3 โบรกเกอร์เปิดโผ”หุ้นเด็ด”น่าลงทุนครึ่งปีหลัง ดัชนีมีโอกาสแตะ1900

https://money2know.com/%e0%b8%ab%e0%b8%b8%e0%b9%89%e0%b8%99%e0%b8%99%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%a5%e0%b8%87%e0%b8%97%e0%b8%b8%e0%b8%99/

3โบรกเกอร์ชี้เศรษฐกิจไทยดีขึ้น ปัจจัยหนุนตลาดหุ้นครึ่งปีหลัง 2 ใน 3 คาดมีโอกาสแตะ1900  แม้จะมีปัจจัยเสี่ยงแบงก์ชาติขึ้นดอกเบี้ย พร้อมเปิดโผหุ้นเด็ดน่าลงทุนครึ่งปีหลัง

หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ(ตลท.)จัดสัมมนา ”คัดหุ้นเทพฝ่าตลาดผันผวน” โดยมี 3 โบรกเกอร์ร่วมชี้หุ้นเด็ดให้นักลงทุน ประกอบด้วยนายพรเทพ ชูพันธุ์ ผอ.อาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด, นายชัยยศ จิวางกูร ผอ.สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ด้านกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) และนายกรภัทร วรเชษฐ์ ผอ.ฝ่ายวิจัยและบริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระพัฒนสิน จำกัด (มหาชน)

นักวิเคราะห์จาก 3 โบรกเกอร์มองเป้าหมายหุ้นไทยสิ้นปีนี้ต่างกัน แต่มองว่าเศรษฐกิจดีขึ้นชัด มีโอกาสแตะ 1900 พร้อมเปิดโผหุ้นเด็ดครึ่งปีหลังน่าลงทุน

ทิศทางตลาดหุ้นครึ่งปีหลัง มีโอกาสแตะ1900

นายพรเทพ ชูพันธุ์ กล่าวว่า สถานการณ์ตลาดหุ้นในประเทศไทยเพิ่งผ่านความผันผวนมาหมาดๆเลยทีเดียว ซึ่งตอนนี้ จีดีพี โตขึ้น 4.5-4.6% แล้ว ครึ่งปีหลังถ้ามีการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศจะทำให้เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าเศรษฐกิจไทยจะแข็งแกร่งขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ขณะที่ หนี้เสีย(NPL)ดูจะชะลอตัวลงอยู่พอสมควร

คาดว่าภายในครึ่งปีหลังนี้ จะได้เห็นธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแน่นอน แต่ก็ต้องรอลุ้นว่าจะเป็นช่วงเดือนไหนเท่านั้นเอง

“ความผันผวนในตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังคงจะไม่เยอะเท่าครึ่งปีแรก เป็นผลมาจากสิ่งต่างๆในประเทศดีขึ้นอย่างเช่นการส่งออก การท่องเที่ยว และยังมีแนวโน้มที่ชัดเจนในการจัดการเลือกตั้ง ทำให้คาดว่า SET INDEX ปลายปีนี้น่าจะจบที่ 1900 จุด”

ขณะที่นายชัยยศ จิวางกูร กล่าวเสริมว่า โดยส่วนตัวไม่คิดว่าสิ้นปีนี้ SET INDEX จะไปจบถึง 1900 จุดเนื่องจากว่าการจับขับเคลื่อนให้ขึ้นไปสูงขนาดนั้นต้องอาศัยปัจจัยสนับสนุนหลายอย่าง เช่น การลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ, การลงทุนในกองทุนที่มากพอ และธุรกิจต่างๆช่วยกันขับเคลื่อน ซึ่งภาพรวมแล้วเรายังไม่เห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น

ตอนนี้นักลงทุนต่างชาติก็ยังไม่กล้าเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากนักเนื่องจากว่ายังไม่เกิดความเชื่อมั่นในไทยเท่าที่ควร ประกอบกับเศรษฐกิจในประเทศเรามักจะอิงอยู่กับกลุ่มพลังงาน และ คอมเมิร์ซ เป็นหลัก ทำให้ไม่มีธุรกิจหลากหลายที่จะไปหวังพึ่งพาอาศัยได้

จึงคาดว่า SET INDEX ปลายปีนี้ดีที่สุดน่าจะอยู่ที่ 1850 แต่ต้องยอมรับว่าภาพรวมเศรษฐกิจภายในประเทศเราดีขึ้น ภาวะเงินเฟ้อก็ต่ำ แต่ว่านักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ยังมองว่าไส้ในจริงๆของเศรษฐกิจไทยยังคงอ่อนแอ จึงยังไม่กล้าเข้ามาลงทุน

ส่วนนายกรภัทร วรเชษฐ์ กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า เป็นเวลากว่า 4 ปีแล้วที่นักลงทุนต่างชาติขาดความเชื่อมั่นในการลงทุนในประเทศไทย และก็มีหลายกลุ่มที่เทขายหุ้นในไทยทิ้ง แต่ภาพรวมจากช่วงที่ผ่านมาไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้นมาก

