แนวคิดเรื่องการสอนให้ลูกสาวขอเงินสามีใช้ และเอาเงินสามีมาเลี้ยงดูพ่อแม่ นี่มันถูกต้องไหมคะ?

สอบถามเรื่องที่สงสัยในใจมานานค่ะ คือ เราโดนแม่ปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กเรื่องแนวคิดนี้ (ส่วนพ่อไม่เคยพูดเรื่องนี้ค่ะ)
เพราะว่าแม่จะบอกอยู่เสมอว่า แม่มีลูกเพื่อหวังว่าตอนแก่เฒ่า ลูกจะต้องดูแลแม่
แม่จะคอยสอนเสมอว่า เราต้องหาสามีรวยๆ ซึ่งเราก็ไม่เคยเข้าใจนะ
แต่แม่บอกว่า มีสามีรวยๆชีวิตจะได้สบายๆ
แล้วแม่ก็สอนให้เรา ขอเงินสามี บอกว่าเงินเดือนได้เท่าไหร่ ให้เราเป็นคนเก็บทั้งหมด
และแบ่งสัดส่วนให้สามีใช้ในแต่ละเดือน แต่เรื่องค่าใช้จ่ายให้เราบริหารจัดการเอง
แต่ที่แม่สอนมาทั้งหมดเราไม่เคยทำ เพราะเราเคยเห็นแม่ทำกับพ่อแบบนี้ เราสงสารพ่อ เหมือนติดคุก
จะทำอะไรทีต้องขอเงินแม่ จนช่วงหลังพ่อแอบไปมีเมียน้อยเป็นนักศึกษา แม่ก็โวยวายบ้านแตก
แต่เราคิดว่าพ่อคงเก็บกด แต่ด้วยหน้าที่พ่อ เค้าก็คงพูดอะไรมากไม่ได้

หนักเข้า...แม่สอนให้เรา ขอเงิน สามีมาให้พ่อแม่ใช้ เวลาเราเดือดร้อนเรื่องเงิน
เช่น เราให้เงินเดือนแม่ทุกเดือน เดือนละ 5000 ตั้งแต่ก่อนแต่งงาน มาเรื่อยๆ
จนปัจจุบัน แต่งงานมีลูกแล้ว ถ้าเดือนไหนเราไม่มีเงิน
เราจะขอแม่บอกว่า เดือนนี้ค่าใช้จ่ายเยอะจริงๆ ขอลดเหลือสัก 3000 ได้มั้ย
เพราะเราลำบากช่วงนี้ เรากำลังตั้งตัวด้วย ลูกก้อยังเล็ก แล้วแม่เองท่านก็มีรายได้ส่วนอื่นๆอยู่บ้าง
จากค่าให้เช่าบ้าน และพ่อให้อีก ตกเดือนละเกือบ 1 หมื่นบาท
ทีนี้ พอเราไปบอกว่า ขอลดลงบ้างได้มั้ย ช่วงนี้เราไม่ไหวจริงๆ
แม่ก็จะว่าเรา บอกว่าเราทำไมทำแบบนี้ แม่ไม่เคยให้เราเดือดร้อนลำบากเลยตั้งแต่เด็ก
แต่ทำไมพ่อแม่คนเดียว เราดูแลไม่ได้
จนสุดท้ายแม่จะบอกให้เราขอเงินสามี มาให้แม่

เราก็บอกว่า “ทุกคนไม่ได้เป็นเหมือนพ่อนะ”
ปรากฏว่าแม่โกรธ และด่าว่าเราโง่ จะรักใครทั้งทีทำไมต้องยอมเค้า
ทำไมไม่เป็นคนเลือกเอง ทำไมไม่เป็นช้างเท้าหน้า เรามันโง่ ยิ่งโตยิ่งโง่
แล้วแม่ก็บอกว่าใครๆ เค้าก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ
มีแต่เราเท่านั้นและที่โง่ และยอมตกเป็นเหยื่อให้เค้าหลอก
แต่งงานไปแล้วแทนที่จะสุขสบายขึ้น แต่ทำไมกลายเป็นยากจนลงกว่าเดิม
เวนกรรมของเรา เราคงทำกรรมไม่ดีมา แม่ว่าเราแบบนี้

