“คุณป้าเม่า” เล่าเรื่องหุ้น...ตอนที่ 7 พลิกพอร์ตจากขาดทุน 8.4 แสนเป็นกำไรหลักล้านในเวลาปีครึ่ง

จากที่เริ่มต้นการลงทุนในตลาดหุ้นตั้งแต่ดัชนีอยู่ที่ 700 จุดในเดือนมกราคม 2553
ด้วยเงินทุนก้อนแรก 50,000 บาท แล้วพอร์ตหุ้นก็เพิ่มขึ้นเป็น 2.1 ล้านบาทตอนสิ้นปี
โดยดัชนีอยู่ที่ 1,032.76 จุด และตัวเลขของพอร์ตหุ้นเป็นตามนี้
26/01/53 ถึง 29/12/53 ทุน 2,136,402 บาท กำไร 193,483 คิดเป็น 9.06%

อย่าเพิ่งทำตาโตแอบชมป้าฯ ในใจว่าเป็นเทพหรือเป็นเซียนล่ะ
เพราะเงินในพอร์ตของป้าฯ ที่โตขึ้นไม่ได้มาจากกำไรที่ซื้อมาขายไปหรอกนะ
แต่มาจากการทยอยเติมเงินเข้าไปล้วน ๆ อ่ะจ้ะ อิอิ

ต่อมาในปี 2554 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ผันผวนขึ้นลงตลอดในช่วงต้นปี
แล้วทำ Side Way Up ขึ้นไปทำให้พอร์ตหุ้นของป้าฯ น่ากรี๊ดสลบมากช่วงปลายเดือนก.ค
เพราะตัวเลขมายาติดบวกมากถึงกว่า 5 แสนบาทหรือ 26.14% เลยทีเดียว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จากนั้นดัชนีก็ทำจุดสูงสุดตอนปลายเดือนสิงหาคม 2554 ที่ 1,148.28 จุด

ในเดือนกันยายนเป็นช่วงที่มีคำพูดยอดฮิตติดปากคนไทยที่ใช้กันอย่างสนุกสนานทั่วทุกวงการ
ยังจำคำนี้กันได้ใช่มั้ย "เอาอยู่"!! วลีเด็ดของท่านนายกฯ หญิงกับน้ำท่วมใหญ่ปี 54 ไงละ

ช่วงนั้นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ตกต่อเนื่องจาก 1,148.28 จุด ณ สิ้นเดือนสิงหาคม
และในวันจันทร์ที่ 26 กันยายน 2554 ตลาดเปิดช่วงบ่ายเพียงไม่ถึง 10 นาที
ก็ทิ้งดิ่งลงเหวติดลบหนักมากที่ 90.22 จุดคิดเป็น 9.42% ลงไปที่ 867.94 จุด
เป็นเหตุให้ตลาดหลักทรัพย์ขึ้นเครื่องหมาย Trading Halted หยุดการซื้อขายทันที
นักลงทุนเรียกเหตุการณ์ในวันนั้นว่า Black Monday!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

แต่การขึ้นเครื่องหมาย Trading Halted ครั้งนี้ไม่นับเป็นการใช้มาตรการ
Circuit Breaker ที่หมายถึงหยุดการซื้อขายชั่วคราวเมื่อตลาดหุ้นติดลบแตะ 10%
เช่นที่เคยเกิดขึ้นแล้ว 3 ครั้งที่ผ่านมาตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหุ้นเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2518
โดยมาตรการ Circuit Breaker ในอดีตที่เกิดขึ้นแล้ว 3 ครั้งมีดังนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ครั้งที่ 1 วันที่ 19 ธันวาคม 2549 ดัชนีลดลง 108.41 จุด -14.84% เหลือ 622.14 จุด
(เกิดจากความกังวลที่ธนาคารแห่งประเทศไทยใช้มาตรการสำรอง 30%
สำหรับการนำเข้าเงินทุนระยะสั้น ซึ่งนักลงทุนเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “อุ๋ย 100 จุด”)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ครั้งที่ 2 วันที่ 10 ตุลาคม 2551 ดัชนีลดลง 50.08 จุด 10.02% เหลือ 449.91 จุด
(เกิดจาก Subprime Crisis หรือวิกฤตแฮมเบอเกอร์โดยมีต้นตอจากประเทศสหรัฐอเมริกา)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ครั้งที่ 3 วันที่ 27 ตุลาคม 2551 ดัชนีลดลง 45.44 จุด 10.50% เหลือ 387.43 จุด
(เกิดจากความวิตกภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากวิกฤตสถาบันการเงิน Subprime Crisis)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

