สวัสดีครับเพื่อนๆชาวพันทิพ ผมมีเรื่องราวอยากจะมาแชร์เพื่อนๆ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันนะครับ
เมื่อ 8-9 ปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกา ศึกษาต่อและหางานทำที่อเมริกา ได้มีโอกาสไปเรียนรู้วัฒนธรรมของคนอเมริกาว่า เค้าคิดต่างอย่างไรจากคนไทย เค้ามีอะไรที่เราควรนำมาปรับใช้ เค้ามีอะไรที่ไม่เหมาะกับวัฒนธรรมบ้านเรา
คงเหมือนกับหลายๆคนเวลาได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตต่างประเทศไม่ว่าจะประเทศไหนก็ตาม สิ่งแรกสุดที่หนีไม่พ้นเลยคงเป็นการปรับตัว ผมเข้าประเทศอเมริกาในฐานะนักเรียนปริญญาโท โชคดีที่ที่พักที่ผมอยู่เป็นหอพักในบริเวณมหาลัย ดังนั้นเฟอร์นิเจอร์สำคัญๆต่างๆก็มีพร้อมเรียบร้อย จะขาดก็แต่หนึ่งสิ่งที่อาจจะจำเป็นที่สุดก็ว่าได้ นั่นก็คืออินเตอร์เนต WiFi ด้วยความที่มหาลัยที่ผมไปเรียนต่อ และหอที่ผมพักอยู่ ค่อนข้างอยู่ใกลจากพวกแหล่งห้างสรรพสินค้า จะมีก็แต่กลุ่มร้านค้าเป็นเวิ้งๆเช่น Target กับ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งก็ต้องนั่งรถเมล์ ไม่ก็ติดรถเพื่อนไป
ด้วยความที่ต้องการเชื่อมต่อ gadget ของผมกับ internet ผมก็เลยต้องเริ่มการปรับตัวขั้นแรกเข้ากับวัฒนธรรมอเมริกาในการซื้อของ นั่นก็คือ amazon.com ครับ (เวบขายของนะครับ ไม่ใช่ขายกาแฟ) จินตนาการตามว่า สมัยนั้นเมืองไทยไม่น่าจะยังมีเวบ e-commerce หลากหลายอย่างทุกวันนี้ คนยังไม่ค่อยกล้าซื้อของออนไลน์อยู่ กลัวโดนโกงบัตรเครดิตบ้าง กลัวโดนโกงบ้าง ของไม่มาส่งบ้าง
ในอเมซอน ผมสามารถหา เลือกซื้อ และเปรียบเทียบ WiFi เร้าท์เตอร์ เป็นสิบเป็นร้อยรุ่นที่เหมาะกับงบที่ผมมี ผมแอบลังเลนิดนึงว่าจะโดนโกงไหม แต่ด้วยความที่ย้อนคิดว่าเรามาที่นี่เพื่อที่จะลองอะไรใหม่ๆ ผมกดสั่งซื้อรุ่นที่เกือบดีที่สุดและราคาสมเหตุสมผลไป
สุดท้ายของก็มาจริงๆใน 2-3 วัน มาในกล่องกระดาษ มีโลโก้ amazon อยู่ด้านนอก จ่าหน้าถึงผม วางอยู่ในโถงทางเข้าของหอที่ผมพักอยู่ ตอนนั้นแอบตื่นเต้นเหมือนกันเหมือนได้ของขวัญ (แต่จริงๆเราจ่ายตั้งเองนะเฟร้ย 555) ได้เร้าท์เตอร์มาใช้แล้ว ตอนนั้นรูมเมทฝรั่งเห็นเรามีWifiแล้ว มาขอยืมใช้ (ห้องพักมีสาย LAN ให้ห้องนอนละสาย ถ้าไม่มีเร้าท์เตอร์มันต่อได้เครื่องเดียวต่อห้องนอน) แอบภูมิใจเล็กๆ เราเตรียมตัวใช้ชีวิตเด็กหอได้เร็วกว่าฝรั่งด้วยเว้ยเฮ้ย
