ทันใจให้จงได้
พออ่านไปได้ไม่ถึงครึ่งเล่มป้าฯ ก็วางหนังสือลง
เพราะยิ่งอ่าน ยิ่งงง ไม่เข้าใจ และท้อ
ขอแปะนิ้วโป้งไว้ก่อน
รอไว้ให้สมองปลอดโปร่งกว่านี้ค่อยกลับมาอ่านต่อแระกัน
ยังอ่านหนังสือเล่มแรกไม่จบป้าฯ ก็พบคำแนะนำหนังสืออีกหนึ่งเล่ม
จึงรีบซื้อเล่ม 2 ต่อเลยชื่อ “คัมภีร์หุ้น” เขียนโดย โสภณ ด่านศิริกุล
เล่มนี้ก็เจอปัญหาแบบเล่มแรก คือสแกนอ่านผ่าน ๆ เรื่องไหนซ้ำค่อยกลับมาอ่าน
จนถึงวันนี้ก็ยังอ่านไม่จบทั้ง 2 เล่ม 555!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ต่อมาก็ทยอยซื้อหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ไปเดินร้านหนังสือ
จากหนังสือแนวมือใหม่ลงทุนในหุ้นเน้นคุณค่าพื้นฐานดีเป็น VI
แล้วต่อยอดเป็นแนวหนังสือแปล หนังสือกราฟเทคนิค มหัศจรรย์แท่งเทียน
หนังสือเกี่ยวกับการแฉกลโกงเจ้ามือในตลาดหุ้น การเตือนภัยแมงเม่า
หนังสือเก็งกำไรหุ้นรายวัน และอื่น ๆ อีกมากมาย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
วันนี้มีโอกาสได้สำรวจหนังสือทั้งหมดเพื่อนำมาเล่าเรื่องพบว่ามีหนังสือ 3 เล่ม
ที่ซื้อซ้ำกันเหตุเพราะซื้อแล้วดูผ่าน ๆ ไม่ได้อ่าน แล้วลืมว่าเคยซื้อจึงซื้อซ้ำอีก อิอิ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สุดท้ายมีแถมหนังสือเกี่ยวกับการใช้ดวงหรือไสยศาสตร์ในการเล่นหุ้นกับเขาด้วยนะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ที่น่า Amazing ยิ่งกว่านั้นก็คือมีญาติใช้ไพ่ที่ทำขึ้นเพื่อการดูดวงหุ้นให้นักลงทุนอีกด้วย
ฮ่าฮ่าฮ่า!!!
สรุปแล้วป้าฯ ซื้อหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นทั้งหมด 40 กว่าเล่ม
บางเล่มโดยเฉพาะ 2 เล่มแรกของชีวิตการลงทุนในหุ้นมีหลานสาวจบทันตกรรม
ขอยืมไปอ่านจนตอนนี้เก็บหนังสือไว้เป็นสมบัติของตัวเองเรียบร้อยแล้ว 555
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หากคิดราคาเฉลี่ยของหนังสือที่เล่มละ 250 บาทก็รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1 หมื่นบาทพอดี
นับเป็นค่าวิชาความรู้ที่ราคาถูกมากเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่จะได้รับในเวลาต่อมา
ถึงแม้จะไม่ได้อ่านหนังสือทุกเล่มที่ซื้อมาหรือยังไม่เคยอ่านจบสักเล่ม
เพราะป้าฯ ก็คงเป็นเหมือนกับพวกเราหลาย ๆ คนที่อ่านหนังสือวันละไม่เกิน 8 บรรทัด
แต่ป้าฯ ก็มีความสุขนะกับการได้ซื้อหนังสือมากอดเอาไว้แล้ววางเก็บบนชั้นวางหนังสือ
ถ้าหนังสือทั้งหมดที่ป้าฯ ซื้อมาอ่านเปรียบเป็นตำราเรียนในวิชาหุ้นศาสตร์
ป้าฯ ก็คงสอบตกเรียบร้อยโรงเรียนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไปแล้ว 555
สรุปว่าสำหรับป้าฯ แล้ว สอบตกไม่ว่า
ขอเดินหน้าไปลุยในสนามหุ้นเพื่อเทรดจริง เจ็บจริง ไรจริง เลยดีกว่า
ลุยยยยยยยยย!!!
“คุณป้าเม่า” เล่าเรื่องหุ้น...ตอนที่ 1 รีบกระโจนเข้าตลาดหุ้นทั้งที่ยังอ่านหนังสือหุ้นเล่มแรกไม่จบ!
หลับตาปี๋ เกาะแน่น ๆ แล้วตามป้ามาเล้ยยยย ฟิ้ววววววว!!