เราน้อยใจแม่มาก แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ทุกครั้งที่มีปัญหาแม่ไม่เคยเข้าใจ
มีแต่ต่อว่าเรา ว่าเราโง่ ที่ไม่ขอเงินสามีใช้ และไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากสามี

พอโดนแม่กรอกหูแบบนี้บ่อยๆเข้า เราก็เริ่มงงล่ะว่า
ตรรกะแบบนี้ มันถูกต้อง หรือ ไม่ถูกต้อง กันแน่
เรื่องแนวคิดที่บอกว่าหากแต่งงานกันแล้ว สามีต้องเป็นคนดูแลภรรยา ต้องมีเงินพอเลี้ยงดูเราและครอบครัว
และต้องให้เงินเดือนเราเป็นประจำ เดือนละเท่าไหร่ๆก็ว่าไป
และต้องให้เราเป็นใหญ่ในบ้าน โดยค่าใช้จ่ายทั้งหมดต้องให้เราเป็นคนจัดการเอง
ก็เลยไม่แน่ใจว่า เอ๊ะ..แนวคิดแบบนี้มันถูกต้องในสังคมไทยแล้วใช่ไหม
โดยเฉพาะเรื่องที่ ต้องเอาเงินจากสามีเรา มาเลี้ยงดูพ่อแม่เรา
มันไม่ถูกต้อง เอ๊ะ หรือว่าแต่ละครอบครัว ไม่ควรจะเหมือนกัน
อะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง เพราะเมื่อเราบอกว่า เรามีแนวคิดสมัยใหม่ ว่าผู้หญิงต้องดูแลตัวเอง
และเรากับแฟนก็แชร์กัน 50/50 ทุกเรื่อง แม่จะบอกว่าเราโง่
เราไม่ทันคนหรอก ยิ่งแก่ยิ่งโง่ ชีวิตหลังแต่งงานทำไมแย่กว่าตอนอยู่เป็นโสด
เราคงทำเวรทำกรรมมาไม่ดี จึงได้คู่ครองแบบนี้


บางครั้งเราก็เผลอมองแม่เราแบบไม่ดีไปเลย
แต่บางครั้ง เราก็มานั่งคิดว่า เฮ้ย..แต่นี่แม่เรานะ เค้าจะไม่ไม่หวังดีกับเราทำไม
ยิ่งคิด ก็ยิ่ง งง ยิ่งไม่เข้าใจ ว่าสิ่งที่เราคิดมันผิดหรอ ทำไมเราถึงโดนด่า
และทำไมแม่ถึงไม่เข้าใจ เรื่องที่เราเดือดร้อน ทำไมถึงคิดจะเอาแต่เงินเรา ทั้งที่เราลำบาก
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
แม่คุณอาจจะเรียนมาน้อย หารายได้เองได้น้อย ไม่พอใช้ จึงจำเป็นต้องการเงินจากสามีและลูก และคิดว่าการขอเงินง่ายๆ เป็นความฉลาดของตนเอง
ซึ่งแนวคิดนี้ไม่ได้ถูกต้องนัก เรามองว่าเป็นแนวคิดของผู้หญิงที่หารายได้ไม่เก่งและไม่มีความสามารถในการหาเงินด้วยตนเอง จึงต้องขอคนอื่น

ถ้าคุณเป็นคนที่มีความสามารถในการหารายได้เอง และรายได้มากพอดูแลตนเอง แนวคิดพวกนี้จะไม่อยู่ในหัวของคุณเลย

คุณคิดดีของคุณอยู่แล้ว อย่าเอาความคิดแม่ของคุณมาทำให้ตนเองสับสน
ความคิดเห็นที่ 11
แนวคิดของแม่เป็นแนวคิดของผู้หญิงสมัยก่อน ที่ต้องพึ่งพาสามี นิยมมีลูกแล้วให้ลูกเลี้ยง คนสมัยก่อนจะมองว่าการตั้งใจเลี้ยงลูก ไม่ทอดทิ้ง จะได้ผลที่ดีกลับมาคือลูกเลี้ยงตัวเองตอนแก่

