“คนเราทุกคน
มีทั้งด้านมืดแล้วก็ด้านสว่าง
หน้าที่ของเราก็คือ
ใช้หัวใจด้านสว่างให้มาก ๆ
พอตัวเราเรืองแสง
เราก็ใช้แสงนั้นไปส่องนำทางให้กับผู้อื่น
พอคนอื่นมีความสุข
แสงจากตัวเค้า
ก็จะส่องกลับมาที่ตัวเรา
เราก็จะสว่างยิ่งขึ้น
มีความสุขมากขึ้นเรื่อย ๆ
นี่แหละเป็นทฤษฎีของแสงสว่าง
เป็นทฤษฎีของความสุข”
ใน EP ที่ 5 บทสนทนาหนึ่งที่น่าจะตรึงใจคนดูอยู่ไม่น้อยก็คือตอนที่ครูอารีย์อธิบายถึงทฤษฎีของแสงสว่างให้คุณเยี่ยมฟัง
การฟังทฤษฎีของแสงสว่างที่ครูอารีย์พูดถึง ทำให้เราเข้าใจเจตนารมณ์ของละครเรื่องนี้ได้ดียิ่งขึ้น เพราะถ้าเราสังเกตพฤติกรรมของตัวละครแต่ละตัวอย่างละเอียด เราจะเห็นว่าทุกตัวล้วนมีมิติทั้งด้านดีและด้านร้าย สารที่นักเขียนตั้งใจจะสื่อผ่านตัวละครทุกตัวแม้แต่ตัวที่มีบทบาทน้อยที่สุดในเรื่องก็คือประเด็นนี้
“ทฤษฎีของแสงสว่าง”
คนเราทุกคนมีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง แต่ปัญหาของตัวละครในเรื่องก็คือ พวกเขาหาแสงสว่างของตัวเองไม่พบ จึงทำให้ชีวิตต้องประสบกับความมืดดำในเฉดสีที่แตกต่างกันไป
ปิ่นมุกกับจินดา :
แสงที่ไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นแสง
ปิ่นมุกกับจินดา เป็นผู้หญิงที่ร่ำรวยทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ แต่ชีวิตกลับไร้ความสุขและรู้สึกว่าตัวเองช่างไร้ค่า
เธอรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าเพราะไม่ได้รับความรักจากผู้ชายงั้นเหรอ ? เปล่าเลย เราว่าเธอรู้สึกแบบนั้นเพราะไม่มีใครยอมรับในสิ่งที่เธอเป็นมากกว่า
จินดาเป็นผู้หญิงอ่อนหวานที่มีความเป็นศิลปินสูง เธอมีพรสวรรค์และใฝ่ฝันจะเป็นนักดนตรีในวงออเคสตร้า แต่พ่อของเธอมองว่ามันเป็นอาชีพที่สร้างความมั่งคั่งไม่ได้ เธอจำต้องลดคุณค่าของสิ่งที่เป็นชีวิตจิตใจของเธอลงให้เหลือเพียงแค่งานอดิเรก จินดาจึงกลายเป็นคนขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง เพราะสิ่งที่เธออยากเป็นมันไม่มีความหมายสำหรับคนใกล้ชิด
เยี่ยมยุทธเป็นคนแรกที่มองเห็นแสงสว่างที่เธอมี และยิ่งกว่าการมองเห็นก็คือ เขาทั้งช่วยเหลือและสนับสนุนให้เธอได้แสดงด้านที่น่าทึ่งนี้ให้คนอื่นเห็นด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอจึงปล่อยใจให้หลงรักเขาอย่างง่ายดาย ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเขาเป็นคนรักของเพื่อนตัวเอง