ตอนนั้นป้าฯ ทำงานในบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง
น่าเสียดายที่พอถึงเวลาทำงานได้แค่ 7 ปีก็หมดวาสนาต่อกัน
ต้องเดินแยกทางกันช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์พอดิบพอดี
แต่ไม่ได้ลาออกมาเพราะอยากจะเข้ามาเล่นหุ้นเป็น Full Time Trader
แบบที่เม่าอย่างพวกเราชอบทำกันหรอกนะ
เพราะตอนนั้นป้าฯ ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องหุ้นเลยแม้แต่น้อย!
ช่วงตกงานตอนนั้นป้าฯ นี่ฟุ้งซ่านหนักมาก
คิดสารพัดวิธีว่าจะทำอย่างไรกับอนาคตอันมืดมนของตัวเองดี
ที่จริง Profile ของป้าฯ นี่เริดไม่เป็นรองใครสิจิบอกให้
โดยเฉพาะวัยวุฒิของป้าฯ นี่กินขาดสาวสวยทุกคน
ถ้าจะลุกขึ้นมาสมัครหางานใหม่ทันทีที่ตกงานก็คงยังไม่น่าจะยากเกินไป
ไม่อยากจะคุยว่าป้าฯ ได้เข้าสัมภาษณ์รอบ 3 กับท่านทูตฯ แถว ๆ ถนนวิทยุด้วย
น่าเสียดายที่ป้าฯ ฉลาดน้อยไปนิดที่ดันไปตอบคำถามการเมืองบ้านเราแบบเลือกข้าง
ที่คงไม่เหมาะสมกับตำแหน่งเลขาฯ เอกอัครราชทูต ซึ่งจำเป็นต้องวางตัวเป็นกลาง
ต้องมีทักษะและศิลปะทางการทูตที่ยอดเยี่ยม เป็นเลิศ
ซึ่งจะช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้อย่างดียิ่งด้วย
สรุปป้าฯ ชวดจากงานเลขาฯ ท่านทูตฯ อย่างน่าเสียดาย
จากนั้นก็นอนซมจมกองความท้อแท้อยู่เป็นเดือน
หมดอาลัยตายอยากไม่อยากจะลุกขึ้นมาทำอะไรเลย
ยิ่งเรื่องทำธุรกิจนี่ยิ่งไม่อยู่ในสมองเพราะไม่ได้เชี่ยวชาญอะไรเป็นพิเศษ
จะไปลงทุนทำธุรกิจอะไรก็กลัวเงินเก็บที่มีอยู่น้อยนิดจะบินหายไปในอากาศ
แล้ววันหนึ่ง ป้าฯ ก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาจากที่นอนร้องตะโกน Eureka!!!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เอ่ออ ป้าฯ ไม่ได้ใบ้หุ้นนะ โปรดอย่าคิดลึก หรือเข้าใจเป็นอื่น อิอิ
ป้าฯ แค่ตื่นเต้นอยากเลียนแบบอาร์คิเมดีส บิดาแห่งกลศาสตร์ชาวกรีก
ผู้ที่ร้องตะโกนคำว่า “Eureka” ทันทีที่ค้นพบหลักในการหาความถ่วงจำเพาะของวัตถุ
ที่เขาสังเกตได้โดยบังเอิญขณะที่กำลังอยู่ในอ่างอาบน้ำ
ด้วยความตื่นเต้นดีใจอาร์คิเมดีสจึงได้อุทานแสดงความดีใจแบบฝุด ๆ ว่า
“ไชโย พบแล้ว ๆๆ” หรือ Eureka!!
สิ่งที่ป้าฯ พบแล้ว รู้แล้ว เจอทางสว่างแล้วว่าจะทำอะไรดีในตอนตกงานแล้วเช่นนี้
คือการเดินทางเข้าไปแสวง “หาเงินค่ากับข้าว” ในตลาดหุ้นนั่นเอง!