แต่สิ่งที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติยังไม่กล้าเข้ามาคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยไม่ได้เติบโตจากปัจจัยภายใน แต่เติบโตจากปัจจัยภายนอก ราคาพืชผลทางเกษตรก็ยังคงตกต่ำ จึงยกเป็นที่กังขากับนักลงทุนต่างชาติว่าเศรษฐกิจไทยนั้นดีขึ้นจริง ซึ่งมันดีกระจุกตัวอยู่ในเฉพาะกลุ่มบริษัทใหญ่เท่านั้น แต่ไม่ได้กระจายตัวออกไปทั่วประเทศ

สิ่งที่ยังเป็นสัญญาณที่ดีอยู่ขณะนี้คือในช่วงไตรมาส 2 การบริโภคในประเทศไทยเริ่มฟื้นตัวขึ้น และการลงทุนในภาครัฐบาล และเอกชนก็มีให้เห็นมากขึ้นเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นสัญญาณที่สามารถมั่นใจได้ว่าเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังจะดีขึ้น แต่ว่าจะไม่ได้ดีแบบเห็นได้ชัดจะเป็นลักษณะค่อยเป็นค่อยไป

ขณะเดียวกันถ้ามีการกำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจนจากรัฐบาลจะทำให้นักลงทุนต่างชาติเชื่อมั่นและจะกลับเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอย่างแน่นอน คาดว่า SET INDEX ปลายปีนี้จะจบที่ 1904 จุด แต่ต้องอาศัยปัจจัยในประเทศหลายอย่างช่วยกันสนับสนุนด้วยในการไปถึงจุดนั้น

ต่างมุมมอง”หุ้นเด็ดน่าลงทุนครึ่งปีหลัง”

นายพรเทพ ชูพันธุ์ กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังนี้สิ่งที่ประเทศไทยจะต้องเผชิญแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่ๆ นั่นคือ การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารแห่งประเทศไทย และค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง เป็นผลจากภาวะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐฯก็ได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว

ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งตัว ทำให้ค่าเงินบาทที่มักจะสวนทางกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง แต่ถ้าไปมองการบริโภคภายในประเทศถือว่ามีการปรับตัวสูงขึ้นในระดับกลางและสูง แต่ระดับรากหญ้ายังอยู่ในช่วงตกต่ำ

แต่ก็ยังทำให้เศรษฐกิจโดยรวมยังคงดีอยู่ ซึ่งสถานการณ์โดยรวมแบบนี้นักลงทุนควรเลือกการลงทุนในธุรกิจประเภทธนาคาร, การส่งออก, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และ อาหาร สำหรับหุ้นที่แนะนำได้แก่ BBL, KTB, GFTP ,SVI, STEC

ส่วนนายชัยยศ จิวางกูร เสริมว่า อัตราดอกเบี้ยภายในประเทศครึ่งปีหลังนี้น่าจะขึ้นไปที่ 1.75 แต่เชื่อว่ายังไม่กระทบตลาดหุ้นไทย ซึ่งช่วงแรกของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจจะทำให้หุ้นตกเล็กน้อย เป็นผลมาจากภาวะความตระหนกของนักลงทุน เนื่องจากเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกแต่หลังจากนั้นเชื่อว่าจะค่อยๆ ดีขึ้น

สำหรับกลุ่มธุรกิจที่น่าเข้าไปลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังนี้คือกลุ่มธุรกิจประเภทธนาคาร, การส่งออก, โดยเฉพาะการส่งออกไก่ที่ช่วงไตรมาส 3 มักจะเป็นช่วงพีคของการส่งออกไก่จะทำให้ราคาหุ้นในกลุ่มนี้ปรับตัวขึ้น นอกจากนี้ก็ยังมีธุรกิจกลุ่มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และโรงพยาบาล ที่ช่วงไตรมาส 3 เป็นช่วงฝนฟ้าตกบ่อยจะทำให้คนป่วยกันมากขึ้นซึ่งก็เป็นช่วงขาขึ้นของโรงพยาบาลอยู่แล้ว

สำหรับหุ้นที่แนะนำได้แก่ KCE, GFPT, BDMS, BBL, STEC

ขณะที่นายกรภัทร วรเชษฐ์ กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า โดยส่วนตัวกลับมองต่างเพราะไม่คิดว่าหุ้นในประเภทการส่งออกจะทำกำไรได้มากนักในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะความต้องการซื้อสินค้าของไทยจากจีนลดลง และยังมีการกีดกันสินค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์จากโนมูระวะเงินบาทจะแข็งตัวในช่วง 3 เดือนถัดจากนี้

เป็นผลมาจากภาวะของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ซึ่งสหรัฐฯได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการจากจีนแทบจะหมดทุกอย่างแล้ว ขณะเดียวกันสถานการณ์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไรเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับครึ่งแรกของปี

แต่ไทยเองก็มีแนวโน้มเศรษฐกิจดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ธนาคารแห่งประเทศไทยมีแนวโน้มสูงที่จะขึ้นดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลัง นั่นจะส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้น เป็นปัจจัยที่ว่ากลุ่มธุรกิจประเภทส่งออกไม่น่าจะทำกำไรได้ดีในช่วงครึ่งปีหลังนี้

ทางกลุ่มโนมูระได้มองหุ้นที่น่าลงทุนในครึ่งปีหลังไว้ดังนี้ PTT, K-BANK, CPALL, CK, PYLON, AMATA, AMANA, STEC

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่