PTG กับการเทิร์นอะราวด์
<ผมไม่ได้ลงทุนในหุ้น PTG ไม่ได้ต้องการสื่อว่าเป็นหุ้นดีหรือไม่ดี รวมทั้งไม่ได้เนาะนำหรือชี้นำให้ลงทุน การวิเคราะห์ครั้งนี้เพื่อเป็นข้อมูลให้นักลงทุนได้ใช้เป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจ>
PTG ทำธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งน้ำมันเชื้อเพลิงภายใต้สถานีบริการน้ำมันแบรนด์ PT ปัจจุบันมีสถานีน้ำมันทั้งหมด 1,803 สาขาโดยตั้งเป้าไว้ว่าจะขยายให้ได้ 1,900 สาขาภายในสิ้นปีนี้
นอกจากนี้ยังมีธุรกิจ Non Oil หรือร้านค้าปลีกซึ่งมีทั้งร้านกาแฟพันธุ์ไทย (246 สาขา) Max Mart (123 สาขา) ศูนย์บริการซ่อมรถ AUTOBACS และอื่นๆรวมกันทั้งหมด 423 สาขา
ปัจจุบัน PTG มีส่วนแบ่งทางการตลาดค้าน้ำมันอันดับ 4 อยู่ที่ 10% เป็นรองอันดับหนึ่ง ปตท ที่มีส่วนแบ่ง 38%
หุ้น PTG เข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2556 ที่ราคาไอพีโอ 3.90 บาทหลังจากนั้นกำไรได้เติบโตขึ้นต่อเนื่องทุกปี
ปี 2556 มีรายได้ 27,817 ล้านบาท กำไรสุทธิ 226.4 ล้านบาท
ปี 2560 มีรายได้ 87,904 ล้านบาทมีกำไรสุทธิ 913 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่ากำไรเติบโตเพิ่มมากขึ้นถึง 4 เท่าจึงไม่แปลกเลยที่บรรดานักลงทุนทั้งรายใหญ่และรายย่อยเข้าไปลงทุนจนราคาปรับตัวจาก 3.90 บาทขึ้นไปจุดสูงสุดที่ 32.75 บาทในปี 2559 ก่อนค่อยๆปรับตัวลงมา เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาปิดที่ 11.40 บาท
ถ้าดูที่กำไรสุทธิก็คงไม่แปลกใจที่ราคาหุ้นจะขึ้นไปสูงสุดปี 2559 เพราะได้ทำกำไรสูงสุดที่ 1,073 ล้านบาทก่อนปรับตัวลงมา 913 ล้านบาทเมื่อปีที่แล้ว
ผลงานไตรมาสล่าสุด:
รายได้เพิ่มขึ้น 26% YOY เป็น 27,000 ล้านบาทแต่กำไรสุทธิกลับลดลง 33% YOY เพราะค่าการตลาดในไตรมาสนี้ลดลงเหลือ 1.60 บาทต่อลิตรเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีที่แล้วอยู่ที่ 1.70 บาทต่อลิตร เนื่องจากราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นแต่ราคาขายปลีกปรับขึ้นได้ช้ากว่า
PTG ยังคงพึ่งพารายได้จากน้ำมันมากถึง 97% ในขณะที่ธุรกิจ Non Oil มีสัดส่วนเพียง 3% ซึ่งจุดนี้ผู้บริหารทราบดีว่าค่าการตลาดเป็นสิ่งที่บริษัทควบคุมไม่ได้และมีผลกระทบเชิงลบอย่างมากในช่วงที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นทางบริษัทจึงเน้นขยายธุรกิจไป Non Oil มากขึ้น รวมทั้งพยายามรัดเข็มขัดควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวด
บริษัทได้ปรับเป้าทางขยายสาขาจากเดิม 2,000 สาขาลดลงเหลือ 1,900 สาขาแล้วเน้นทำรายได้ต่อสาขาให้เพิ่มขึ้นเพื่อมาชดเชยกับจำนวนสาขาที่เปิดลดลง
นอกจากนี้โครงการปาล์มคอมเพล็กซ์ก็ยังต้องเลื่อนเปิดให้บริการไปไตรมาสหน้าอีกด้วยทำให้ความหวังที่จะมีรายได้จากส่วนนี้มาช่วยพยุงรายได้จากน้ำมันก็ต้องเลื่อนออกไปอีก
ข้อคิดเห็น:
