ปัญหาทางบ้าน: อยู่ยังไงให้มีความสุขกับพ่อคะ

ตามหัวเรื่องเลยค่ะ ปรึกษาปัญหาที่บ้าน


เรื่องของเรื่องคือตอนนี้อยู่บ้านไม่มีความสุขมาก เนื่องจากที่บ้านมีเรื่องให้มาด่ากันไม่เว้นวันเลยค่ะ
บ้านเรามีกันสี่คน พ่อ แม่ เรา แล้วก็น้องชาย ซึ่งคนด่าส่วนใหญ่จะเป็นพ่อ
ด้วยความที่ที่บ้านเป็นคนอีสานคำด่าก็เลยจะค่อนข้างแรง
แต่ตัวเรากับน้องชายโดนเลี้ยงมาแบบพูดภาษากลาง ฟังอีสานออกทุกคำ แต่ถ้าพูดเองจะเหน่อๆ
(ด่าประเภท สันดานหมx ควxย เปxต สัxว์นรก อะไรแบบนี้ ซึ่งหนักเกินไปสำหรับจิตใจเราเหมือนกัน)
ตัวเราเป็นผู้หญิงก็เลยเงียบและพอเก็บอารมณ์ได้ แต่น้องชายค่อนข้างอารมณ์ร้อนหน่อยเพราะวัยรุ่นอยู่
(น้องชายอายุเข้า18 ส่วนเราเข้า25) ครั้งหนึ่งถึงขั้นว่าน้องเกือบจะพุ่งไปต่อยพ่อ แต่ดีที่ห้ามกันทัน
ที่จริงเคยลงไม้ลงมือกันจริงครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นเราไม่อยู่บ้าน แม่โทรมาบอกไปร้องไห้ไป
อีกอย่างพ่อมีปืนน่ะค่ะ ถูกกฏหมายตามอาชีพ เราก็กลัวเพราะครั้งหนึ่งพ่อเคยโมโหที่หมาที่บ้านเห่าจนยิงมันตายมาแล้ว
แม่ก็กลัวเลยพยายามเตือนกันให้อย่าไปเถียงและพยายามปรามน้อง
แล้วที่สำคัญที่ทำให้เราไม่อยากเถียงคือเราเรียนไม่จบมหาลัยค่ะ แต่ตอนนี้ก็ทำงานอยู่ รายได้ต่อเดือนประมาณ 15-20k
มันเป็นความรู้สึกผิดที่ทำให้เราไม่กล้าพูดมากอะไรแล้วก้มหน้าก้มตาทำงานไป

มาถึงเรื่องพ่อที่เป็นปัญหาหลักของบ้าน
เราไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่เรามองว่าพ่อเป็นคนประเภทไม่ยอมรับว่าตัวเองผิด
พ่อทำงานราชการ ตำแหน่งสูงพอควร เงินเดือน 33K+ ไม่รวมค่าเข้าเวรอื่นๆ แต่เหลือมาถึงมือทีสองสามพัน
(จ่ายหนี้ธนาคาร หนี้คนในที่ทำงานที่กินดอกเบี้ยแพงมาก หนี้ยืมเพื่อน)
ซึ่งไม่เคยถึงมือถึงปากคนที่บ้าน แต่ถึงเหล้าถึงปากลูกน้องพ่อ(ประมาณคนที่พ่อเรียกใช้ได้น่ะค่ะ)
แม้แต่ค่าเข้าเวรที่ว่าก็ไม่เคยถึงมือ พ่อเอาไปใช้เองหมด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แม่โกรธมากและทะเลาะกับพ่อประจำ
นอกจากนี้พ่อยังมีหนี้สิน(ค่าจำนองบ้าน ค่ากู้ยืม ค่าที่ศูนย์รถร้องเอาหลังยึดรถไปขายแต่มีส่วนต่าง)
จุดนี้เราโดนด่ามากที่สุดเพราะพ่อมักพูดว่ากู้เงินมาให้เราเรียนแต่ก็เรียนไม่จบ
ประเด็นคือเงินค่าเทอมเราเบิกได้(แต่ก็มีค่าใช้จ่ายกินอยู่และค่าหอจริง) และหนี้หลักมาจากตอนที่ยังไม่เข้ามหาลัย
เคสที่จำมากที่สุดคือเคสที่พ่อกู้เงินมาสองแสน และสองแสนนั้นหมดไปกับไฮโลหลังจากกู้มาได้วันเดียว
ตอนนั้นเรากับแม่ร้องไห้ด้วยกันหนักเลยค่ะ
เคยมีแบบนี้อีกสองสามรอบ แต่เงินไม่มากเท่าตัวสองแสน (ห้ามแล้ว แต่ไปกู้เอง ไม่ฟังกันเลย)
แล้วก็เคยเลี้ยงเมียน้อยช่วงนึงด้วยค่ะ ตอนนั้นเรายังไม่รู้เรื่องเท่าไหร่เพราะเพิ่งมอต้น
แต่ที่รู้คือแม่ให้รีบกลับหลังเลิกเรียนแล้วทิ้งร้านให้เราดูแลบ่อยๆ แล้วประมาณว่าไปตามพ่อ