ปิ่นมุกเป็นผู้หญิงที่ภายนอกดูเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองสูงและแสนจะสุขสมบูรณ์ แต่ภายในเธอทั้งเปราะบางและว่างเปล่า เรารู้สึกว่าปิ่นมุกเป็นตัวละครที่น่าสงสารที่สุดในเรื่องแล้ว น่าสงสารยิ่งกว่าพระเอกนางเอกอีก เพราะต่อให้เยี่ยมยุทธจะมีอดีตที่เจ็บปวดหรือดาวเหนือจะมีชีวิตที่แร้นแค้นขนาดไหน แต่ทั้งคู่ก็ยังมองเห็นปัญหาที่ตัวเองมีและรู้ว่าต้องเดินไปทางไหนจึงจะพบทางออก แต่ปิ่นมุกไม่รู้เลย เธอรู้แค่ว่าตัวเองเจ็บปวดไปหมดโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพราะอะไร
เธอเป็นคนที่แสนเฉิดฉายในวงสังคม มีตำแหน่งแห่งที่ที่ชัดเจนและสูงส่งในสายตาคนอื่น แต่กลับไร้ตัวตนในสายตาของแม่ตัวเอง ทุกอย่างที่เธอมี ทุกสิ่งที่เธอเป็น ไม่เคยมีมูลค่าพอที่จะได้รับคำชื่นชมจากผู้เป็นแม่เลยสักครั้ง ปิ่นมุกจึงเป็นผู้หญิงราคาแพงสำหรับคนอื่นแต่เป็นคนที่ไร้ราคาเหลือเกินสำหรับตัวเอง
เยี่ยมยุทธอีกนั่นแหละที่เป็นคนมองเห็นแสงที่เธอมี เฉดสีที่เธอเป็น เขาช่วยให้คนที่ยืนอยู่คนละขั้วโลกอย่างเธอกับแม่ได้มาพบกันครึ่งทาง เป็นครึ่งทางที่ทั้งสองคนต่างพอใจ โดยเฉพาะปิ่นมุก ไอเดียหลุดโลกที่เคยโดนแม่ด่า แต่พอเยี่ยมยุทธมาช่วยเปลี่ยนวิธีการนำเสนอ เธอกลับได้รับการยอมรับและเอาชนะจุดยืนของแม่ตัวเองได้ เธอกลายเป็นคนมีตัวตน ไม่ใช่ในฐานะลูกสาวเจ้าของธนาคารผู้ทรงอิทธิพล แต่ในฐานะที่เธอเป็น “ปิ่นมุก” ผู้บริหารยุคใหม่ที่ไม่มีวันเหมือนใครต่างหาก
“จู่ๆ วันนี้ฉันก็ได้สิ่งนั้นมา ความรู้สึกมันท่วมหัวใจของฉันตั้งแต่เท้าถึงหัว”
“อะไรคะ”
“ความสุข นี่เองที่เรียกว่าความสุข”
ฉากที่ปิ่นมุกวิ่งขึ้นไปชมวิวบนดาดฟ้า ยืนหมุนตัวปลาบปลื้มเสมือนได้เหยียบโลกทั้งใบไว้ใต้ฝ่าเท้า เป็นฉากที่สะเทือนใจเรามากจนแอบน้ำตาซึม เพราะตั้งแต่รู้จักปิ่นมุก เราไม่เคยเห็นตัวละครตัวนี้มีความสุขเลย ทั้ง ๆ ที่เธอถูกวางให้เป็นตัวร้ายของเรื่อง แต่เรากลับเกลียดเธอไม่ลง และหวังไว้ว่าเมื่อถึงปลายทางของเรื่อง แสงในตัวเธอจะไม่ริบหรี่ไปเสียก่อน เราหวังว่าเธอจะมีตอนจบที่สวยงาม เพราะเธอก็มีด้านที่สวยงามไม่ต่างจากตัวละครตัวอื่นเลย
ดาวเหนือ :
แสงอ่อนแรงที่ต้องแข่งกับเงามืด
ในเรื่องดวงใจในไฟหนาว เราจะได้เห็นตัวละครที่หัวใจบิดเบี้ยวด้วยสาเหตุแตกต่างกันไป คนเดียวที่ดูเหมือนจะมั่นคงที่สุด และดูเป็นมนุษย์ปกติธรรมดาที่สุดท่ามกลางคนแปลกประหลาดก็คือดาวเหนือนี่แหละ
เธอมีนายใหญ่ที่เชื่อในอำนาจของเงิน มีนายน้อยที่เป็นคุณหนูเอาแต่ใจ มีพ่อขี้เหล้า แม่บ้าหวย พี่ชายบ้าสมบัติ เพื่อนบ้าผู้ชาย แล้วพอเธอจะชอบผู้ชายสักคน ผู้ชายคนนั้นก็ดันแปรปรวน ไม่อยู่กับร่องกับรอยอีกต่างหาก