Trading Halted ที่เกิดขึ้นในวันที่ 26 กันยายน 2554 ไม่ถือว่าเป็น Circuit Breaker
เนื่องจากดัชนีตกไม่ถึง 10% ตามเกณฑ์ เพราะติดลบ 90.22 จุดหรือคิดเป็น 9.42%
แต่นักลงทุนรายย่อยหรือเม่าอย่างเรา ๆ เรียกเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า “วันปลั๊กหลุด”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เป็นเหตุการณ์หุ้นดิ่งสยองครั้งแรกที่ป้าฯ เป็นพยานอยู่ในเหตุการณ์ด้วย
และได้ Capture ภาพหน้าจอมาไว้เป็นตัวอย่างสำหรับผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ตรง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

จากที่ตลาดหุ้นตกต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนสิงหาคมจนถึงวันปลั๊กหลุด
หุ้นทุกตัวในตลาดตกระเนระนาด ป้าฯ เชื่อว่าคนส่วนใหญ่คงขาดทุนกันบรักโกรก
พอร์ตหุ้นของป้าฯ เองก็แดงฉานเลือดสาดขาดทุนหนักมากไม่แพ้กัน

เป็นช่วงที่มีหุ้นถูกเกลื่อนตลาดที่ใคร ๆ ก็อยากจะเข้าไป Shopping เก็บหุ้นถูกกัน
แต่ส่วนใหญ่ได้แต่นั่งทำตาปริบ ๆ รวมทั้งป้าฯ ซึ่งหมดกระสุนที่จะซื้อหุ้นถัวเฉลี่ยต้นทุนแล้ว
รายย่อยหรือเม่าอย่างเราก็จะเป็นเยี่ยงนี้เสมอที่มักจะไม่มีเงินซื้อหุ้นในวันแดงเดือด
โอกาสดี ๆ จึงเป็นของคนรวยหรือคนที่บริหารจัดการเงินได้ดีและรอคอยโอกาสเป็นเท่านั้น

ช่วงนั้นป้าฯ หงุดหงิดคิดทุกลมหายใจเข้าออกตลอดเวลาว่า
จะทำอย่างไรจึงจะหาเงินจากที่ไหนก็ได้เพื่อมา Shop หุ้นราคาถูก
สมบัติอื่นนอกจากบ้านที่ใช้สำหรับซุกหัวนอนแล้วก็มองไม่เห็นจะมีอะไรให้ขายได้
คิดแล้วคิดอีก คิดทุกวิถีทางจนหัวจะระเบิดก็คิดไม่ออก แง ๆๆ

แต่แล้ววันหนึ่งเหมือนตื่นจากความฝัน ป้าฯ ต้องร้องกรี๊ดดดดดดดดดดด
Ureka! เย้ ๆๆๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ในที่สุดป้าฯ ก็คิดออกแล้วว่าจะหาเงินมาจากไหน?
ก็สลากออมสิน 2 ล้านบาทที่ป้าฯ ได้เป็นมรดกชิ้นสุดท้ายยังไง
ป้าฯ แทบจะกราบฟ้าดินที่อยู่ ๆ ก็นึกถึงสมบัติชิ้นนี้ขึ้นมาได้

แต่ปัญหาคือสลากชุดนี้ยังไม่ครบกำหนดฝาก 3 ปี
ยังไม่มีสิทธิ์ถอนและยังเหลือระยะเวลาฝากอีก 53 วัน!

แล้วป้าฯ ก็มานั่งคิดคำนวณว่าถ้ารอให้สลากครบกำหนดอีก 53 วัน
ถึงตอนนั้นราคาหุ้นก็คงจะพากันพาเหรดขึ้นไปจนหมด ก็จะไม่ทันการแน่

ครั้นจะถอนสลากตอนนี้เลยนอกจากจะไม่ได้ดอกเบี้ยต่อหน่วยที่ 2.50 บาท
พลาดเงินดอกเบี้ยเมื่อครบกำหนด 40,000 หน่วย x 2.50 บาทคิดเป็นเงิน 1 แสนบาทแล้ว
ยังจะถูกหักเงินหากถอนก่อนครบ 3 ปีเหลือหน่วยละ 49.50 บาทจากต้นทุนหน่วยละ 50 บาทอีกด้วย