ที่นี้ปัญหามันมีอยู่ว่าไอ้ตัวเร้าท์เตอร์ที่เพิ่งซื้อมาใหม่ ใช้ไปไม่น่าเกินอาทิตย์มันก็ต่ออินเตอร์เนตไม่ได้ ผมนี่แบบ “เฮ้ย มันส่งของห่วยมาให้นี่หว่า ไอ้เวบ!@#!#%” เหมือนรู้สึกโดนหลอกอย่างจัง (ผมมาอ่านประวัติการซื้อทีหลังพบว่าเร้าท์เตอร์ที่ผมซื้อมาจากการเลือกสรรค์ด้วยราคาที่คุ้มค่าที่สุดนั้น มีเขียนต่อท้ายว่า refurbished อยู่ 55555 ซึ่งทำให้ผมเข็ดกับสินค้า refurbished ไปอีกนาน)
แต่โชคดีที่หลังจากลอกคลิกไปคลิกมาดู มันมีหัวข้อให้ผมสามารถ “คืนสินค้า” ได้ ซึ่งไหนๆของมันก็ใช้ไม่ได้ละ ไม่มีอะไรจะเสีย ผมก็ลองคลิกไปดู ปรากฎว่าเค้าให้ผมระบุว่าคืนเพราะอะไรแล้วสุดท้ายให้ปริ้นท์ (ด้วยปรินท์เตอร์ที่ส่งมาจากอเมซอนเหมือนกัน
)
จ่าหน้าซองกลับไปที่อเมซอน ผมก็แบบ “เฮ้ย มันคูลดีหวะ” ดูไฮเทค (จินตนาการตามอีกนะครับว่าเมื่อ 8-9 ปีที่แล้ว ไปส่งของที่ไปรษณีย์ไทยบ้านเรา ทุกคนต้องแบบ ไปซื้อกล่องที่ไปรษณีย์ แพคของที่ไปรษณีย์ จ่าหน้าซองที่ไปรษณีย์
คือถ้าคุณลืมเอาปากกาไป ก็ต้องไปต่อคิวใช้ปากกาที่พูกเชือกไว้กับโต๊ะ - ซึ่งปัจจุบันสเตปอาจยังคล้ายเดิมแต่ดีที่บริการและผู้ใช้บริการพร้อมกว่ามาก ทุกอย่างเร็วกว่าเยอะ - แต่ก่อนเหมือนกับไปทำธุรกรรมกับสถานที่ราชการอื่นๆไม่ผิด)
ทีนี้ผมก็ลองส่งของกลับไป ภายใน 1-2 วัน ในเวบขึ้นสถานะว่าได้รับของแล้วกำลังเดินเรื่องคืนเงินให้ ทำให้ผมรู้สึกว่าเวบนี้มันก็พอพึ่งพาได้อยู่ (หลังจากเห็นสถานะคืนของมีความคืบหน้าแล้ว ผมก็ได้สั่งซื้อ WiFi เราท์เตอร์ตัวใหม่ทันที 55555)
หลังจากผมก็เริ่มปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมการช้อปปิ้งออนไลน์ของเมกามากขึ้นเรื่อยๆ วันก่อนเพิ่มมานั่งดูเล่นๆว่าตอนอยู่ที่นู่นซื้ออะไรไปบ้าง ปรากฎว่าเค้ายังเก็บประวัติไว้ให้ กดนั่งดูหลายร้อยออเดอร์ สินค้าน่าจะเป็นหลักพันชิ้น ที่เคยซื้อไปก็ตลกดี ว่าเราซื้ออะไร ตอนไหน เพราะอะไร เหมือนนั่งดู feed เก่าๆบนเฟสบุคไม่ผิด ไม่ว่าจะเป็นของใช้จำเป็นเช่น กาน้ำ ตะขอแขวนเสื้อผ้าที่ห้อยอยู่บนประตู (ไม่ต้องเจาะ เพราะอยู่หอเจาะไม่ได้) เก้าอี้ออฟฟิศ ไปจนถึง gadget ต่างๆ หูฟัง บลูทูธ กล้องต่างๆ สินค้าแฟชั่น รองเท้าแตะ แว่นตา หมวก รองเท้านุ่มๆใส่ในบ้าน ไปจนถึงของชำร่วยงานแต่ง เนคไทค์ให้เพื่อนเจ้าบ่าว และสินค้าเด็กอ่อน ของเล่นเด็ก ขวดนม หนังสือเลี้ยงเด็กอย่างไร เตียงเด็ก รถเข็นเด็ก ตะกร้าใส่เสื้อผ้า และอื่นๆอีกมากมาย ปีสุดท้ายที่ผมอยู่เมกานี่ถือว่าเป็นปีทองของผมกับอเมซอนเลยคือ ของมาส่งประมาณวันเว้นวันได้ จนรู้สึกว่า คนส่งของเป็นเพื่อนบ้านไปแล้ว 5555
ผมกลับมาอยู่ไทยได้ 2-3 ปีแล้ว แต่ยังรู้สึกว่าการช้อปปิ้งออนไลน์ของไทยและเมกาไม่เหมือนกัน และอาจจะไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน หนึ่งในจุดที่ทำให้แตกต่างอาจเป็นเพราะ e-commerce เราเริ่มบูมเวลาที่มีเทคโนโลยีใหม่กว่าเช่น facebook , LINE (แต่ที่อเมริกา อเมซอนมาก่อนเฟสบุ๊ค ประมาณสิบปีได้) เลยมีการซื้อของโดยตรงผ่านพ่อค้าแม่ค้า รวมไปถึง กรุ๊ปในเฟสและไลน์ ต่างๆ นอกเหนือจากการซื้อของโดยตรงจากเวบไซต์เช่น ลาซาด้า, ชอปปี้ อีกด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเวบไซต์ชื่อดังทั้งหลายในไทยเหมือนจะยังไม่ได้มีสินค้าหลากหลายเท่าอเมซอน ส่วนใหญ่เหมือนจะมาจากจีนเป็นหลัก ซึ่งอเมซอนสินค้าขายดีหลายประเภทก็มาจากจีนเหมือนกันแต่เป็นจีนที่ผ่านการทำแบรนด์มาให้ดูน่าเชื่อถือมีการรับประกัน และสิ่งเล็กๆน้อยๆอีกหลายอย่างที่ผมยังรู้สึกว่า e-commerce ไทยยังดีได้กว่านี้อีก
เลยอยากจะถามเพื่อนๆใครที่เคยมีประสบการณ์หรือตอนนี้ยังอยู่ที่เมืองนอกว่า
- คิดว่าการช้อปปิ้งออนไลน์ที่ไทยตอนนี้เป็นอย่างไร?
- คิดว่ามีความสะดวกสบายมีของให้เลือกซื้อหลากหลายเทียบเคียงกับเมืองนอกที่เค้าน่าจะพัฒนาไปมากกว่าเรา แล้วหรือยัง?
หรือใครที่ไม่เคยมีประสบการณ์ใช้ชีวิตต่างแดน
- คิดว่าตอนนี้การช้อปปิ้งออนไลน์เป็น “ส่วนหนึ่งของชีวิต” มากน้อยแค่ไหน?
- ประสบการณ์ช้อปปิ้งออนไลน์ของเพื่อนๆเป็นยังไงบ้าง ซื้อบนเวบไหนอยู่ หรือซื้อตามกลุ่มไลน์?
- มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดหรือเหวอๆแบบที่ผมเคยเจอมั่งหรือเปล่า?
