รีวิวยื่นขอวีซ่าอเมริกาสุดหิน

เกิดอยากจะไปอเมริกาขึ้นมา มันก็ต้องไปขอวีซ่ากันก่อนครับ ถ้าได้ก็ไป ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถือซ่ะว่ามาเช็คโปรไฟล์ตัวเอง
สำหรับมนุษย์เงินเดือนบริษัทเล็กๆแห่งนึงในกรุงเทพฯ
เอกสารที่ผมได้เตรียมไปมีดังนี้

ขั้นตอนแรกเลยก็คือต้องเข้าไปกรอก DS-160  หาวิธีกรอกได้จาก google มีให้ศึกษาเพียบ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
** กรอกตามจริง ส่วนวันที่ไปถึง ก็คาดการณ์เอาครับ กรอกเสร็จก็ปริ้นออกมา จ่ายเงินค่าขอวีซ่า แล้วก็ปริ้นใบนัดสัมภาษณ์
ถ้ากรอกไม่เสร็จก็เซพไว้ก่อน แล้วกลับมากรอกใหม่ได้ครับ

หนังสือเดินทาง มีกี่เล่มพกไปให้หมด (ผมมี 2เล่ม)
** ผมเคยได้วีซ่าในกลุ่มเชงเก้นมาแล้วเมื่อ 2 ปี ที่แล้ว แล้วมีเที่ยวในแถบเอเซียประมาณนีง

สมุดบัญชี
** สมุด บช ผมไม่ค่อยได้อัพ เลยต้องขอ statement ย้อนหลัง 6เดือน

หนังสือรับรองการทำงาน
** เอกสารนี้ต้องเขียนเป็นภาษาอังกฤษ ระบุชื่อ ระยะเวลาการเป้นพนักงาน ระบุวันลา และกลับมาทำงานเมื่อไหร่
พร้อมตราประทับเพื่อความน่าเชื่อถือ

สำเนาบัตรประชาชนกับสำเนาทะเบียนบ้าน
** อย่างละ 1ฉบับ ผมไม่ได้แปล และไม่ได้เซนต์รับรองสำเนาถูกต้อง

ผมได้คิวนัดสัมภาษณ์ในวันที่ 4กย.2018 เวลา 8.45 น. สถานที่ก็ตรงสถานทูตอเมริกา แถวถนนวิทยุ


ผมไปถึงตอน 8โมงเช้า ก่อนเวลานัด 45 นาทีคิดว่าคงพอ เจ้าหน้าที่จะขอดูใบนัด และพาสปอร์ตตัวจริง แล้วก็หนีบด้วยคลิปบอกด้วยว่าห้ามทำหาย
แล้วก็ไปยืนต่อคิวซึ่งแถวยาวมาก  เกือบ 9โมงแล้ว(ซึ่งเลยเวลานัด 8.45)ผมยังไม่ได้ผ่านเข้าไปข้างในเลย
ถามเจ้าหน้าที่(คนไทย) เค้าบอกว่าไม่เป็นไร เพราะข้างในก็ยังมีคิวก่อนผมที่ยังไม่ได้สัมภาษณ์
เจ้าหน้าที่คนนี้คงจะเห็นว่าผมมีโทรศัพท์มากกว่าหนึ่งเครื่อง เลยบอกผมว่าโทรศัพท์นำเข้าไปข้างในได้แค่เครื่องเดียวเท่านั้น และต้องปิดเครื่องด้วย
อีกเครื่องต้องฝากไว้ที่เค้าท์เตอร์ตอนตรวจเท่านั้น บางคนสะพายเป้ไปก็ต้องฝากครับ ร่มก็ต้องฝาก กระเป๋าถือใบเล็กๆเข้าได้
แฟลชไดร์ฟ power bank ก็ห้ามเข้านะครับ ไม่จำเป็นไม่ต้องแบกไปครับ

หลังจากผ่านขั้นตอน security check แล้วก็ต้องไปนั่งรอคิวเรียกตามช่วงเวลานัด ตอนที่ผมเข้าไปนั่งรอช่วง 9.15 น. เพิ่งจะถึงคิวสำหรับรอบ 8โมงเองครับ
กว่าจะถึงคิวผมคงอีกสักพัก  จนถึงคิวรอบของผม(8.45) ก็ไปต่อคิวยื่นพาสปอร์ต เจ้าหน้าที่จะติดสติ้กเกอร์ที่มีเลข ems มาให้ พร้อมระบุถึงที่อยู่สำหรับจัดส่งพาสปอร์ตกลับมาหาเรา(ในกรณีวีซ่าผ่านนะครับ) ตรงนี้เราต้องจดเลข ems ไว้ด้วยนะครับ เผื่อจะได้เช๊คว่าพาสปอร์ตกลับมาหาเรารึยัง