เท่ากับจะถูกหักเงิน 40,000x0.50= 20,000 บาทและจะชวดสิทธิ์รับดอกเบี้ยครบกำหนด 1 แสนบาท
รวมเป็นเงินที่จะต้องสูญเสียไปฟรี ๆ  120,000 บาท
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เอาไงนี่หว่า? เครียด ๆๆๆ โว๊ยยยยยย
ป้าฯ ไม่อยากสูญเสียสิทธิ์ประโยชน์ข้างต้นจำนวน 120,000 บาท
แต่ใจป้าฯ ตอนนั้นร้อนรนมากเพราะเห็นราคาหุ้นบนกระดานถูก ๆ วิ่งเยาะเย้ยผ่านหน้าจอไปมา
และพอก้มดูพอร์ตหุ้นตัวเองกลับแดงเดือดเลือดสาดน่าปวดตับเหลือเกิน

ความรู้สึกตอนนั้นอยากจะแปลงสลากออมสินจำนวน 2 ล้านบาท
ให้เป็นเงินสดในบัดดลจะได้นำไปซื้อหุ้นให้หายร้อนรนเสียที
และจะได้วัดกันไปเลยว่าจะหมู่หรือจ่า!

แล้วป้าฯ ก็จำได้ว่าเคยอ่านผ่าน ๆ เรื่องการนำสลากไปค้ำประกันกู้เงินได้ไรงี้
จึงโทรติดต่อเจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินสาขาที่ซื้อสลากเพื่อสอบถามรายละเอียด
และได้ความว่าป้าฯ สามารถนำสลากมากู้ได้ 95% ของยอดสลากที่อัตราดอกเบี้ย 4.66% ได้จริง ๆ

ในขณะเดียวกันถึงแม้สลากจะถูกยึดมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันโดยธนาคารแล้ว
เจ้าของสลากอย่างป้าฯ ก็ยังสามารถมีสิทธิ์ลุ้นถูกรางวัลได้อีกด้วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เฮ้ยยย จริงดิ?

ป้าฯ ไม่รอช้ารีบลนลานนำสลากออมสินมูลค่า 2 ล้านบาทไปทำเรื่องกู้ทันที
ธนาคารใช้เวลาดำเนินการไม่เกิน 2 ชั่วโมงก็โอนเงิน 1.9 ล้านบาทเข้าสมุดบัญชีออมสินของป้าฯ
โอ้วว พระเจ้าจอร์จ มันสุดยอดมากเลยยย!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

จากนั้นป้าฯ ก็เสกเงินเพิ่มอีก 1 แสนบาทเพื่อรวมเป็นตัวเลขกลม ๆ  2 ล้านบาท
แล้วโอนเงินเข้าพอร์ตหุ้นอย่างไว

ไม่น่าเชื่อว่าเช้าวันที่ป้าฯ โอนเงิน 2 ล้านบาทเข้าพอร์ตหุ้น
ในตอนบ่ายวันจันทร์ที่ 26 กันยายน 2554 ก็เกิดเหตุการณ์ Black Monday
หุ้นดิ่งนรกตกหนักมากกก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ป้าฯ ใช้เงินทั้งหมดทะยอยซื้อหุ้นหลายตัวเข้าพอร์ตตามภาพเท่าที่ยังมีข้อมูลอยู่
รวมเป็นยอดเงินประมาณการ 1,928,104 บาท (ยังไม่รวมเงินค่าคอมมิชชั่น)

ที่น่าอัศจรรย์มากคือปกติเงินของป้าฯ จะมีโอกาสอยู่นิ่ง ๆ ในพอร์ตนานสุดไม่เคยข้ามวัน
มาถึงวันนี้ป้าฯ ยังงงไม่หายว่าทำไมช่วงนั้นใจของป้าฯ จึงได้นิ่งเป็นน้ำแข็ง ผิดวิสัยได้ขนาดนี้?
ที่สามารถอดทนปล่อยให้เงินแช่อยู่ในพอร์ตได้นานหลายวันและทยอยซื้อหุ้นในวันที่ดัชนีต่ำตม
ในวันที่ 4 ตุลาคม 2554 ได้อย่างไรกัน?
หรือนี่มีเรื่องของ "ดวง" เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรืออย่างไร?