เราดูละครแล้วก็ชื่นชมดาวเหนือมากที่เธอหนักแน่นในความดีงามได้โดยไม่เป็นบ้าไปเสียก่อน ด้านสว่างของเธอก็เหมือนแสงดาวที่พยายามนำทางทุกคนให้พ้นจากจิตใจที่มืดมิด
แต่แสงดาวก็ยังเป็นแค่แสงดาว
สุกใสและสูงค่า แต่ทว่าไม่มีอำนาจ
สิ่งที่ดาวเหนือต้องเผชิญ ได้สะท้อนความจริงของสังคมที่น่าปวดใจว่า เสียงของคนดีมักไม่มีราคาถ้าไม่มีเงิน
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมดาวเหนือต้องมีเยี่ยมยุทธอยู่ใกล้ ๆ เพราะถึงเขาไม่มีแสง แต่ก็มีบางอย่างร้อนแรงเหมือนดวงตะวันที่ดึงดูดทุกคนให้หันเข้าหาเขาได้
ดังนั้นถ้าดาวเหนืออยากให้ทุกคนหยุดฟัง เธอต้องมีความร้อนดั่งดวงตะวันอยู่ข้างหลังเธอด้วย เธอจึงต้องมีคนแบบเยี่ยมยุทธคอยช่วยเหลือ แสงดาวอย่างเธอจึงจะทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์
เยี่ยมยุทธ :
ดวงไฟร้อนแรงที่ทำแสงของตัวเองหายไป
ถ้าเราสังเกตละครเรื่องนี้ดี ๆ ตั้งแต่ต้น เราจะพบว่าคนที่ช่วยให้ตัวละครอื่นหลุดพ้นจากปัญหาไม่ใช่ดาวเหนือแต่เป็นคุณเยี่ยม เพราะเขาเป็นคนฉลาด อ่านเกมขาดและมองคนออก เขาไม่ใช่คนเลวร้าย เขาจริงใจแม้แต่กับคนที่ตัวเองกำลังหลอกใช้ด้วยซ้ำ
เขาไม่ใช่หลุมดำ ...
แต่เป็นแค่คนที่ทำแสงของตัวเองหายไป
ด้วยความทรงจำที่เลวร้ายในอดีต ความเปล่าเปลี่ยวที่ต้องเผชิญระหว่างเติบโต ความยอกย้อนที่ต้องเรียนรู้เพื่อเอาตัวรอด ทำให้เขาต้องแฝงตัวอยู่ในความมืดมิดเพื่อปกปิดความอ่อนแอของตัวเอง
และเขาปกปิดได้แนบเนียนเสียจนเผลอคิดว่าตัวเองเป็นคนแบบนั้นไปแล้วจริง ๆ
การอยู่ใกล้คนที่มีด้านสว่างที่ชัดเจนเช่นดาวเหนือ จึงช่วยให้เขาได้ตามหาแสงที่หายไปของตัวเองคืนมาได้ทีละน้อย ตัวตนของเขาค่อย ๆ สว่างขึ้น ตามระยะก้าวที่เข้าใกล้ผู้หญิงที่เขารัก
ความรักจึงทำให้เรามองเห็นด้านสว่างทั้งของตัวเองและของผู้อื่น และช่วยกลืนกินด้านมืดในหัวใจให้มีพื้นที่น้อยลง
ไม่ว่าความรักครั้งนั้นจะสมหวังหรือไม่ แต่ถ้าเราใช้หัวใจด้านสว่างของเรารัก ต่อให้ต้องจบแบบมีน้ำตา ตัวตนที่ไม่ถูกรักของเราก็ยังมีค่าอยู่ดี
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในทฤษฎีแสงสว่างของครูอารีย์ คือทฤษฎีความมืดที่เหมือนเป็นด้านคู่ขนานของทฤษฎีนี้
ความเป็นคนดีที่อยู่ท่ามกลางมนุษย์ใจร้ายของดาวเหนือ ทำให้เราเรียนรู้ว่า ความแข็งแกร่งของด้านมืดและด้านสว่างในใจเรา มีผลต่อปฏิกิริยาสะท้อนกลับ
ถ้าด้านมืดของเขาแข็งแกร่งกว่าด้านสว่างของเรา สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ ความมืดของเขาจะกลืนกินแสงสว่างของเราเอง