- ธุรกิจของ PTG เน้นการใช้เงินทุนจำนวนมากในการขยายสาขาเพื่อปั๊มรายได้ รวมทั้งการซื้อธุรกิจใหม่เข้ามาทั้งร้านอาหาร ร้านกาแฟ ปาล์มคอมเพล็กซ์และการขยายออกไปในธุรกิจพลังงานทางเลือกล้วนต้องใช้เงินจำนวนมากทั้งสิ้น บริษัทจึงมีความเสี่ยงหนี้สินที่สูง (D/E 2.65 เท่า) ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นอาจทำให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่สูงขึ้นตามไปด้วย
- ราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นในขณะที่ค่าการตลาดอาจจะมีแนวโน้มที่ปรับตัวลดลงได้อีกจึงเป็นความเสี่ยงที่บริษัทต้องรีบขยายการลงทุนไปในธุรกิจ Non Oil ที่มีมาร์จิ้นสูงกว่า อย่างไรก็ตามธุรกิจค้าปลีก ร้านกาแฟ ร้านอาหารก็มีคู่แข่งจำนวนมากที่ทำได้ดีกว่าเพราะฉะนั้นยิ่งขยายสาขาอาจจะยิ่งทำให้กำไรสุทธิลดลงก็เป็นไปได้เพราะค่าใช้จ่ายสูงขึ้นแต่รายได้ตามมาไม่ทัน
- การลงทุนแบบวีไอต้องเลือกธุรกิจที่สามารถคาดการณ์อนาคตได้ค่อนข้างชัดเจนแต่เนื่องด้วยธุรกิจของ PTG อิงกับราคาน้ำมันที่แกว่งขึ้นลงได้ตลอดทำให้ไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้อย่างแม่นยำ โดยส่วนตัวยังไม่เคยลงทุนในหุ้นตัวนี้แม้ว่าจะเป็นหุ้น 8 เท่าในอดีตก็ตาม ผมก็ยังไม่กล้าลงทุนในช่วงเทิร์นอะราวด์ด้วยเหตุผลดังกล่าว
หวังว่าแนวคิดการวิเคราะห์ธุรกิจของ PTG จะเป็นประโยชน์สำหรับนักลงทุนไม่มากก็น้อยครับ
ปล.ชัดเจนครับ ว่าธุรกิจยังมีความเสี่ยงสูง ตัวช่วยในธุรกิจ non oil ยังต้องใช้เงินลงทุน ยังต้องสร้างชื่ออีกมาก ในส่วนของราคาหุ้น จะลงทุนระดับไหน สั้น กลาง หรือยาว ต้องมีแผนครับ
บทวิเคราะห์ธุรกิจ PTG
PTG กับการเทิร์นอะราวด์
<ผมไม่ได้ลงทุนในหุ้น PTG ไม่ได้ต้องการสื่อว่าเป็นหุ้นดีหรือไม่ดี รวมทั้งไม่ได้เนาะนำหรือชี้นำให้ลงทุน การวิเคราะห์ครั้งนี้เพื่อเป็นข้อมูลให้นักลงทุนได้ใช้เป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจ>
PTG ทำธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งน้ำมันเชื้อเพลิงภายใต้สถานีบริการน้ำมันแบรนด์ PT ปัจจุบันมีสถานีน้ำมันทั้งหมด 1,803 สาขาโดยตั้งเป้าไว้ว่าจะขยายให้ได้ 1,900 สาขาภายในสิ้นปีนี้
นอกจากนี้ยังมีธุรกิจ Non Oil หรือร้านค้าปลีกซึ่งมีทั้งร้านกาแฟพันธุ์ไทย (246 สาขา) Max Mart (123 สาขา) ศูนย์บริการซ่อมรถ AUTOBACS และอื่นๆรวมกันทั้งหมด 423 สาขา
ปัจจุบัน PTG มีส่วนแบ่งทางการตลาดค้าน้ำมันอันดับ 4 อยู่ที่ 10% เป็นรองอันดับหนึ่ง ปตท ที่มีส่วนแบ่ง 38%
หุ้น PTG เข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2556 ที่ราคาไอพีโอ 3.90 บาทหลังจากนั้นกำไรได้เติบโตขึ้นต่อเนื่องทุกปี
ปี 2556 มีรายได้ 27,817 ล้านบาท กำไรสุทธิ 226.4 ล้านบาท
ปี 2560 มีรายได้ 87,904 ล้านบาทมีกำไรสุทธิ 913 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่ากำไรเติบโตเพิ่มมากขึ้นถึง 4 เท่าจึงไม่แปลกเลยที่บรรดานักลงทุนทั้งรายใหญ่และรายย่อยเข้าไปลงทุนจนราคาปรับตัวจาก 3.90 บาทขึ้นไปจุดสูงสุดที่ 32.75 บาทในปี 2559 ก่อนค่อยๆปรับตัวลงมา เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาปิดที่ 11.40 บาท