ในขณะที่คนสมัยใหม่ จะมีแนวคิดแบบตะวันตกคือต้องพึ่งตัวเองได้

การที่คุณเลี้ยงดูแม่นั้นก็เป็นไปตามแผนเกษียณที่แม่วางแผนไว้

อย่าไปตัดสินถูกผิดเลยค่ะ เหนื่อยเปล่า เพราะคนแต่ละยุคสมัยถูกหล่อหลอมมาไม่เหมือนกัน ผู้หญิงสมัยก่อนไม่ได้รับการศึกษาสูง ไม่ได้ทำงานนอกบ้าน หรือทำก็ได้เงินไม่เยอะ และต้องเลี้ยงลูก สิ่งที่แม่ทำคือ perfect solution ในยุคนั้นนะ ลดความเสี่ยงโดยการเก็บเงินสามีทั้งหมด ส่วนสิ่งที่คุณทำคือ perfect solution ในยุคนี้ ลดความเสี่ยงโดยการพึ่งพาตัวเอง

เขาพูดอะไรมาก็ปล่อยผ่านเถอะ เราแค่ทำหน้าที่ของเราให้ดีก็พอแล้ว ส่วนการใช้ชีวิตของเรา เรากำหนดเองค่ะ อันไหนคิดว่าดีนำมาปรับใช้ อันไหนไม่เหมาะก็ปล่อยผ่าน
ความคิดเห็นที่ 7
เรารู้แต่ว่า เรารังเกียจแนวคิดแบบนี้มาก
และถ้าเรามีลูก เราจะไม่สอนลูกแบบนี้ค่ะ
เข้ามาให้กำลังใจคุณเจ้าของกระทู้นะคะ
ความคิดเห็นที่ 33
คหสต คิดว่าไม่ถูกต้องครับ
1. เรื่อง "มีลูกเพื่อหวังว่าลูกจะต้องมาดูแล" อันนี้ไม่ถูกต้องนัก บางครอบครัวจะอาศัยคำว่า "กตัญญู" มากดดันลูก ว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ จนเป็นข้อกำหนดกรอบชีวิตของคนเป็น "ลูก" จนเกินไป
   กลับกันมองย้อนกลับไปที่คนเป็น "พ่อเป็นแม่" ในวันที่คุณจะมีลูกนั้น คุณมีความพร้อมที่จะดูแล อบรมสั่งสอน ให้การสนับสนุน ให้ลูกเติบโตอย่างเหมาะสมแล้ว? จะพบว่าในบางครอบครัวก็จะขยันมีลูก เลี้ยงดูไปวัน ๆ เหมือนเป็นแรงงานในบ้าน ให้เรียนไปงั้น ๆ พอเรียนได้ระดับหนึ่งก็จะให้ออกไปหางานทำ เช่น ไปทำงานโรงงาน แล้วก็นั่งรอนอนรอ "เงิน" จากลูก อาศัยความดราม่าต่าง ๆ คุยโวโอ้อวดกัน สร้างบ้านแข่งขัน ซื้อรถแข่งกัน เล่นการพนัน ติดเหล้า เข้าสังคม ลูกก็ทำงานไป แถม สอนต่อว่า ให้หาคู่ครองรวย ๆ นะ จะได้สบาย บลา ๆ ๆ
   อย่างที่บอก ต่างครอบครัวก็ต่างความคิด อย่างของถูกเลี้ยงมาในแนวคิดที่ว่า พ่อแม่
- จะดูแลลูกให้ดีตามฐานะ(ความเป็นอยู่อย่างเหมาะสม ไม่สร้างหนี้สร้างสินเพื่อมากินหรูอยู่แพง)
- อบรมสั่งสอนให้รู้จักสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร(ความมีน้ำใจกับพี่น้อง ความซื่อสัตย์ ความอดทน ...)  
- เน้นให้การศึกษา จะโดนกรอกหูว่า วิชาปัญญา เป็นสมบัติอยู่ในหัว ขโมยไปไม่ได้ (และย้ำว่าเรียนคือหน้าที่หนึ่ง แต่พอกลับบ้าน ก็มีหน้าที่ช่วยเหลืองานบ้านตามสมควร ไม่ใช่เอาแต่เรียน)