พอไอเดียบรรเจิดป้าฯ ก็คิดต่อทันทีว่าสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือต้องหาความรู้
เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว Facebook เพิ่งเริ่มเป็นที่รู้จักของคนไทย
และยังไม่มีสื่อ Online ที่รวดเร็วเข้าถึงหลากหลายข้อมูลเช่น Line ได้แบบทุกวันนี้
ป้าฯ ทำได้แค่ Search ขอความช่วยเหลือจากอากู๋ว่าการเล่นหุ้นต้องรู้อะไรบ้าง
แล้วก็พบว่ามีคำแนะนำถึงหนังสือเล่มแรกสำหรับมือใหม่เรื่องหุ้นชื่อ “ตีแตก”
เป็นหนังสือที่เขียนโดย นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor)
ชั้นแนวหน้าในประเทศไทย “ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จากนั้นป้าฯ ก็ไม่รอช้ารีบซื้อหนังสือเล่มดังกล่าวมาอ่าน
อ่านไปผูกโบว์คิ้วไปเพราะสำหรับป้าฯ ในตอนนั้นมันเต็มไปด้วยเนื้อหาที่เป็นวิชาการ
มีคำยาก ๆ ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจการลงทุน และศัพท์เทคนิคต่าง ๆ ที่ป้าไม่คุ้นชิน
เรื่องหุ้นเป็นเรื่องใหม่ เป็นศาสตร์ใหม่สำหรับป้าฯ ในตอนนั้นจริง ๆ
ตอนแรกตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องอ่านรวดเดียวให้จบในวัน
จะได้มีความรู้เอาไปใช้หากินในตลาดหุ้นให้รวยเร็วได้ทันใจให้จงได้
พออ่านไปได้ไม่ถึงครึ่งเล่มป้าฯ ก็วางหนังสือลง
เพราะยิ่งอ่าน ยิ่งงง ไม่เข้าใจ และท้อ
ขอแปะนิ้วโป้งไว้ก่อน
รอไว้ให้สมองปลอดโปร่งกว่านี้ค่อยกลับมาอ่านต่อแระกัน
ยังอ่านหนังสือเล่มแรกไม่จบป้าฯ ก็พบคำแนะนำหนังสืออีกหนึ่งเล่ม
จึงรีบซื้อเล่ม 2 ต่อเลยชื่อ “คัมภีร์หุ้น” เขียนโดย โสภณ ด่านศิริกุล
เล่มนี้ก็เจอปัญหาแบบเล่มแรก คือสแกนอ่านผ่าน ๆ เรื่องไหนซ้ำค่อยกลับมาอ่าน
จนถึงวันนี้ก็ยังอ่านไม่จบทั้ง 2 เล่ม 555!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ต่อมาก็ทยอยซื้อหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ไปเดินร้านหนังสือ
จากหนังสือแนวมือใหม่ลงทุนในหุ้นเน้นคุณค่าพื้นฐานดีเป็น VI
แล้วต่อยอดเป็นแนวหนังสือแปล หนังสือกราฟเทคนิค มหัศจรรย์แท่งเทียน
หนังสือเกี่ยวกับการแฉกลโกงเจ้ามือในตลาดหุ้น การเตือนภัยแมงเม่า
หนังสือเก็งกำไรหุ้นรายวัน และอื่น ๆ อีกมากมาย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
วันนี้มีโอกาสได้สำรวจหนังสือทั้งหมดเพื่อนำมาเล่าเรื่องพบว่ามีหนังสือ 3 เล่ม
ที่ซื้อซ้ำกันเหตุเพราะซื้อแล้วดูผ่าน ๆ ไม่ได้อ่าน แล้วลืมว่าเคยซื้อจึงซื้อซ้ำอีก อิอิ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สุดท้ายมีแถมหนังสือเกี่ยวกับการใช้ดวงหรือไสยศาสตร์ในการเล่นหุ้นกับเขาด้วยนะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ที่น่า Amazing ยิ่งกว่านั้นก็คือมีญาติใช้ไพ่ที่ทำขึ้นเพื่อการดูดวงหุ้นให้นักลงทุนอีกด้วย
ฮ่าฮ่าฮ่า!!!
สรุปแล้วป้าฯ ซื้อหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นทั้งหมด 40 กว่าเล่ม
บางเล่มโดยเฉพาะ 2 เล่มแรกของชีวิตการลงทุนในหุ้นมีหลานสาวจบทันตกรรม
ขอยืมไปอ่านจนตอนนี้เก็บหนังสือไว้เป็นสมบัติของตัวเองเรียบร้อยแล้ว 555
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หากคิดราคาเฉลี่ยของหนังสือที่เล่มละ 250 บาทก็รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1 หมื่นบาทพอดี
นับเป็นค่าวิชาความรู้ที่ราคาถูกมากเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่จะได้รับในเวลาต่อมา
ถึงแม้จะไม่ได้อ่านหนังสือทุกเล่มที่ซื้อมาหรือยังไม่เคยอ่านจบสักเล่ม
เพราะป้าฯ ก็คงเป็นเหมือนกับพวกเราหลาย ๆ คนที่อ่านหนังสือวันละไม่เกิน 8 บรรทัด
แต่ป้าฯ ก็มีความสุขนะกับการได้ซื้อหนังสือมากอดเอาไว้แล้ววางเก็บบนชั้นวางหนังสือ
ถ้าหนังสือทั้งหมดที่ป้าฯ ซื้อมาอ่านเปรียบเป็นตำราเรียนในวิชาหุ้นศาสตร์
ป้าฯ ก็คงสอบตกเรียบร้อยโรงเรียนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไปแล้ว 555
สรุปว่าสำหรับป้าฯ แล้ว สอบตกไม่ว่า
ขอเดินหน้าไปลุยในสนามหุ้นเพื่อเทรดจริง เจ็บจริง ไรจริง เลยดีกว่า
ลุยยยยยยยยย!!!