ถ้าดูที่กำไรสุทธิก็คงไม่แปลกใจที่ราคาหุ้นจะขึ้นไปสูงสุดปี 2559 เพราะได้ทำกำไรสูงสุดที่ 1,073 ล้านบาทก่อนปรับตัวลงมา 913 ล้านบาทเมื่อปีที่แล้ว
ผลงานไตรมาสล่าสุด:
รายได้เพิ่มขึ้น 26% YOY เป็น 27,000 ล้านบาทแต่กำไรสุทธิกลับลดลง 33% YOY เพราะค่าการตลาดในไตรมาสนี้ลดลงเหลือ 1.60 บาทต่อลิตรเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีที่แล้วอยู่ที่ 1.70 บาทต่อลิตร เนื่องจากราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นแต่ราคาขายปลีกปรับขึ้นได้ช้ากว่า
PTG ยังคงพึ่งพารายได้จากน้ำมันมากถึง 97% ในขณะที่ธุรกิจ Non Oil มีสัดส่วนเพียง 3% ซึ่งจุดนี้ผู้บริหารทราบดีว่าค่าการตลาดเป็นสิ่งที่บริษัทควบคุมไม่ได้และมีผลกระทบเชิงลบอย่างมากในช่วงที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นทางบริษัทจึงเน้นขยายธุรกิจไป Non Oil มากขึ้น รวมทั้งพยายามรัดเข็มขัดควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวด
บริษัทได้ปรับเป้าทางขยายสาขาจากเดิม 2,000 สาขาลดลงเหลือ 1,900 สาขาแล้วเน้นทำรายได้ต่อสาขาให้เพิ่มขึ้นเพื่อมาชดเชยกับจำนวนสาขาที่เปิดลดลง
นอกจากนี้โครงการปาล์มคอมเพล็กซ์ก็ยังต้องเลื่อนเปิดให้บริการไปไตรมาสหน้าอีกด้วยทำให้ความหวังที่จะมีรายได้จากส่วนนี้มาช่วยพยุงรายได้จากน้ำมันก็ต้องเลื่อนออกไปอีก
ข้อคิดเห็น:
- ธุรกิจของ PTG เน้นการใช้เงินทุนจำนวนมากในการขยายสาขาเพื่อปั๊มรายได้ รวมทั้งการซื้อธุรกิจใหม่เข้ามาทั้งร้านอาหาร ร้านกาแฟ ปาล์มคอมเพล็กซ์และการขยายออกไปในธุรกิจพลังงานทางเลือกล้วนต้องใช้เงินจำนวนมากทั้งสิ้น บริษัทจึงมีความเสี่ยงหนี้สินที่สูง (D/E 2.65 เท่า) ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นอาจทำให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่สูงขึ้นตามไปด้วย
- ราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นในขณะที่ค่าการตลาดอาจจะมีแนวโน้มที่ปรับตัวลดลงได้อีกจึงเป็นความเสี่ยงที่บริษัทต้องรีบขยายการลงทุนไปในธุรกิจ Non Oil ที่มีมาร์จิ้นสูงกว่า อย่างไรก็ตามธุรกิจค้าปลีก ร้านกาแฟ ร้านอาหารก็มีคู่แข่งจำนวนมากที่ทำได้ดีกว่าเพราะฉะนั้นยิ่งขยายสาขาอาจจะยิ่งทำให้กำไรสุทธิลดลงก็เป็นไปได้เพราะค่าใช้จ่ายสูงขึ้นแต่รายได้ตามมาไม่ทัน
- การลงทุนแบบวีไอต้องเลือกธุรกิจที่สามารถคาดการณ์อนาคตได้ค่อนข้างชัดเจนแต่เนื่องด้วยธุรกิจของ PTG อิงกับราคาน้ำมันที่แกว่งขึ้นลงได้ตลอดทำให้ไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้อย่างแม่นยำ โดยส่วนตัวยังไม่เคยลงทุนในหุ้นตัวนี้แม้ว่าจะเป็นหุ้น 8 เท่าในอดีตก็ตาม ผมก็ยังไม่กล้าลงทุนในช่วงเทิร์นอะราวด์ด้วยเหตุผลดังกล่าว
หวังว่าแนวคิดการวิเคราะห์ธุรกิจของ PTG จะเป็นประโยชน์สำหรับนักลงทุนไม่มากก็น้อยครับ
ปล.ชัดเจนครับ ว่าธุรกิจยังมีความเสี่ยงสูง ตัวช่วยในธุรกิจ non oil ยังต้องใช้เงินลงทุน ยังต้องสร้างชื่ออีกมาก ในส่วนของราคาหุ้น จะลงทุนระดับไหน สั้น กลาง หรือยาว ต้องมีแผนครับ