และที่สำคัญ สอนแบบทำให้ดู ในแนวคิด หลักไม้ 4 ต้น คือ
- ต้นที่ 1 คือ พ่อแม่ต้องทำตัวเป็นหลักไม้ให้มั่นคง มีอาชีพเลี้ยงดูตนเองให้ได้ในระดับหนึ่ง ไม่ใช่จะมาหวังงอมืองอเท้ารอกินจากลูก
- ต้นที่ 2 คือ ตัวลูกเอง ต้องขยันหมั่นเพียร เล่าเรียน และไปประกอบอาชีพเพื่อสร้างตนให้มั่นคง ไม่ใช่หวังพึ่งพิงแต่พ่อแม่ไปตลอด
- ต้นที่ 3 คือ คู่ครอง(ถ้ามี) ให้ดูให้ดีว่าเป็นคนมีความคิดความอ่าน มีคุณธรรมไหม เพราะได้คู่ครองดี ก็จะเสริมให้มั่นคง
- ต้นที่ 4 คือ ลูกที่จะมี(ถ้ามี) ก็ต้องพร้อมก่อนคิดจะมี และเมื่อมีแล้วอบรมสั่งสอนให้ดี เลี้ยงให้ดี ส่งเสริมอย่างเหมาะสม เพื่อให้เข้าก้าวต่อไป เหมือนที่พ่อแม่ทำ ๆ มา
ครอบครัวใดทำได้แบบนี้ก็เหมือน เสาหลักมันมี 4 ต้น (และขยายออกไป) ทำให้มั่นคง ไม่ล้ม หรือ เกิดเหตุไม่คาดฝันที่เสาหลักใด เสาต้นอื่นก็ยังพอจะพยุงกันไว้ไม่ให้ล้มลงทันทีได้ ไม่ใช่พิงอิงกันหลวม เกิดอะไรขึ้นล้มกันหมด

ส่วนเรื่องความกตัญญูนั้น คนเป็นพ่อเป็นแม่ ไม่ควรจะเรียกร้องจากลูก เพราะ ถ้าเขายังไม่พร้อมยังไม่มี ก็จะเป็นภาระแก่เขา
แต่ก็สอนว่า "คนที่มีความกตัญญูนั้นเป็นสิ่งดี ไม่ใช่แค่ต่อแค่พ่อแม่ เมื่ออยู่ในสังคมก็อาจเจอคนที่เคยช่วยเหลือเรา ก็ต้องพึงจดจำไว้ และ หากมีโอกาส มีกำลัง ก็ตอบแทนอย่างเหมาะสม"

"คนที่มีความกตัญญูนั้น ทำอะไรก็เจริญก้าวหน้า"
"แต่ความกตัญญูนั้นไม่ใช่ข้ออ้างที่ฝ่ายหนึ่งควรจะมาใช้เป็นเครื่องมือเรียกร้องแบบ เอาแต่ได้"