แม่เราเป็นคนค้าขาย อย่างที่รู้กันว่าเศรษฐกิจเดี๋ยวนี้เป็นยังไง
เมื่อก่อนจะเป็นการค้าขายที่แบบประมาณสามสี่วันไปเอาสินค้าครั้งหนึ่ง โดยพ่อจะเป็นคนขับรถไปรับของให้
เงินทุนครั้งหนึ่งประมาณ 3-5 หมื่น ช่วงไหนขายดีมากๆ ก็ 7-8 หมื่น แต่หลายครั้งมากที่พ่อเอาเงินทุนนั้นไปเล่นพนันจนหมด
หมดจริงๆ แบบที่มีเงินติดบ้านไม่กี่พัน แม่ต้องไปกู้นอกระบบ(รายวัน)มาลงทุนใหม่ ซึ่งทำเอากำไรแทบไม่มี ยังดีที่พอมีกิน
จนหลังๆ แม่ไม่กล้าลงทุนมากๆ ต้องให้เขาเอาของมาส่งให้ ซึ่งมีการบวกราคาค่าส่งอยู่แล้ว
ปัจจุบันเศรษฐกิจย่ำแย่ แม่เปลี่ยนมาขายอย่างอื่นแล้วค่ะเพราะสินค้าเดิมขายไม่ได้ ซึ่งเป็นของที่ลงทุนนิด กำไรก็นิดตามด้วย

แล้วทั้งๆ ที่เป็นอย่างนั้นแต่พ่อก็ยังมาขอเงินแม่ใช้
แล้วก็บังคับให้เราออกรถคันใหม่ให้ (ชื่อพ่อกับแม่ติดบัญชีดำทั้งคู่)
ความที่พ่อต้องขับรถไปทำงานไกล (ต้องไปต่างตำบล) ซึ่งตอนที่รถยนต์โดนยึดแรกๆพ่อก็ยอมขี่มอเตอร์ไซค์ไป
แต่รถเป็นรถเก่า กินน้ำมันหนักมาก แล้วพ่อก็รถล้มสองครั้งในปีเดียว แล้วครั้งที่สองคือหนักมาก
เป็นข้าราชการตำแหน่งสูงอีก พ่อประมาณว่าไม่อยากขายหน้า เราก็เลยจำยอมออกรถเก๋งมือสองให้ขับ

