เล่าได้เล่าดี ตอนการเปิดร้านกิ๊ปช๊อปในอเมริกาของฉัน ตอนที่ 2

เล่าได้เล่าดี ตอนการเปิดร้านกิ๊ปช๊อปในอเมริกาของฉัน ตอนที่ 1 https://ppantip.com/topic/37992031

เล่าได้เล่าดี ตอนการเปิดร้านกิ๊ปช๊อปในอเมริกาของฉัน ตอนที่ 3 https://ppantip.com/topic/37992031

แต่กว่าที่ฉันจะได้ไปขายของที่ตลาดนัด ก็ต้องทำตัวให้ว่างเสียก่อน เพราะเวลาส่วนใหญ่ จะหมดไปกับการเรียน และการทำงานที่ร้านอาหารไทย

ส่วนใหญ่นักเรียนต่างชาติที่มาใหม่ๆ ไม่ว่าจะมาในระดับใดก็ตาม จะโดนจับให้เรียนภาษาอังกฤษเสียก่อน ในภาควิชาภาษาอังกฤษ ที่เรียกว่า English As A Second Languge หรือ ESL เพื่อปรับระดับความรู้ความเข้าใจในวิชาภาษาอังกฤษ ประมาณสองเทอม แต่ทั้งนี้ก็แล้วแต่ความสามารถของแต่ละคน บางคนเป็นเร็ว เป็นช้าแตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่ หนึ่งปี ของการเรียน ESL ในประเทศอเมริกา ที่เรียนในห้องเรียนแล้ว ยังต้องเอามาใช้นอกห้องเรียน 24/7 ก็จะทำให้พัฒนาการทางด้านภาษาอังกฤษ เป็นไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เรียนภาษาอังกฤษนั้น ทางแต่ละคณะ แต่ละสาขาวิชาที่เราสมัครไปนั้น จะขอดูทรานสคริป ว่าวิชาเรียนต่างๆ ที่ผ่านมาในขั้นมัธยม และปริญญาตรี  ที่นักเรียนแต่ละคน ได้เรียนผ่านมา มีวิชาไหนบ้างที่เขาให้เครดิต และวิชาไหนบ้างที่ไม่ให้เครดิต เขาเรียกกันว่า การเทียบเครดิต ส่วนใหญ่ เขาจะให้เครดิตใน วิชาเรียนต่างๆทรานสคริปของนักเรียนไทย ประมาณสองในสาม ของวิชาที่เรียนผ่านมา  บางโปรแกรมมีการสอบเทียบระดับความรู้ของนักเรียนอีกด้วย จากนั้นก็นับกันว่า สอบได้คะแนนเท่าไหร่ หรือเทียบเครดิตแล้ว มีกี่เครดิตที่ขาดไป และวิชาอะไร ที่จะเป็นจะต้องลงเรียนเพิ่ม หากเป็นนักเรียนที่สมัครมาเรียนในชั้น ปริญญาโท จะต้องไปลงเรียนวิชาในชั้นปริญญาตรี กี่วิชา กี่หน่วย กี่เครดิตก็ว่ากันไป ซึ่งสถานะของนักเรียนในตอนนี้เขาเรียกกันว่า Pre-Grad Student  จนกว่าจะสะสมเครดิตไดด้ตามที่โปรแกรมกำหนด ถึงไปเลื่อนชั้นไปเรียนในชั้นที่ตัวเองต้องการ

