หากว่าทีมใดก็ตามในพรีเมียร์ลีค คิดเอื้อมไปแตะความสำเร็จของการแข่งขันลีคภายในประเทศ ไม่ใช่เฉพาะแค่ลิเวอร์พูลเท่านั้น ที่มีฝันมีหวังในฤดูกาลนี้ ปัจจัยหนึ่งที่มีผลสำคัญในการทำตามความฝันให้สำเร็จ คือ ความสม่ำเสมอของผลการแข่งขัน ซึ่งวงเล็บมันด้วยข้อความตัวโตๆว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นฟอร์มการเล่นที่เลิศหรูอลังการเหนือกว่าทีมคู่แข่งในทุกนัด แต่ตัดสินชี้วัดแล้วสุดท้ายคว้า 3 แต้มมาให้ได้ หรืออย่างร้ายที่สุดต้องมี 1 แต้มติดมือในวันที่ฟอร์มการเล่นผิดแผกออกไปจากมาตรฐานที่ทีมของตัวเองเคยทำได้
ผลงาน 3 นัดที่ผ่านมา ที่ส่งผลให้หงส์แดงทะยานฟ้าขึ้นไปคว้าจับจองพื้นที่บนสุดของตารางคะแนนถ้าลองมองรายละเอียดปลีกย่อยในแต่ละนัด ก็จะพบความยากลำบากที่เป็นอุปสรรคในการคว้าชัยชนะของลิเวอร์พูล ยกเว้นในนัดแรก ที่เวสแฮมลงเล่นโดยเปิดหน้าแลก ผลก็คือโดนไป 4 ดอก ไส้แตกไปตามระเบียบ ตามข้อหาบังอาจมาท้าทายทีมที่มีเกมส์รุกดุเป็นเบอร์ต้นๆของสโมสรในยุโรป
ในนัดที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นนัดล่าสุดผ่านมา ต้องยอมรับว่าทั้งคริสตัน พาเลช และไบรตัน ต่างวางแผนมาดี เล่นเกมส์อุดจอดรถบัสในแบบที่ชวนอึดอัด ตัดลดทอนประสิทธิภาพสามประสานในแนวรุกสุดอันตรายของลิเวอร์พูลไปได้พอสมควร เกมส์ริมเส้นที่วิงแบ๊คพันธ์อึดของลิเวอร์พูลอย่าง โรเบิร์ตสัน หรือ เทรน เคยทำได้ดี ก็แทบไม่มีเหลือพิษสง เพราะเปิดบอลยัดในเข้าไป ส่วนใหญ่ก็ไปติดรถบัส 8-9 คัน ที่จอดขวางไว้ในกรอบเขตโทษ เกมส์โต้กลับฉับพลันมันก็ดันมาสะดุด เพราะคู่แข่งของหงส์แดงทั้งสองทีมนี้ เลือกที่จะตั้งรับลึก โอกาสที่จะใช้ความเร็ว ความคล่องตัว ของสามประสานแดนหน้า อย่างเฟอร์มีโน่ ซาล่าห์ มาเน่ ก็เลยเป็นเรื่องยาก ยิ่งถ้าหากประสานงานกันเล่นแล้วเกิดผิดพลาดกันเองยิ่งไปกันใหญ่ แต่ก็ยังดีที่ยังเหลืออาวุธสุดท้าย ที่ยังมีอาวุธอีกอย่างทรงประสิทธิภาพอยู่ คือ การไล่บีบเพรสซิ่งสูง ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการเก็บสามแต้มมาจากไบรตันเมื่อคืน ประกอบกับแนวรับที่แข็งแกร่งขึ้นจากการเสริมตัวผู้เล่นชั้นดีเข้ามาในทีมของคล้อป ทั้ง ฟานไดร์ และ อลิซอน ทำให้ทีมสามารถป้องกันการเล่นในลักษณะ “กูขอทีเดียว” จากทั้งไบรตัน และพาเลส มาได้ ส่งผลให้ทั้งอันดับในตารางคะแนนและความหวังในหัวใจแฟนๆสูงลิ่วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งๆที่บอลเพิ่งผ่านไปแค่ 3 นัดเท่านั้น