จากนี้ก็ได้เวลาระทึก เดินเข้าไปในอาคารจะเห็นเป็นช่องๆ ประมาณ 10ช่อง แต่ละช่องจะมีกระจกกั้น และมีเจ้าหน้าที่หลังกระจกสื่อสารผ่านไมค์
จากที่อ่านรีวิวคนอื่นมาคิดเองว่าไม่ได้น่ากลัว แต่ ณ ตอนไปยืนต่อคิว อารมย์มันเหมือนตอนเป็นเด็กไปยืนต่อคิวฉีดยา มันหายใจไม่ทั่วท้อง
ตอนนี้เริ่มระทึกแล้วละครับ ถึงคิวผมเจ้าหน้าที่(คนไทย)เรียกไป ผมก็ยื่นเอกสารทั้งหมดให้ไป พี่แกก็พลิกไปพลิกมา ผมงี้ยืนเอาแขนชันกับโต๊ะเตรียมตอบคำถามเต็มที่
คุณเจ้าหน้าที่ : รูปนี้ถ่ายมานานรึยังคะ (พร้อมชี้ไปในรูปที่สแกนอยู่ในเอกสาร ds-160)
ผม : ถ่ายเมื่อตอนหลังวันแม่ครับ (ผมตอบแบบทันที และฉะฉาน)
คุณเจ้าหน้าที่ : สแกนนิ้วคะ
ผม : แค่นี้หรอครับ
คุณเจ้าหน้าที่ : ค่ะ แล้วไปรอต่อคิวตรงนู้น รอสัมภาษณ์กับท่านกงศุลนะคะ
ขั้นตอนนี้คิดว่าคงเป็นการตรวจเอกสารกับเจ้าหน้าที่(คนไทย)

ห่างกันไม่มากครับ เพราะอยู่ทางซ้าย เห็นเจ้าหน้าที่(ต่างชาติ) มี 4 ตู้ นี่ละสิครับระทึกของจริง
อารมย์แบบเดิมมันมาอีกแล้ว ท้องใส้ปั่นป่วน หายใจเร็ว แต่มันก็ไม่มีเวลาให้ทำใจแล้วครับ เสียง Next ออกมาจากตู้ (เป็นแหม่มผิวสี)
เห็นคนอื่นยื่นแต่พาสปอร์ตให้ ถึงคิวผมมือมันไปเอง ยื่นพาสปอร์ตลงในช่องเล็กที่มีกระจกกั้น เจ้าหน้าที่(แหม่มผิวสี) ก็พลิกดูไปมาหลายหน้า
แล้วก็คลิกในคอมดูไปก็พิมพ์ไป
ท่านกงศุล(แหม่มผิวสี) : How long have you been working this company? พูดเร็วมาก ฟังได้ว่า  how long ... company  นี่แหละ
ผม : รีบตอบไปเลย More than 10 years
ท่านกงศุล(แหม่มผิวสี) : Ok wait ..... (อะไรก็ไม่รู้เพราะเค้าพูดพร้อมกับหันหลังหย่อนพาสปอร์ตผมลงไปในกล่อง)

ที่อ่านรีวิวมาจำได้ว่าถ้าเค้าไม่คืนพาสปอร์ตแสดงว่าผ่าน

สรุปว่าเอกสารที่เตรียมไปเจ้าหน้าที่คนไทยเปิดดู และคงจะตรวจสอบจากข้อมูลที่กรอกใน DS-160
ถ้าเจ้าหน้าที่ติดใจตรงไหนคงจะสอบถามเราตรงนั้นเลย แต่เคสของผมคงอาจไม่มีไรที่ติดใจเลยไม่ค่อยมีคำถาม

ขั้นตอนต่อไปผมคงจะรอเล่มพาสปอร์ตส่งกลับมา และผมเตรียมจะไปขอแคนนาดาอีกประเทศนึง เพราะอยากไปดูน้ำตกไนแองกาล่าที่ฝั่งแคนนาดาด้วย

ถือเป็นเรื่องราวดีๆฉลองในวันเกิดผมพอดีครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่