ดังนั้นนักเรียนที่จบชั้นปริญญาตรี และสมัครมาเรียนในชั้นปริญาโท จะใช้เวลาในการเตรียมตัวเข้าเรียนชั้นปริญญาโท ประมาณปีกว่าๆ และชั้นปริญญาโท ใช้เวลาในการเรียนทั้งหมดสองปี เป็นสองปีที่สำคัญมาก ทั้งนักเรียนทุน และนักเรียนทุนตัวเอง จะทำเป็นเล่นไม่ได้ ต้องตั้งใจในการเรียน การสอบ และการทำวิจัยเป็นอย่างดี ในการเรียนชั้นปริญญาโทนี้ ทั้งนักเรียนทุนส่วนใหญ่ เขาจะมีให้เลือกว่า มาเรียนชั้นปริญญาโท อย่างเดียว พอเสร็จแล้วกลับ หรือว่าเรียนไปเรียนมาไม่ผ่าน ทางมหาวิทยาลัยก็ต้องเชิญออก แต่ก่อนที่จะถึงขั้นทางมหาวิทยาลัยเชิญออก นักเรียนที่เรียนไม่ผ่าน จำเป็นต้องไปหาที่เรียนกับทางมหาวิทยาลัยแห่งใหม่ หากขืนชักช้า หลังจากโดนมหาวิทยาลัยเชิญออก แล้วดันวีซ่านักเรียนหมด ทีนี้ก็ตีตั๋วกลับบ้านได้เลยค่ะ  เพราะไม่มีทางที่จะต่อวีซ่านักเรียนที่อเมริกาได้แน่นอน และอีกประเภทคือมาเรียนชั้นปริญญาโท พอเสร็จแล้วก็ขอคำร้อง ขอทุนเพิ่มเรียนในชั้นปริญญาเอกได้ ซึ่งการเรียนชั้นปริญญาเอกนี้จะใช้เวลาเรียนทั้งหมด ประมาณเจ็ดปี แต่นักเรียนส่วนใหญ่จะมีการเรียน อย่างหนักหน่วง ประมาณหนึ่งถึงสองปีแรกเท่านั้น หลังจากนั้น เขาก็ค่อยมีเวลาหายใจ ทำวิจัย ทำวิทยานิพนธ์ เป็นอาจารย์ผู้ช่วยสอนเด็กนักเรียน ชั้นปริญญาตรี หรือไปเที่ยวเล่นได้บ้าง

ซึ่งทางนักเรียนทุนตัวเองวิธีการเรียนก็เป็นแบบเดียวกับนักเรียนทุน ติดแต่ว่า เรานั้นมันไม่มีคนมาออกเงินค่าเรียนให้ ในขณะที่การเรียน การสอบเข้มข้น หนักหน่วง เราก็ยังต้องไปทำงาน เพื่อหาเงินมาลงเรียน ในอัตราค่าเรียนของนักเรียนต่างชาติ ที่จะเป็นสามเท่าของเด็กนักเรียนอเมริกัน ซึ่งก็ถือว่าโหดน่าดู แต่เราจะไปบ่นอะไรกับเขาได้หล่ะคะ เพราะทางมหาวิทยาลัย ก็หวังรายได้จากค่าเทอมของนักเรียนต่างชาตินี่แหละคะ ที่ไม่ว่าจะทำอะไร ก็มีค่าธรรมเนียมไปซะทุกอย่าง และก็เก็บแพง เก็บแหลกราน กว่าเด็กนักเรียนอเมริกัน ที่บางที เด็กอเมริกันก็มีข้อยกเว้นไม่เสียค่านั่น ค่านี่ อย่างเด็กต่างชาติ แบบเรา แต่ก็ใช่ว่าการเป็นเด็กนักเรียนทุนตัวเอง ก็จะเป็นหมาหัวเน่าอยู่คนเดียว การเป็นเด็กนักเรียนทุนตัวเอง ที่จริงแล้ว มีภาษีเยอะกว่าการเป็นเด็กนักเรียนทุน ที่มาเรียนพร้อมกับการมีข้อสัญญาติดตัว ซึ่งบางทีก็กระดิกตัวทำอะไร ได้ไม่มากนัก แถมบางทีก็เสียโอกาสต่างๆ อีกด้วย    