อยากลองฟังความคิดเห็นของเพื่อนๆครับ
สุดท้ายนี้ ขอบคุณทุกคนที่อ่านนะครับ
ช้อปออนไลน์ ไทย vs. อเมริกา
เมื่อ 8-9 ปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกา ศึกษาต่อและหางานทำที่อเมริกา ได้มีโอกาสไปเรียนรู้วัฒนธรรมของคนอเมริกาว่า เค้าคิดต่างอย่างไรจากคนไทย เค้ามีอะไรที่เราควรนำมาปรับใช้ เค้ามีอะไรที่ไม่เหมาะกับวัฒนธรรมบ้านเรา
คงเหมือนกับหลายๆคนเวลาได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตต่างประเทศไม่ว่าจะประเทศไหนก็ตาม สิ่งแรกสุดที่หนีไม่พ้นเลยคงเป็นการปรับตัว ผมเข้าประเทศอเมริกาในฐานะนักเรียนปริญญาโท โชคดีที่ที่พักที่ผมอยู่เป็นหอพักในบริเวณมหาลัย ดังนั้นเฟอร์นิเจอร์สำคัญๆต่างๆก็มีพร้อมเรียบร้อย จะขาดก็แต่หนึ่งสิ่งที่อาจจะจำเป็นที่สุดก็ว่าได้ นั่นก็คืออินเตอร์เนต WiFi ด้วยความที่มหาลัยที่ผมไปเรียนต่อ และหอที่ผมพักอยู่ ค่อนข้างอยู่ใกลจากพวกแหล่งห้างสรรพสินค้า จะมีก็แต่กลุ่มร้านค้าเป็นเวิ้งๆเช่น Target กับ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งก็ต้องนั่งรถเมล์ ไม่ก็ติดรถเพื่อนไป
ด้วยความที่ต้องการเชื่อมต่อ gadget ของผมกับ internet ผมก็เลยต้องเริ่มการปรับตัวขั้นแรกเข้ากับวัฒนธรรมอเมริกาในการซื้อของ นั่นก็คือ amazon.com ครับ (เวบขายของนะครับ ไม่ใช่ขายกาแฟ) จินตนาการตามว่า สมัยนั้นเมืองไทยไม่น่าจะยังมีเวบ e-commerce หลากหลายอย่างทุกวันนี้ คนยังไม่ค่อยกล้าซื้อของออนไลน์อยู่ กลัวโดนโกงบัตรเครดิตบ้าง กลัวโดนโกงบ้าง ของไม่มาส่งบ้าง
ในอเมซอน ผมสามารถหา เลือกซื้อ และเปรียบเทียบ WiFi เร้าท์เตอร์ เป็นสิบเป็นร้อยรุ่นที่เหมาะกับงบที่ผมมี ผมแอบลังเลนิดนึงว่าจะโดนโกงไหม แต่ด้วยความที่ย้อนคิดว่าเรามาที่นี่เพื่อที่จะลองอะไรใหม่ๆ ผมกดสั่งซื้อรุ่นที่เกือบดีที่สุดและราคาสมเหตุสมผลไป
สุดท้ายของก็มาจริงๆใน 2-3 วัน มาในกล่องกระดาษ มีโลโก้ amazon อยู่ด้านนอก จ่าหน้าถึงผม วางอยู่ในโถงทางเข้าของหอที่ผมพักอยู่ ตอนนั้นแอบตื่นเต้นเหมือนกันเหมือนได้ของขวัญ (แต่จริงๆเราจ่ายตั้งเองนะเฟร้ย 555) ได้เร้าท์เตอร์มาใช้แล้ว ตอนนั้นรูมเมทฝรั่งเห็นเรามีWifiแล้ว มาขอยืมใช้ (ห้องพักมีสาย LAN ให้ห้องนอนละสาย ถ้าไม่มีเร้าท์เตอร์มันต่อได้เครื่องเดียวต่อห้องนอน) แอบภูมิใจเล็กๆ เราเตรียมตัวใช้ชีวิตเด็กหอได้เร็วกว่าฝรั่งด้วยเว้ยเฮ้ย