แต่สิ่งหนึ่งที่ทั้งตัวผู้เล่น ผู้จัดการทีมและแฟนบอลต้องรับรู้ เมื่อดูจากผลงานจากสามนัดแรกที่ผ่านไป ต้องจดจำให้ขึ้นใจไว้เลยว่ายังต้องเจอกับเกมส์อุดรถบัสแบบนี้อีกหลายสิบนัด ลองคาดคำนวณนับนิ้วกันให้ชัด ก็สามารถเดาได้ว่า มีทีมจำนวนไม่เกินนิ้วมือเพียงข้างเดียวเท่านั้น ที่จะกล้าเล่นเกมส์เปิดหน้าแลกหมัดกับลิเวอร์พูล แต่ถ้านับเฉพาะในเกมส์ที่ลิเวอร์พูลเป็นทีม “เหย้า” ถ้าให้เดาก็คงมีแค่ ซิตี้ ทีมเดียวล่ะมั้งที่น่าจะกล้าพอ กล้าที่คิดจะมาเล่นเกมส์บุกใส่ลิเวอร์พูลในถิ่นแอนฟิลด์
ดังนั้นสิ่งสำคัญสำหรับลิเวอร์พูลในตอนนี้ มันจึงไม่ใช่จะคิดว่า พวกเขาเองจะได้เล่นในเกมส์ที่ตัวเองถนัด คือวิ่งสู้ฟัดเปิดหน้าแลกเสมอไป เพราะเกมส์ที่รออยู่ส่วนใหญ่ มันคือเกมส์หาวิธีพังรถบัส ซึ่งจุดที่เคยง่ายที่สุดในการพังรถบัสนั้น คือ การเจาะประตูแรกให้ได้ แต่ในตอนนี้ มันไม่ใช่แล้ว แค่ประตูแรกที่ต้องมาไวมันยังไม่พอ เพราะฝ่ายคู่แข่งที่ก่อกำแพงรถบัสไว้ เดี๋ยวนี้ต่อให้ถูกนำไปแล้ว ก็ยังเล่นกันแบบตั้งใจอุดอยู่ดี แล้วรอจังหวะแบบ “กูขอทีเดียว” มาเป็นไม้ตายหวังจะใช้แย่งชิงแต้มไปจากลิเวอร์พูลให้ได้ อย่างที่เห็นจากนัด ไบรตัน และพาเลส เพียงแต่แนวรับชุดนี้ของเราทำหน้าที่ได้ดี หรือว่าแนวรุกของพวกเขายังดีไม่พอ ที่จะใช้ประโยชน์จากโอกาสไม่กี่ครั้งให้บังเกิดผล แต่ถ้าเจอทีมที่มีแนวรุกจัดจ้านกว่านี้ล่ะ แนวรับลิเวอร์พูลจะเอาอยู่หรือเปล่า
ซึ่งจากที่เห็นในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายในทั้ง 3 เกมส์ ก็รู้ได้ว่า ตัว เจอร์เก้น คล้อปเองก็ให้ความสำคัญกับการวางแผนรับมือล่วงหน้ากับเกมส์ในลักษณะนี้อยู่แล้ว คือการเปลี่ยนตัวแก้เกมส์ลงมา เพื่อหวังเล่น”ปิดกล่อง ปิดเกมส์” เก็บสามแต้มที่ล้ำค่าไว้ให้ได้ เพียงแต่ว่ารูปเกมส์ที่ผู้เล่นคีย์แมนคนสำคัญที่คล้อปหวังจะขับเคลื่อนเกมส์ปิดกล่องแบบนี้ อย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เหมือนเล่นได้อย่าง ไม่ค่อย เนียนตาเท่าไร แต่ผลงานออกมาเนียนใจ คือ ปิดเกมส์ไม่เสียประตูในช่วงท้ายได้ทุกนัด ซึ่งหลายคนอาจเถียงว่าไม่ใช่เป็นเพราะเฮนโด้ เลย แต่เป็น อลิสซอน กับ ฟานไดร์ ต่างหากที่เป็นคีย์แมนในเรื่องนี้ ซึ่งมันก็เถียงไม่ได้เพราะอันนี้คือข้อเท็จจริง แต่สิ่งหนึ่งที่เถียงไม่ได้ คือในยามที่ลิเวอร์พูลมี เฮนโด้ลงสนาม เขาคือผู้เล่นที่เล่นแบบปลอดภัยไว้ก่อน โดยเฉพาะเกมส์รับ และในมิติใหม่ ที่เจอร์เก้น