ตอนนี้ค่างวดรถ ค่าบ้าน ค่าธนาคาร 1 แห่ง ค่าน้ำค่าไฟ ค่ากินค่าอยู่ เรากับแม่รับผิดชอบร่วมกันชนิดที่ไม่มีก็ต้องหาให้มี
ขึ้นศาลไปประนอมหนี้บ่อย ซึ่งแต่ละครั้งต้องมีค่าทนายที่ต้องจ่ายด้วย(เหมือนไม่เยอะแต่ก็เยอะจนอยากร้องไห้เหมือนกัน)
โชคดีหน่อยที่พวกหนี้นอกระบบดอกเบี้ยแพงๆไม่มีแล้ว ไม่งั้นคงอานกันกว่าเดิม
จากปัญหาข้างต้นเราเข้าใจว่าพ่อกับแม่จะเครียดก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เราเองก็ยังเครียดเลย
แต่ชีวิตมันก็ต้องดำเนินกันไป ก็ทำงานหาเงินไป(เราก็พยายามหาเงินอื่นด้วย)

ซึ่งพอบ้านประสบปัญหาการเงินน้องที่อยู่มอหกก็เลยค่อนข้างมีปัญหาหน่อย
พ่อกับแม่อยากให้น้องสอบตำรวจ (ตัดภาระค่าใช้จ่ายและมีเงินเดือน) แต่น้องไม่ชอบงานราชการ
ซึ่งน้องก็เข้าใจสถานะที่บ้านนะคะ เลยพูดว่าเดี๋ยวทำงานเก็บเงินก่อนสักปีสองปีค่อยเรียนมหาลัย
จุดนี้เราเข้าใจพ่อกับแม่ แต่ก็เข้าใจน้อง เข้าใจมากกว่าด้วยเพราะก็ไม่ชอบงานราชการเหมือนกัน
(เรากับน้องคุยกัน แล้วก็เห็นตรงกันด้วยว่าการเห็นข้าราชการแบบพ่อทำให้ใจฝักใฝ่เส้นทางนี้ไม่ลงจริงๆ
แล้วเราก็ยอมรับว่าเรารักน้องมาก ฉะนั้นจะมีเอนเอียงเข้าข้างและตามใจน้องเยอะหน่อย)
แต่เราพูดอะไรไม่ได้เลยค่ะ พูดไปก็โดนสวนกลับเรื่องเรียนไม่จบซึ่งเป็นตราบาป

นอกจากเรื่องหนี้แล้วอีกอย่างที่พ่อมีปัญหามากคือเรื่องเหล้า
พ่อกลับบ้านมากินเหล้าทุกเย็น (ย้ำว่าทุกเย็น! ทุกวัน!!) แล้วไม่ใช่เหล้าแดงเหล้าเหลืองนะ แต่เป็นเหล้าขาวผสมเอ็มร้อย
พอเตือน (ทั้งเรา แม่ และน้อง) พ่อก็บอกว่ารู้ตัว ดื่มเอาแข็งแรง ไม่ได้ดื่มให้เมา
แต่พ่อเมาค่ะ ที่รู้เพราะพ่อดื่มเสร็จ (สักสี่ห้าทุ่ม) พ่อจะเข้ามากินข้าวในบ้านแล้วกินไปด่าไป
ด่าแรงๆ กินข้าวกระแทกช้อนกระแทกจานแรงๆ เชิงประชดเพราะที่บ้านไม่มีใครกินข้าวด้วยแล้ว
กินก็ไม่อร่อยค่ะ เพราะฉะนั้นเรา แม่ และน้องเลยมักจะรีบหากินกันก่อน
แล้วก็มีปัญหาเรื่องกับข้าวไม่ถูกปาก ทำอะไรเดิมๆ ทั้งที่เรากับแม่ก็หาให้เอาใจมากแล้ว
บางครั้งพ่อโมโหรุนแรงจนเขวี้ยงจานแตก (เดือนหนึ่งต้องมีสักวันที่รุนแรงมาก)
วันไหนที่พ่อด่าแรงๆ เรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ จนน้องชายรำคาญทนไม่ไหวเถียงกลับ วันนั้นคือหายนะ
(บางทีพ่อด่าเรา น้องชายทนไม่ไหวแทนเราบอกให้หยุด พ่อก็จะด่าน้องต่อ แล้วตามด้วยด่าแม่ที่ไม่รู้จักเลี้ยงลูก
แล้วชอบพูดว่าตระกูลกูไม่มีใครเป็นอย่างนี้ แล้วโทษสันดา-ตระกูลโคตรเง้าแม่ว่าเลว)
วันไหนที่แม่น้อยใจน้องที่เอาแต่เล่น ไม่ช่วยงานที่ร้านที่บ้าน แม่เริ่มบ่น (บ่นเฉยๆ ตามประสา) พ่อก็จะด่าซ้ำ พาลมาด่าเราต่อ
วันนั้นคือหายนะยิ่งกว่า