ด้วยทิศทางเดียวกันกับทฤษฎีของแสงสว่าง ทฤษฎีของความมืดก็ทำงานคล้าย ๆ กัน มันจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม เราควรพาตัวเราไปอยู่ในที่ที่มีแต่คนใจดีมากกว่าคนใจร้าย
และถ้าเราไม่สามารถพาตัวเองหนีออกจากวงล้อมที่มืดมิดของคนแบบนั้นได้ ทางออกของเราคือ ต้องหาคนที่มีแสงสว่างที่แข็งแรงมาอยู่ใกล้ตัว นั่นคือเหตุผลว่าทำไม คนอย่างเยี่ยมยุทธถึงต้องอยู่ใกล้คนหลงทางทุกคน
เพราะเขาแข็งแกร่งพอที่จะนำทางคนอื่น
แต่นั่นต้องหลังจากที่ ... เขาค้นพบด้านสว่างที่ตัวเองทำหายไปแล้วเท่านั้น
คนเราทุกคนมีทั้งด้านมืดแล้วก็ด้านสว่าง
มีทั้งด้านที่แข็งแกร่งแล้วก็ด้านที่อ่อนแอ
และมีทั้งด้านที่ชนะแน่ ๆ แล้วก็ด้านที่แพ้ทาง
เราเลือกรักคนผิดอยู่หรือไม่ บางทีก็อาจใช้แนวคิดนี้ประเมินดูได้
ความรักกับคนที่ถูกต้องคู่ควร จะต้องทำให้เราใช้ด้านสว่างมากกว่าด้านมืด ด้านแข็งแกร่งมากกว่าอ่อนแอ และไม่มีคนแพ้หรือคนชนะ
ถ้ารักใครแล้วนับวันหัวใจยิ่งร้ายกาจ เราอาจต้องทบทวนดูอีกที ว่าความรักครั้งนี้มัน “ใช่” ความรักที่ดีแล้วหรือยัง
คืนวันจันทร์-อังคารนี้ ลองมาเรียนรู้การตามหาความรักที่เหมาะพอดีกับใจของเรา ผ่านเรื่องเล่าของตัวละครใน “ดวงใจในไฟหนาว” ด้วยกันนะคะ 💕💕💕
... เพราะเราล้วนต่างมีแสงสว่างในตัวเอง.
**~ ดวงใจในไฟหนาว ~** ... เราล้วนต่างมีแสงสว่างในตัวเอง
มีทั้งด้านมืดแล้วก็ด้านสว่าง
หน้าที่ของเราก็คือ
ใช้หัวใจด้านสว่างให้มาก ๆ
พอตัวเราเรืองแสง
เราก็ใช้แสงนั้นไปส่องนำทางให้กับผู้อื่น
พอคนอื่นมีความสุข
แสงจากตัวเค้า
ก็จะส่องกลับมาที่ตัวเรา
เราก็จะสว่างยิ่งขึ้น
มีความสุขมากขึ้นเรื่อย ๆ
นี่แหละเป็นทฤษฎีของแสงสว่าง
เป็นทฤษฎีของความสุข”
ใน EP ที่ 5 บทสนทนาหนึ่งที่น่าจะตรึงใจคนดูอยู่ไม่น้อยก็คือตอนที่ครูอารีย์อธิบายถึงทฤษฎีของแสงสว่างให้คุณเยี่ยมฟัง
การฟังทฤษฎีของแสงสว่างที่ครูอารีย์พูดถึง ทำให้เราเข้าใจเจตนารมณ์ของละครเรื่องนี้ได้ดียิ่งขึ้น เพราะถ้าเราสังเกตพฤติกรรมของตัวละครแต่ละตัวอย่างละเอียด เราจะเห็นว่าทุกตัวล้วนมีมิติทั้งด้านดีและด้านร้าย สารที่นักเขียนตั้งใจจะสื่อผ่านตัวละครทุกตัวแม้แต่ตัวที่มีบทบาทน้อยที่สุดในเรื่องก็คือประเด็นนี้
“ทฤษฎีของแสงสว่าง”
คนเราทุกคนมีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง แต่ปัญหาของตัวละครในเรื่องก็คือ พวกเขาหาแสงสว่างของตัวเองไม่พบ จึงทำให้ชีวิตต้องประสบกับความมืดดำในเฉดสีที่แตกต่างกันไป
แสงที่ไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นแสง