คล้อปสั่งให้เฮนโด้ต้องขึ้นไปเล่นเกมส์รุกมากขึ้นด้วย ทำให้ลักษณะเกมส์รุกที่เล่นแบบฉาบฉวย กล้าได้กล้าเสีย กลายเป็น เพลย์เซฟในเกมส์รุกมากขึ้น ในช่วงท้ายของสามเกมส์ที่ผ่านมาในเวลาที่ เฮนโด้ ลงมาควบคุมจังหวะของทีม ทีมคู่แข่งไม่สามารถเล่นโต้กลับ ในยามที่ตัดลูกในแนวรุกของลิเวอร์พูล มาเล่นแบบเคาเตอร์แอทแท๊คเร็วได้ถนัด ได้แต่อาศัยการลำเลียงลูกอย่างช้าๆ และหาจังหวะวัดดวงกับลิเวอร์พูลจากจังหวะลูกเซ็ตพีทในช่วงท้าย ซึ่งลิเวอร์พูลปีนี้ได้อัพเกรด จนขจัดปัญหาการรับมือกับลูกเซ็ตพีทได้ดีขึ้นแล้ว
แน่นอนว่า การเข้ามาของฟาบินโญ่ อาจทำให้หลายคนคิดว่า โอกาสที่เขาจะทาแทนที่ของเฮนโด้ก็มีส่วนจะเป็นไปได้สูง ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่าเหตุผลหลักของการคาดหวังแบบนั้น มาจากเรื่องเดียวเลยคือ “รำคาญ”วิธีการเล่นของอาแปะ แต่หากมองให้ดีจะเห็นว่าทำไมกัปตันทีม ยังเป็นตัวเลือกแรกในยามที่เจอร์เก้น คล้อป คิดจะปิดเกมส์
แม้ว่าความเป็นผู้นำทีมของเฮนเดอร์สันในสายตาแฟนบอลบางส่วน อาจไม่เป็นที่ยอมรับ นับจากได้รับปลอกแขนมาจาก กัปตันทีมในตำนานอย่าง สตีเฟ่น เจอร์ราด แต่บอกตรงๆว่า ปีนี้ผมคาดหวังกับการลงมาเล่นปิดเกมส์ในช่วงนาทีท้ายๆของเขา แม้จะต้องทนดูเกมส์ที่ชวนอึดอัดแบบนี้ไปอีกหลายสิบนัด และคาดหวังให้ท้ายที่สุด เขาได้เป็นตัวแทนทีมที่มีโอกาสก้าวขึ้นไปคว้าความสำเร็จของสโมสร ในฐานะที่เป็น”กัปตันทีม”
แฟนลิเวอร์พูลท่านอื่นที่เข้ามาอ่านล่ะครับ คิดเห็นเช่นไร
Liverpool กับความอึดอัดที่ยังเป็นสิ่งจำเป็น เมื่อยามต้องเล่นกับ รถบัส
ผลงาน 3 นัดที่ผ่านมา ที่ส่งผลให้หงส์แดงทะยานฟ้าขึ้นไปคว้าจับจองพื้นที่บนสุดของตารางคะแนนถ้าลองมองรายละเอียดปลีกย่อยในแต่ละนัด ก็จะพบความยากลำบากที่เป็นอุปสรรคในการคว้าชัยชนะของลิเวอร์พูล ยกเว้นในนัดแรก ที่เวสแฮมลงเล่นโดยเปิดหน้าแลก ผลก็คือโดนไป 4 ดอก ไส้แตกไปตามระเบียบ ตามข้อหาบังอาจมาท้าทายทีมที่มีเกมส์รุกดุเป็นเบอร์ต้นๆของสโมสรในยุโรป
ในนัดที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นนัดล่าสุดผ่านมา ต้องยอมรับว่าทั้งคริสตัน พาเลช และไบรตัน ต่างวางแผนมาดี เล่นเกมส์อุดจอดรถบัสในแบบที่ชวนอึดอัด ตัดลดทอนประสิทธิภาพสามประสานในแนวรุกสุดอันตรายของลิเวอร์พูลไปได้พอสมควร เกมส์ริมเส้นที่วิงแบ๊คพันธ์อึดของลิเวอร์พูลอย่าง โรเบิร์ตสัน หรือ เทรน เคยทำได้ดี ก็แทบไม่มีเหลือพิษสง เพราะเปิดบอลยัดในเข้าไป ส่วนใหญ่ก็ไปติดรถบัส 