2 เรื่องการขอเงินอีกฝ่าย ไม่ว่า ภรรยาขอสามี หรือ สามีขอภรรยา นั้น ต้องมองให้ละเอียด และ มองอย่างมีคุณธรรม
- เมื่อแต่งงานกันแล้ว พ่อแม่ของแต่ละฝั่งก็เสมือนพ่อแม่ของเรา ที่พึงให้ความเคารพนับถือ ช่วยเหลือดูแลอย่างเหมาะสม
- พ่อแม่ของใคร ก็เป็น ความรับผิดชอบของฝ่ายนั้นเป็นหลัก ทรัพย์สินเงินทองของฝ่ายไหนก็เป็นของฝ่ายนั้น ไม่ควรไปยุ่มย่ามยุ่งเกี่ยว โดยเฉพาะหากเขามีพี่น้อง
- สามีภรรยา ถ้าต่างคนต่างทำงาน ก็ควรจัดสรรระบบการเงินกันให้ดี ส่วนไหนเป็นส่วนที่ต้องช่วยกันก่อร่างสร้างตัว ส่วนไหนใช้ดูแลลูก ส่วนไหนเป็นการใช้ส่วนตัว (ในมุมนี้ถาม จขกท กลับว่า สมมติกลับกัน จขกท เป็นฝ่ายชาย แล้วอีกฝ่ายเอาเงินไปหมด ไปให้พ่อแม่ ตัว จขกท เองจะคิดอย่างไร? พ่อแม่ จขกท จะคิดอย่างไร?)

= = = = = = = = = = =
ส่วนตัว ผมกับแฟน ต่างคนต่างทำงานต่างมีรายได้ ต่างคนต่างมี พ่อแม่
- เงินกระเป๋าใครกระเป่ามัน
- รายจ่ายที่ใช้ร่วมกัน ก็ตกลงแบ่งหน้าที่กันรับผิดชอบ
- การดูแลพ่อแม่ ก็ส่วนใครส่วนมัน และ พ่อแม่ของแต่ละฝ่าย ไม่เคยร้องขอเงินจากลูก แถมที่ให้ ๆ ไป ก็ไม่อยากจะรับ และ รับไปก็จะเก็บเอาไว้หวังว่าจะคืนให้เราเสียมากกว่า (จนต้องบอกว่า รับไปและใช้นะ ถ้าจำเป็น เพราะ พ่อแม่ก็เหมือนเป็นนาบุญของลูก ให้ลูกได้ทำนาบุญด้วยนะ)
- และพ่อแม่ แต่ละ ฝ่าย ก็ไม่ยุ่มย่ามเรื่องของแต่ละฝ่าย ไม่เจ้ากี้เจ้าการ
- การแบ่งเวลา ไปดูแลพ่อแม่แต่ละฝ่าย ก็สลับกันไปด้วยกัน ตามเหมาะสม เดือนนี้ไปบ้านนั้น เดือนนั้นไปบ้านนี้
พอแต่ละฝ่ายไม่คิดเอาเปรียบกัน ก็อยู่กันแบบสบายใจ

สุดท้าย คือ มันไม่มีสูตรตายตัว ถ้าครอบครัวไหนแล้วแบบไหนแล้ว สบายใจ สบายตัว ก็ทำไป แต่ถ้า ทำแล้วไม่สบายใจ ไม่สบายตัว ก็ควรปรับ
ความคิดเห็นที่ 9
คิดในทางกลับกันนะคะ ถ้าสามีคุณขอเงินคุณเอาไปให้พ่อแม่เขาบ้างล่ะ คุณจะว่ายังไง

พ่อแม่ฝ่ายหญิงชอบอ้างว่าเลี้ยงลูกมาจนโต มีค่าใช้จ่ายนู่นนี่นั่น ฝ่ายชายต้องตอบแทน
เอ้า พ่อแม่ฝ่ายชายเค้าก็เลี้ยงลูกมา มีค่าใช้จ่ายเหมือนกันนี่ค่ะ ไม่ได้กินลมกินอากาศแล้วโตได้เองซะเมื่อไร
แนวความคิดเอาเปรียบเป็นแก่ได้แบบนี้ มองยังไงก็ไม่ถูกต้อง

ตอนเด็กบ้านเราจนมาก แม่เราไม่เคยสอนให้ขอเงินใครเลยค่ะ ไม่เคยสอนให้หวังพึ่งใคร
สอนแค่เราต้องเรียนให้จบ เราต้องมีความรู้ติดตัว จะได้หาเลี้ยงตัวเองได้ในอนาคต ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
ไม่เคยสอนว่าเราต้องหาสามีรวยๆ ไม่เคยสอนให้ไปขอเงินคนอื่นใช้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่