ปิ่นมุกกับจินดา เป็นผู้หญิงที่ร่ำรวยทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ แต่ชีวิตกลับไร้ความสุขและรู้สึกว่าตัวเองช่างไร้ค่า
เธอรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าเพราะไม่ได้รับความรักจากผู้ชายงั้นเหรอ ? เปล่าเลย เราว่าเธอรู้สึกแบบนั้นเพราะไม่มีใครยอมรับในสิ่งที่เธอเป็นมากกว่า
จินดาเป็นผู้หญิงอ่อนหวานที่มีความเป็นศิลปินสูง เธอมีพรสวรรค์และใฝ่ฝันจะเป็นนักดนตรีในวงออเคสตร้า แต่พ่อของเธอมองว่ามันเป็นอาชีพที่สร้างความมั่งคั่งไม่ได้ เธอจำต้องลดคุณค่าของสิ่งที่เป็นชีวิตจิตใจของเธอลงให้เหลือเพียงแค่งานอดิเรก จินดาจึงกลายเป็นคนขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง เพราะสิ่งที่เธออยากเป็นมันไม่มีความหมายสำหรับคนใกล้ชิด
เยี่ยมยุทธเป็นคนแรกที่มองเห็นแสงสว่างที่เธอมี และยิ่งกว่าการมองเห็นก็คือ เขาทั้งช่วยเหลือและสนับสนุนให้เธอได้แสดงด้านที่น่าทึ่งนี้ให้คนอื่นเห็นด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอจึงปล่อยใจให้หลงรักเขาอย่างง่ายดาย ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเขาเป็นคนรักของเพื่อนตัวเอง
ปิ่นมุกเป็นผู้หญิงที่ภายนอกดูเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองสูงและแสนจะสุขสมบูรณ์ แต่ภายในเธอทั้งเปราะบางและว่างเปล่า เรารู้สึกว่าปิ่นมุกเป็นตัวละครที่น่าสงสารที่สุดในเรื่องแล้ว น่าสงสารยิ่งกว่าพระเอกนางเอกอีก เพราะต่อให้เยี่ยมยุทธจะมีอดีตที่เจ็บปวดหรือดาวเหนือจะมีชีวิตที่แร้นแค้นขนาดไหน แต่ทั้งคู่ก็ยังมองเห็นปัญหาที่ตัวเองมีและรู้ว่าต้องเดินไปทางไหนจึงจะพบทางออก แต่ปิ่นมุกไม่รู้เลย เธอรู้แค่ว่าตัวเองเจ็บปวดไปหมดโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพราะอะไร
เธอเป็นคนที่แสนเฉิดฉายในวงสังคม มีตำแหน่งแห่งที่ที่ชัดเจนและสูงส่งในสายตาคนอื่น แต่กลับไร้ตัวตนในสายตาของแม่ตัวเอง ทุกอย่างที่เธอมี ทุกสิ่งที่เธอเป็น ไม่เคยมีมูลค่าพอที่จะได้รับคำชื่นชมจากผู้เป็นแม่เลยสักครั้ง ปิ่นมุกจึงเป็นผู้หญิงราคาแพงสำหรับคนอื่นแต่เป็นคนที่ไร้ราคาเหลือเกินสำหรับตัวเอง
เยี่ยมยุทธอีกนั่นแหละที่เป็นคนมองเห็นแสงที่เธอมี เฉดสีที่เธอเป็น เขาช่วยให้คนที่ยืนอยู่คนละขั้วโลกอย่างเธอกับแม่ได้มาพบกันครึ่งทาง เป็นครึ่งทางที่ทั้งสองคนต่างพอใจ โดยเฉพาะปิ่นมุก ไอเดียหลุดโลกที่เคยโดนแม่ด่า แต่พอเยี่ยมยุทธมาช่วยเปลี่ยนวิธีการนำเสนอ เธอกลับได้รับการยอมรับและเอาชนะจุดยืนของแม่ตัวเองได้ เธอกลายเป็นคนมีตัวตน ไม่ใช่ในฐานะลูกสาวเจ้าของธนาคารผู้ทรงอิทธิพล แต่ในฐานะที่เธอเป็น “ปิ่นมุก” ผู้บริหารยุคใหม่ที่ไม่มีวันเหมือนใครต่างหาก