8-9 คัน ที่จอดขวางไว้ในกรอบเขตโทษ เกมส์โต้กลับฉับพลันมันก็ดันมาสะดุด เพราะคู่แข่งของหงส์แดงทั้งสองทีมนี้ เลือกที่จะตั้งรับลึก โอกาสที่จะใช้ความเร็ว ความคล่องตัว ของสามประสานแดนหน้า อย่างเฟอร์มีโน่ ซาล่าห์ มาเน่ ก็เลยเป็นเรื่องยาก ยิ่งถ้าหากประสานงานกันเล่นแล้วเกิดผิดพลาดกันเองยิ่งไปกันใหญ่ แต่ก็ยังดีที่ยังเหลืออาวุธสุดท้าย ที่ยังมีอาวุธอีกอย่างทรงประสิทธิภาพอยู่ คือ การไล่บีบเพรสซิ่งสูง ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการเก็บสามแต้มมาจากไบรตันเมื่อคืน ประกอบกับแนวรับที่แข็งแกร่งขึ้นจากการเสริมตัวผู้เล่นชั้นดีเข้ามาในทีมของคล้อป ทั้ง ฟานไดร์ และ อลิซอน ทำให้ทีมสามารถป้องกันการเล่นในลักษณะ “กูขอทีเดียว” จากทั้งไบรตัน และพาเลส มาได้ ส่งผลให้ทั้งอันดับในตารางคะแนนและความหวังในหัวใจแฟนๆสูงลิ่วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งๆที่บอลเพิ่งผ่านไปแค่ 3 นัดเท่านั้น
แต่สิ่งหนึ่งที่ทั้งตัวผู้เล่น ผู้จัดการทีมและแฟนบอลต้องรับรู้ เมื่อดูจากผลงานจากสามนัดแรกที่ผ่านไป ต้องจดจำให้ขึ้นใจไว้เลยว่ายังต้องเจอกับเกมส์อุดรถบัสแบบนี้อีกหลายสิบนัด ลองคาดคำนวณนับนิ้วกันให้ชัด ก็สามารถเดาได้ว่า มีทีมจำนวนไม่เกินนิ้วมือเพียงข้างเดียวเท่านั้น ที่จะกล้าเล่นเกมส์เปิดหน้าแลกหมัดกับลิเวอร์พูล แต่ถ้านับเฉพาะในเกมส์ที่ลิเวอร์พูลเป็นทีม “เหย้า” ถ้าให้เดาก็คงมีแค่ ซิตี้ ทีมเดียวล่ะมั้งที่น่าจะกล้าพอ กล้าที่คิดจะมาเล่นเกมส์บุกใส่ลิเวอร์พูลในถิ่นแอนฟิลด์
ดังนั้นสิ่งสำคัญสำหรับลิเวอร์พูลในตอนนี้ มันจึงไม่ใช่จะคิดว่า พวกเขาเองจะได้เล่นในเกมส์ที่ตัวเองถนัด คือวิ่งสู้ฟัดเปิดหน้าแลกเสมอไป เพราะเกมส์ที่รออยู่ส่วนใหญ่ มันคือเกมส์หาวิธีพังรถบัส ซึ่งจุดที่เคยง่ายที่สุดในการพังรถบัสนั้น คือ การเจาะประตูแรกให้ได้ แต่ในตอนนี้ มันไม่ใช่แล้ว แค่ประตูแรกที่ต้องมาไวมันยังไม่พอ เพราะฝ่ายคู่แข่งที่ก่อกำแพงรถบัสไว้ เดี๋ยวนี้ต่อให้ถูกนำไปแล้ว ก็ยังเล่นกันแบบตั้งใจอุดอยู่ดี แล้วรอจังหวะแบบ “กูขอทีเดียว” มาเป็นไม้ตายหวังจะใช้แย่งชิงแต้มไปจากลิเวอร์พูลให้ได้ อย่างที่เห็นจากนัด ไบรตัน และพาเลส เพียงแต่แนวรับชุดนี้ของเราทำหน้าที่ได้ดี หรือว่าแนวรุกของพวกเขายังดีไม่พอ ที่จะใช้ประโยชน์จากโอกาสไม่กี่ครั้งให้บังเกิดผล แต่ถ้าเจอทีมที่มีแนวรุกจัดจ้านกว่านี้ล่ะ แนวรับลิเวอร์พูลจะเอาอยู่หรือเปล่า