นอกจากนี้พ่อมีอาการบางอย่างที่ไม่รู้ตัวและไม่ยอมรับก็คือเกี่ยวกับสมองค่ะ
พ่อมีอาการของคนที่จำสิ่งที่ตัวเองเคยพูด หรือสิ่งที่คนในบ้านเคยบอกไม่ค่อยได้
ต้องถามย้ำๆ เวลาน้องโกรธแล้วบอกว่าบอกไปหลายรอบแล้ว พ่อก็จะเถียงว่าน้องไม่เคยบอก
เกือบทุกวันจะถามแม่ว่าวันนี้วันอะไร วันงานนู้นงานนี้เมื่อไหร่
บางครั้งก็ย้ำคิดย้ำทำอยู่อย่างนั้น

ส่วนที่พ่อทะเลาะกับแม่... ตอนนี้แม่ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรแล้วค่ะ ปลงๆ เงียบๆ (เราเองก็เงียบคล้ายกัน)
แต่แม่จะโมโหบ่อยเรื่องที่พ่อชอบบังคับแม่ อย่างเรื่องทีวี พ่อชอบด่าว่าแม่ปัญญาอ่อนเวลาดูละคร
เวลาดูข่าวแล้วแม่วิจารณ์ข่าวก็จะด่าแม่ว่าโง่ ไม่เข้าใจโน่นนี่ ทั้งที่หลายครั้งพ่อผิด
บางครั้งน้องชายกับเราทนไม่ไหวก็บอกไปว่าแม่ถูก พ่อก็จะบอกว่าเรากับน้องเข้าข้างแม่
แล้วก็พูดประมาณว่าบ้านนี้กูเป็นหมาหัวเน่า แล้วก็ไล่ให้ไสหัวออกจากบ้าน ไม่ต้องมาอยู่ด้วยกัน

มีเรื่องบุหรี่ด้วยค่ะ ตอนหลังกินข้าวเสร็จพ่อมักสูบบุหรี่ที่ห้องนั่งเล่นที่แม่นอนดูทีวีอยู่
ถึงจะเปิดหน้าต่างแต่มันก็กลิ่นก็ควัน แถมยุงเข้าอีก พอแม่บอกให้พ่อไปสูบนอกบ้านพ่อก็โกรธ
บางครั้งก็ปึงปังยอมออกไปสูบนอกบ้าน บ้างครั้งก็สูบประชดแม่ในบ้านหลายๆ มวน
ส่วนเราแพ้กลิ่นบุหรี่ ก็เลยเข้าห้องอย่างเดียวเพราะไม่ไหวจริงๆ (โชคดีด้วยที่น้องชายไม่สูบบุหรี่)

และยังมีเรื่องอื่นๆ จากนิสัยขี้คุยว่ารู้เรื่องทั้งโลกของพ่อจนทะเลาะกับคนมาไม่น้อยแล้ว
(พ่อพร้อมเชื่อข่าวทุกอย่างในไลน์ไม่ว่าข่าวจริงข่าวปลอมด้วย)
จนบางครั้งที่เราได้ยินก็อดอับอายไม่ได้ที่บางครั้งพ่อเถียงคนอื่นหน้าดำหน้าแดง
พยายามข่มเขาทั้งๆ ที่อีกฝ่ายเขารู้มากกว่าและมันเป็นความจริง

คือเหนื่อยค่ะ เหนื่อยจริงๆ เหนื่อยที่ใจจนไม่อยากอยู่บ้านแล้วย้ายไปที่อื่น
แต่ไปไม่ได้ ตอนนี้ค่าใช้จ่ายก็เยอะแล้ว ถ้าเราย้ายออกไปเช่าห้องอยู่เองคงจ่ายไม่ไหว

คำถามก็คือควรทำยังไงดีคะ
เรื่องเงินก็พยายามหากันอยู่ เรื่องนี้ยังไม่เลวร้ายที่สุดสำหรับเรา
อีกอย่างพ่อกำลังจะเกษียรปีหน้า เงินบำเหน็จก็พอมาอุดหนี้ได้พอดี
ค่ากินอยู่เราก็น่าจะรับผิดชอบต่อได้แบบไม่ลำบากนักถ้ารู้จักใช้หน่อย
แต่เรื่องพ่อ...
คือพูดไม่ได้เลยค่ะ เตือนก็ไม่ได้ ทั้งตอนเมาและตอนไม่เมา ไม่ว่าใครก็บอกพ่อไม่ได้เลย
พ่อเอาแต่บอกว่ากูรู้ๆๆ แล้วโทษว่าเป็นความผิดเราก็ไม่มีปัญญาเลี้ยง แล้วบอกว่าลูกคนอื่นทำไมเลี้ยงพ่อแม่ได้
(ยอมรับว่าโกรธมากจนอยากตะโกนกลับไปว่าก็พ่อคนอื่นก็ไม่เป็นอย่างนี้เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้พูด)
เรารู้แต่เด็กว่าพ่อเป็นคนอารมณ์ร้าย แต่นี่มันร้ายขึ้นทุกวันเลยค่ะ
คนเราอยู่กับพ่อแม่ด้วยความเคารพ แต่แบบความเคารพต่อพ่อมันไม่เหลือแล้วค่ะ
มันต้องฝืนกันอยู่อย่างนี้ต่อไปใช่ไหมคะ



ปล. เมื่อไม่กี่เดือนมานี้เราทะเลาะกับพ่อรุนแรงเพราะทนไม่ไหวจริงๆ เกือบลงไม้ลงมือกันแล้วค่ะ แต่ดีที่แค่ฉุดๆ กระชากๆ
วันนั้นโกรธมาก พอพ่อบอกว่างั้นก็ไม่ต้องมานับถือกูเป็นพ่อ เราก็บอกไปว่าเออ ไม่นับถือ (แม่กับน้องไม่อยู่บ้าน)
ตอนนั้นไม่รู้ว่าพ่อช็อคไปหรือเปล่า แบบนิ่งไป
(เราเถียงพ่อบ้างนานๆที แต่ไม่เคยมีเรื่องรุนแรงกับพ่อ โดยมากจะเป็นฝ่ายยอม ถึงขั้นวิ่งหนีด้ามไม้กวาด/เข็มขัดพ่อก็เคยมาแล้วค่ะ)
แล้วจากวันนั้นก็ไม่คุยกัน ไม่มองหน้ากันเลย
กระทั่งวันนี้ก็ยังเข้าหน้ากันไม่สนิท ถ้าไม่มีเรื่องจำเป็นก็เมินๆ กันไป
แต่พอกินเหล้าแล้วเมาก็ด่าแล้วหาเรื่องทำข้าวของพังให้เราเก็บอยู่ดี บวกช่วงนี้พ่อขอเงินเราใช้ด้วยล่ะ ก็เลยยอมมาคุยกับเรา

ปล.2 เรื่องหย่า... เราถึงกับเคยถามแม่ แต่แม่แบบหัวเก่าหน่อยๆ ที่ต้องอดทนเพื่อครอบครัว
แล้วทั้งพ่อและแม่ชอบพูดเรื่องคนสมัยนี้ไม่มีความอดทน แต่งไม่ทันไรก็หย่าอะไรแบบนี้ เราก็เลยไม่พูดแล้ว

ปล.3 พ่อเห็นเรา แม่ และน้องชายคุยหัวเราะด้วยกันไม่ได้เลยค่ะ มักจะเดินเข้ามาแล้วด่าจนวงแตกกันไป


.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่