“จู่ๆ วันนี้ฉันก็ได้สิ่งนั้นมา ความรู้สึกมันท่วมหัวใจของฉันตั้งแต่เท้าถึงหัว”
“อะไรคะ”
“ความสุข นี่เองที่เรียกว่าความสุข”
ฉากที่ปิ่นมุกวิ่งขึ้นไปชมวิวบนดาดฟ้า ยืนหมุนตัวปลาบปลื้มเสมือนได้เหยียบโลกทั้งใบไว้ใต้ฝ่าเท้า เป็นฉากที่สะเทือนใจเรามากจนแอบน้ำตาซึม เพราะตั้งแต่รู้จักปิ่นมุก เราไม่เคยเห็นตัวละครตัวนี้มีความสุขเลย ทั้ง ๆ ที่เธอถูกวางให้เป็นตัวร้ายของเรื่อง แต่เรากลับเกลียดเธอไม่ลง และหวังไว้ว่าเมื่อถึงปลายทางของเรื่อง แสงในตัวเธอจะไม่ริบหรี่ไปเสียก่อน เราหวังว่าเธอจะมีตอนจบที่สวยงาม เพราะเธอก็มีด้านที่สวยงามไม่ต่างจากตัวละครตัวอื่นเลย
แสงอ่อนแรงที่ต้องแข่งกับเงามืด
ในเรื่องดวงใจในไฟหนาว เราจะได้เห็นตัวละครที่หัวใจบิดเบี้ยวด้วยสาเหตุแตกต่างกันไป คนเดียวที่ดูเหมือนจะมั่นคงที่สุด และดูเป็นมนุษย์ปกติธรรมดาที่สุดท่ามกลางคนแปลกประหลาดก็คือดาวเหนือนี่แหละ
เธอมีนายใหญ่ที่เชื่อในอำนาจของเงิน มีนายน้อยที่เป็นคุณหนูเอาแต่ใจ มีพ่อขี้เหล้า แม่บ้าหวย พี่ชายบ้าสมบัติ เพื่อนบ้าผู้ชาย แล้วพอเธอจะชอบผู้ชายสักคน ผู้ชายคนนั้นก็ดันแปรปรวน ไม่อยู่กับร่องกับรอยอีกต่างหาก
เราดูละครแล้วก็ชื่นชมดาวเหนือมากที่เธอหนักแน่นในความดีงามได้โดยไม่เป็นบ้าไปเสียก่อน ด้านสว่างของเธอก็เหมือนแสงดาวที่พยายามนำทางทุกคนให้พ้นจากจิตใจที่มืดมิด
แต่แสงดาวก็ยังเป็นแค่แสงดาว
สุกใสและสูงค่า แต่ทว่าไม่มีอำนาจ
สิ่งที่ดาวเหนือต้องเผชิญ ได้สะท้อนความจริงของสังคมที่น่าปวดใจว่า เสียงของคนดีมักไม่มีราคาถ้าไม่มีเงิน
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมดาวเหนือต้องมีเยี่ยมยุทธอยู่ใกล้ ๆ เพราะถึงเขาไม่มีแสง แต่ก็มีบางอย่างร้อนแรงเหมือนดวงตะวันที่ดึงดูดทุกคนให้หันเข้าหาเขาได้
ดังนั้นถ้าดาวเหนืออยากให้ทุกคนหยุดฟัง เธอต้องมีความร้อนดั่งดวงตะวันอยู่ข้างหลังเธอด้วย เธอจึงต้องมีคนแบบเยี่ยมยุทธคอยช่วยเหลือ แสงดาวอย่างเธอจึงจะทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์
ดวงไฟร้อนแรงที่ทำแสงของตัวเองหายไป
ถ้าเราสังเกตละครเรื่องนี้ดี ๆ ตั้งแต่ต้น เราจะพบว่าคนที่ช่วยให้ตัวละครอื่นหลุดพ้นจากปัญหาไม่ใช่ดาวเหนือแต่เป็นคุณเยี่ยม เพราะเขาเป็นคนฉลาด อ่านเกมขาดและมองคนออก เขาไม่ใช่คนเลวร้าย เขาจริงใจแม้แต่กับคนที่ตัวเองกำลังหลอกใช้ด้วยซ้ำ
เขาไม่ใช่หลุมดำ ...