นี่คือรายชื่อหุ้นที่ป้าฯ ซื้อด้วยเงินกู้จากสลากออมสิน
ซึ่งเป็นที่มาของกำไรของหุ้นตัวละ 400-1,300% ที่ป้าฯ จะนำมาโม้ในตอนต่อ ๆ ไป

หุ้น JAS จำนวน 2 แสนหุ้น ๆ ละ 1.52 บาท (เป็นเงิน 304,000)
หุ้น TRUE จำนวน 3 แสนหุ้น ๆ ละ 2.94 บาท (เป็นเงิน 882,000 บาท)
หุ้น TRUE จำนวน 1 แสนหุ้น ๆ ละ 3.18 บาท (เป็นเงิน 318,000 บาท)
หุ้น PAO (NUSA) 2 แสนหุ้น ๆ ละ 0.41 บาท (เป็นเงิน 82,000 บาท)
หุ้น THANI จำนวน 65,200 หุ้น ๆ ละ 1.52 บาท (เป็นเงิน 99,104 บาท)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หุ้น GSTEL จำนวน 100,000 หุ้น ๆ ละ 0.43 บาท (เป็นเงิน 43,000 บาท)
และหุ้น AMATA จำนวน 25,000 ที่ราคาต่ำสุด 8.00 บาท (เป็นเงิน 200,000 บาท)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ฮั่นแน่! ยังจะมีหุ้นเน่าเปาบุ้นจิ้นติดโผเข้ารอบชิงกับเขาอีกด้วยแฮะ 555
นี่ถ้าป้าฯ มั่นใจมากเทโครมเงินทั้งหมดลงในหุ้นเน่าตัวนี้ตัวเดียว
ป่านนี้คงจะเละตุ้มเป๊ะอย่าบอกใครเลยสินะ หึหึ

หลังจากนั้นหุ้น Rebound ขึ้นเล็กน้อยแล้วลงต่อจนในวันที่ 5 ตุลาคม 2554
ดัชนีทำจุดต่ำสุดที่ 843.69 จุด พอร์ตหุ้นของป้าฯ ก็เละเป็นโจ๊กกกกอยู่ดี อิอิ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

บรรยากาศการลงทุนในตอนนั้นนักลงทุนส่วนใหญ่พร้อมใจกันถือเงินสดไว้เพราะคาดว่า
ตามสัญญาณทางกราฟเทคนิคตลาดหุ้นมีโอกาสลงต่อต่ำตมได้ถึง 660 จุด
จึงพากันนั่งรอเพื่อจะกลับเข้าไปซื้อหุ้นที่ราคาถูกกว่าหากดัชนีลงไป 600-700 จุดตามที่เชื่อจริง ๆ

ในขณะที่ “คุณป้าเม่า” ที่ยังไม่ประสีประสา ไม่รู้เรื่องกราฟในตอนนั้น
ได้กระโจนเข้าซื้อหุ้นตามอารมณ์ความรู้สึกล้วน ๆ ว่าราคาหุ้นลงมาถูกมากแล้ว
ที่สำคัญป้าฯ คิดแค่ว่าป้าฯ ซื้อหุ้นนะไม่ได้ซื้อ SET

ปรากฏว่าหลังจากเหตุการณ์วันปลั๊กหลุดและวันที่ตลาดหุ้นลงต่อเนื่อง
ดัชนีที่ดำดิ่งลงไปที่ 843.69 จุดได้กลายเป็นจุดต่ำสุดของรอบไปเสียแล้ว

ดัชนีตลาดหุ้นไม่ได้ลงไป 600-700 จุดตามที่หลายคนได้วิเคราะห์และคาดการณ์กัน
แต่กลับขึ้นต่อเนื่องและกลับมาปิดตลาดตอนสิ้นปี 2554 ที่ 1,025.32 จุด
ทิ้งชาวเม่ากลุ่มหนึ่งอ้าปากค้างกำเงินจนเปียกแฉะตกรถไม่ได้ซื้อหุ้นไปตามระเบียบ

สรุปแล้วเป็นโชคดีของป้าฯ ที่ไม่ได้ Panic ขายหุ้นตามคนอื่นแต่กลับซื้อสวน
อัดหุ้นมาเต็มปอดจนในช่วงที่ราคาหุ้นตกหนัก ๆ พอร์ตหุ้นติดลบแบบน่าปวดตับ
ป้าฯ ก็ยังกอดหุ้นต่อด้วยใจที่เต้นระทึกหวั่น ๆ กลัวว่าหุ้นจะทิ้งดิ่งลงเหวหนักไปอีก

แต่ในใจก็แอบคิดปลอบใจตัวเองว่าหุ้นในพอร์ตที่ป้าฯ ถืออยู่
และที่ซื้อเพิ่มในช่วงน้ำท่วมใหญ่ส่วนมากเป็นหุ้นที่พื้นฐานดียังมี Upside สูง
เพราะราคาได้ร่วงลงมาเยอะแล้วและป้าฯ ก็ได้ติดตามหุ้นเหล่านี้มาสักระยะหนึ่ง
รู้จักนิสัยพฤติกรรมของหุ้นพวกนี้ดีและเชื่อว่าราคาน่าจะลงมาในจุดที่ต่ำสุดแล้ว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่