ที่นี้ปัญหามันมีอยู่ว่าไอ้ตัวเร้าท์เตอร์ที่เพิ่งซื้อมาใหม่ ใช้ไปไม่น่าเกินอาทิตย์มันก็ต่ออินเตอร์เนตไม่ได้ ผมนี่แบบ “เฮ้ย มันส่งของห่วยมาให้นี่หว่า ไอ้เวบ!@#!#%” เหมือนรู้สึกโดนหลอกอย่างจัง (ผมมาอ่านประวัติการซื้อทีหลังพบว่าเร้าท์เตอร์ที่ผมซื้อมาจากการเลือกสรรค์ด้วยราคาที่คุ้มค่าที่สุดนั้น มีเขียนต่อท้ายว่า refurbished อยู่ 55555 ซึ่งทำให้ผมเข็ดกับสินค้า refurbished ไปอีกนาน)
แต่โชคดีที่หลังจากลอกคลิกไปคลิกมาดู มันมีหัวข้อให้ผมสามารถ “คืนสินค้า” ได้ ซึ่งไหนๆของมันก็ใช้ไม่ได้ละ ไม่มีอะไรจะเสีย ผมก็ลองคลิกไปดู ปรากฎว่าเค้าให้ผมระบุว่าคืนเพราะอะไรแล้วสุดท้ายให้ปริ้นท์ (ด้วยปรินท์เตอร์ที่ส่งมาจากอเมซอนเหมือนกัน )
จ่าหน้าซองกลับไปที่อเมซอน ผมก็แบบ “เฮ้ย มันคูลดีหวะ” ดูไฮเทค (จินตนาการตามอีกนะครับว่าเมื่อ 8-9 ปีที่แล้ว ไปส่งของที่ไปรษณีย์ไทยบ้านเรา ทุกคนต้องแบบ ไปซื้อกล่องที่ไปรษณีย์ แพคของที่ไปรษณีย์ จ่าหน้าซองที่ไปรษณีย์
คือถ้าคุณลืมเอาปากกาไป ก็ต้องไปต่อคิวใช้ปากกาที่พูกเชือกไว้กับโต๊ะ - ซึ่งปัจจุบันสเตปอาจยังคล้ายเดิมแต่ดีที่บริการและผู้ใช้บริการพร้อมกว่ามาก ทุกอย่างเร็วกว่าเยอะ - แต่ก่อนเหมือนกับไปทำธุรกรรมกับสถานที่ราชการอื่นๆไม่ผิด)
ทีนี้ผมก็ลองส่งของกลับไป ภายใน 1-2 วัน ในเวบขึ้นสถานะว่าได้รับของแล้วกำลังเดินเรื่องคืนเงินให้ ทำให้ผมรู้สึกว่าเวบนี้มันก็พอพึ่งพาได้อยู่ (หลังจากเห็นสถานะคืนของมีความคืบหน้าแล้ว ผมก็ได้สั่งซื้อ WiFi เราท์เตอร์ตัวใหม่ทันที 55555)
หลังจากผมก็เริ่มปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมการช้อปปิ้งออนไลน์ของเมกามากขึ้นเรื่อยๆ วันก่อนเพิ่มมานั่งดูเล่นๆว่าตอนอยู่ที่นู่นซื้ออะไรไปบ้าง ปรากฎว่าเค้ายังเก็บประวัติไว้ให้ กดนั่งดูหลายร้อยออเดอร์ สินค้าน่าจะเป็นหลักพันชิ้น ที่เคยซื้อไปก็ตลกดี ว่าเราซื้ออะไร ตอนไหน เพราะอะไร เหมือนนั่งดู feed เก่าๆบนเฟสบุคไม่ผิด ไม่ว่าจะเป็นของใช้จำเป็นเช่น กาน้ำ ตะขอแขวนเสื้อผ้าที่ห้อยอยู่บนประตู (ไม่ต้องเจาะ เพราะอยู่หอเจาะไม่ได้) เก้าอี้ออฟฟิศ ไปจนถึง gadget ต่างๆ หูฟัง บลูทูธ กล้องต่างๆ สินค้าแฟชั่น รองเท้าแตะ แว่นตา หมวก รองเท้านุ่มๆใส่ในบ้าน ไปจนถึงของชำร่วยงานแต่ง เนคไทค์ให้เพื่อนเจ้าบ่าว และสินค้าเด็กอ่อน ของเล่นเด็ก ขวดนม หนังสือเลี้ยงเด็กอย่างไร เตียงเด็ก รถเข็นเด็ก ตะกร้าใส่เสื้อผ้า และอื่นๆอีกมากมาย ปีสุดท้ายที่ผมอยู่เมกานี่ถือว่าเป็นปีทองของผมกับอเมซอนเลยคือ ของมาส่งประมาณวันเว้นวันได้ จนรู้สึกว่า คนส่งของเป็นเพื่อนบ้านไปแล้ว 5555
ผมกลับมาอยู่ไทยได้ 2-3 ปีแล้ว แต่ยังรู้สึกว่าการช้อปปิ้งออนไลน์ของไทยและเมกาไม่เหมือนกัน และอาจจะไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน หนึ่งในจุดที่ทำให้แตกต่างอาจเป็นเพราะ e-commerce เราเริ่มบูมเวลาที่มีเทคโนโลยีใหม่กว่าเช่น facebook , LINE (แต่ที่อเมริกา อเมซอนมาก่อนเฟสบุ๊ค ประมาณสิบปีได้) เลยมีการซื้อของโดยตรงผ่านพ่อค้าแม่ค้า รวมไปถึง กรุ๊ปในเฟสและไลน์ ต่างๆ นอกเหนือจากการซื้อของโดยตรงจากเวบไซต์เช่น ลาซาด้า, ชอปปี้ อีกด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเวบไซต์ชื่อดังทั้งหลายในไทยเหมือนจะยังไม่ได้มีสินค้าหลากหลายเท่าอเมซอน ส่วนใหญ่เหมือนจะมาจากจีนเป็นหลัก ซึ่งอเมซอนสินค้าขายดีหลายประเภทก็มาจากจีนเหมือนกันแต่เป็นจีนที่ผ่านการทำแบรนด์มาให้ดูน่าเชื่อถือมีการรับประกัน และสิ่งเล็กๆน้อยๆอีกหลายอย่างที่ผมยังรู้สึกว่า e-commerce ไทยยังดีได้กว่านี้อีก
เลยอยากจะถามเพื่อนๆใครที่เคยมีประสบการณ์หรือตอนนี้ยังอยู่ที่เมืองนอกว่า
- คิดว่าการช้อปปิ้งออนไลน์ที่ไทยตอนนี้เป็นอย่างไร?
- คิดว่ามีความสะดวกสบายมีของให้เลือกซื้อหลากหลายเทียบเคียงกับเมืองนอกที่เค้าน่าจะพัฒนาไปมากกว่าเรา แล้วหรือยัง?
หรือใครที่ไม่เคยมีประสบการณ์ใช้ชีวิตต่างแดน
- คิดว่าตอนนี้การช้อปปิ้งออนไลน์เป็น “ส่วนหนึ่งของชีวิต” มากน้อยแค่ไหน?
- ประสบการณ์ช้อปปิ้งออนไลน์ของเพื่อนๆเป็นยังไงบ้าง ซื้อบนเวบไหนอยู่ หรือซื้อตามกลุ่มไลน์?
- มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดหรือเหวอๆแบบที่ผมเคยเจอมั่งหรือเปล่า?
อยากลองฟังความคิดเห็นของเพื่อนๆครับ
สุดท้ายนี้ ขอบคุณทุกคนที่อ่านนะครับ