แต่เป็นแค่คนที่ทำแสงของตัวเองหายไป
ด้วยความทรงจำที่เลวร้ายในอดีต ความเปล่าเปลี่ยวที่ต้องเผชิญระหว่างเติบโต ความยอกย้อนที่ต้องเรียนรู้เพื่อเอาตัวรอด ทำให้เขาต้องแฝงตัวอยู่ในความมืดมิดเพื่อปกปิดความอ่อนแอของตัวเอง
และเขาปกปิดได้แนบเนียนเสียจนเผลอคิดว่าตัวเองเป็นคนแบบนั้นไปแล้วจริง ๆ
การอยู่ใกล้คนที่มีด้านสว่างที่ชัดเจนเช่นดาวเหนือ จึงช่วยให้เขาได้ตามหาแสงที่หายไปของตัวเองคืนมาได้ทีละน้อย ตัวตนของเขาค่อย ๆ สว่างขึ้น ตามระยะก้าวที่เข้าใกล้ผู้หญิงที่เขารัก
ความรักจึงทำให้เรามองเห็นด้านสว่างทั้งของตัวเองและของผู้อื่น และช่วยกลืนกินด้านมืดในหัวใจให้มีพื้นที่น้อยลง
ไม่ว่าความรักครั้งนั้นจะสมหวังหรือไม่ แต่ถ้าเราใช้หัวใจด้านสว่างของเรารัก ต่อให้ต้องจบแบบมีน้ำตา ตัวตนที่ไม่ถูกรักของเราก็ยังมีค่าอยู่ดี
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในทฤษฎีแสงสว่างของครูอารีย์ คือทฤษฎีความมืดที่เหมือนเป็นด้านคู่ขนานของทฤษฎีนี้
ความเป็นคนดีที่อยู่ท่ามกลางมนุษย์ใจร้ายของดาวเหนือ ทำให้เราเรียนรู้ว่า ความแข็งแกร่งของด้านมืดและด้านสว่างในใจเรา มีผลต่อปฏิกิริยาสะท้อนกลับ
ถ้าด้านมืดของเขาแข็งแกร่งกว่าด้านสว่างของเรา สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ ความมืดของเขาจะกลืนกินแสงสว่างของเราเอง
ด้วยทิศทางเดียวกันกับทฤษฎีของแสงสว่าง ทฤษฎีของความมืดก็ทำงานคล้าย ๆ กัน มันจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม เราควรพาตัวเราไปอยู่ในที่ที่มีแต่คนใจดีมากกว่าคนใจร้าย
และถ้าเราไม่สามารถพาตัวเองหนีออกจากวงล้อมที่มืดมิดของคนแบบนั้นได้ ทางออกของเราคือ ต้องหาคนที่มีแสงสว่างที่แข็งแรงมาอยู่ใกล้ตัว นั่นคือเหตุผลว่าทำไม คนอย่างเยี่ยมยุทธถึงต้องอยู่ใกล้คนหลงทางทุกคน
เพราะเขาแข็งแกร่งพอที่จะนำทางคนอื่น
แต่นั่นต้องหลังจากที่ ... เขาค้นพบด้านสว่างที่ตัวเองทำหายไปแล้วเท่านั้น
คนเราทุกคนมีทั้งด้านมืดแล้วก็ด้านสว่าง
มีทั้งด้านที่แข็งแกร่งแล้วก็ด้านที่อ่อนแอ
และมีทั้งด้านที่ชนะแน่ ๆ แล้วก็ด้านที่แพ้ทาง
เราเลือกรักคนผิดอยู่หรือไม่ บางทีก็อาจใช้แนวคิดนี้ประเมินดูได้
ความรักกับคนที่ถูกต้องคู่ควร จะต้องทำให้เราใช้ด้านสว่างมากกว่าด้านมืด ด้านแข็งแกร่งมากกว่าอ่อนแอ และไม่มีคนแพ้หรือคนชนะ
ถ้ารักใครแล้วนับวันหัวใจยิ่งร้ายกาจ เราอาจต้องทบทวนดูอีกที ว่าความรักครั้งนี้มัน “ใช่” ความรักที่ดีแล้วหรือยัง
คืนวันจันทร์-อังคารนี้ ลองมาเรียนรู้การตามหาความรักที่เหมาะพอดีกับใจของเรา ผ่านเรื่องเล่าของตัวละครใน “ดวงใจในไฟหนาว” ด้วยกันนะคะ 💕💕💕
... เพราะเราล้วนต่างมีแสงสว่างในตัวเอง.