ซึ่งจากที่เห็นในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายในทั้ง 3 เกมส์ ก็รู้ได้ว่า ตัว เจอร์เก้น คล้อปเองก็ให้ความสำคัญกับการวางแผนรับมือล่วงหน้ากับเกมส์ในลักษณะนี้อยู่แล้ว คือการเปลี่ยนตัวแก้เกมส์ลงมา เพื่อหวังเล่น”ปิดกล่อง ปิดเกมส์” เก็บสามแต้มที่ล้ำค่าไว้ให้ได้ เพียงแต่ว่ารูปเกมส์ที่ผู้เล่นคีย์แมนคนสำคัญที่คล้อปหวังจะขับเคลื่อนเกมส์ปิดกล่องแบบนี้ อย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เหมือนเล่นได้อย่าง ไม่ค่อย เนียนตาเท่าไร แต่ผลงานออกมาเนียนใจ คือ ปิดเกมส์ไม่เสียประตูในช่วงท้ายได้ทุกนัด ซึ่งหลายคนอาจเถียงว่าไม่ใช่เป็นเพราะเฮนโด้ เลย แต่เป็น อลิสซอน กับ ฟานไดร์ ต่างหากที่เป็นคีย์แมนในเรื่องนี้ ซึ่งมันก็เถียงไม่ได้เพราะอันนี้คือข้อเท็จจริง แต่สิ่งหนึ่งที่เถียงไม่ได้ คือในยามที่ลิเวอร์พูลมี เฮนโด้ลงสนาม เขาคือผู้เล่นที่เล่นแบบปลอดภัยไว้ก่อน โดยเฉพาะเกมส์รับ และในมิติใหม่ ที่เจอร์เก้น คล้อปสั่งให้เฮนโด้ต้องขึ้นไปเล่นเกมส์รุกมากขึ้นด้วย ทำให้ลักษณะเกมส์รุกที่เล่นแบบฉาบฉวย กล้าได้กล้าเสีย กลายเป็น เพลย์เซฟในเกมส์รุกมากขึ้น ในช่วงท้ายของสามเกมส์ที่ผ่านมาในเวลาที่ เฮนโด้ ลงมาควบคุมจังหวะของทีม ทีมคู่แข่งไม่สามารถเล่นโต้กลับ ในยามที่ตัดลูกในแนวรุกของลิเวอร์พูล มาเล่นแบบเคาเตอร์แอทแท๊คเร็วได้ถนัด ได้แต่อาศัยการลำเลียงลูกอย่างช้าๆ และหาจังหวะวัดดวงกับลิเวอร์พูลจากจังหวะลูกเซ็ตพีทในช่วงท้าย ซึ่งลิเวอร์พูลปีนี้ได้อัพเกรด จนขจัดปัญหาการรับมือกับลูกเซ็ตพีทได้ดีขึ้นแล้ว
แน่นอนว่า การเข้ามาของฟาบินโญ่ อาจทำให้หลายคนคิดว่า โอกาสที่เขาจะทาแทนที่ของเฮนโด้ก็มีส่วนจะเป็นไปได้สูง ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่าเหตุผลหลักของการคาดหวังแบบนั้น มาจากเรื่องเดียวเลยคือ “รำคาญ”วิธีการเล่นของอาแปะ แต่หากมองให้ดีจะเห็นว่าทำไมกัปตันทีม ยังเป็นตัวเลือกแรกในยามที่เจอร์เก้น คล้อป คิดจะปิดเกมส์
แม้ว่าความเป็นผู้นำทีมของเฮนเดอร์สันในสายตาแฟนบอลบางส่วน อาจไม่เป็นที่ยอมรับ นับจากได้รับปลอกแขนมาจาก กัปตันทีมในตำนานอย่าง สตีเฟ่น เจอร์ราด แต่บอกตรงๆว่า ปีนี้ผมคาดหวังกับการลงมาเล่นปิดเกมส์ในช่วงนาทีท้ายๆของเขา แม้จะต้องทนดูเกมส์ที่ชวนอึดอัดแบบนี้ไปอีกหลายสิบนัด และคาดหวังให้ท้ายที่สุด เขาได้เป็นตัวแทนทีมที่มีโอกาสก้าวขึ้นไปคว้าความสำเร็จของสโมสร ในฐานะที่เป็น”กัปตันทีม”
แฟนลิเวอร์พูลท่านอื่นที่เข้ามาอ่านล่ะครับ คิดเห็นเช่นไร