โอกาสที่ว่านี้ก็คือ ส่วนใหญ่ทางมหาวิทยาลัย เขาจะมีทุนที่ให้เป็น ค่าเทอม ค่าหนังสือ อุปกรณ์การเรียน และค่าเช่าหอพัก บวกค่ากินอยู่นิดๆหน่อยๆ สำหรับนักเรียนในทุกระดับชั้นอยู่แล้ว ไม่ว่า ในระดับปริญญาตรี โท เอก แลกด้วยการทำงานให้คณะ หากเป็นชั้นปริญญาตรี ก็จะทำงานเป็นพวกเด็กคุมห้องคอมพิวเตอร์ ห้องแล็บ หรือทำงานกับอาจารย์ เป็นเบ้ทั่วไป ส่วนเด็กนักเรียนในระดับปริญญาโท และเอก จะได้ทำงานเป็นผู้ช่วยอาจารย์ หรือที่เรียกกันว่า Teacher Assistant หรือ TA สอนแล็บบ้าง สองวิชาที่ตัวเองมาเรียนบ้าง อย่าง คณิต วิทย์ เคมี อะไรก็ว่าไป หากว่าเราเป็นเด็กนักเรียนดี อาจารย์ของเราชอบ จับพลัดจับผลู เขาเสนองานเป็นอาจายร์สอนที่มหาวิทยาลัยนั้นๆ หลังจบการศึกษาได้รับปริญญาแล้ว ก็ยิ่งดีใหญ่เลย ได้งานทำ ได้ Work Permit และเผลอๆได้ กรีนการ์ดด้วย โอ๊ยดีจะตาย และดีมากด้วย ดีกว่า นักเรียนทุน ที่ส่วนใหญ่ อาจารย์จะเสนองานให้หลังที่เขาจบการศึกษา แต่พี่ๆเขาก็ต้องตัดใจ บอกปัดไป เพราะว่าต้องกลับไปทำงานใช้นี้ หน่วยงานนั้นๆ ที่ให้เงินมาใช้จ่าย เรียนหนังสือ ซึ่งก็ไม่ใช่ถูก ซึ่งฉันยกย่อง ในความคิดดีทำดี และการตัดสินใจที่ดี ของพี่ๆพวกนี้ ที่ได้นำความรู้ที่ได้กลับไปสอนเด็กๆ และพัฒนาประเทศต่อไป พวกพี่ๆที่มาเรียนที่เมืองนี้ส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียนทุนทั้งนั้น และเมื่อถึงเวลาที่เขาเรียนจบ เขาก็กลับเมืองไทย ไปทำหน้าที่ของตัวเอง อย่างสมเกียรติของเขา ซึ่งฉันก็ภูมิใจมากที่ได้รู้จัก พวกเขา

เอาหล่ะคะ พล่ามเรื่องการเรียนมาซะเยอะ เรามาเข้าเรื่องของเราต่อดีกว่า

หลังจากที่การเรียนอย่างหนักหน่วงผ่านไป พี่คนไทย คนนี้ที่ชอบสะสมเหรียญ ก็เริ่มมีเวลาออกมาลั้นลา ส่องเหรียญได้อย่างเต็มที่ และเมื่อฉันบอกว่าอยากจะขายของที่ตลาดนัด พี่แกก็บอกว่า เออดี แกขอร่วมออกค่าเช่าที่ด้วยคน คือจะแบ่งร้านกันเป็นส่วน ส่วนหนึ่งพี่เขาก็จะขายเหรียญ รับแลกเปลี่ยนเหรียญ แบ้งค์ อะไรของเขานี่แหละ ด้วยเหตุผลว่า ถ้าขายเหรียญแล้ว เขาจะมีโอกาส ได้เจอเหรียญเก่าๆมากขึ้น ซึ่งเขาทำด้วยความชอบค่ะ และได้เงินนิดหน่อย ก็ยังดี เพราะแกไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน เพราะแก เป็นเด็กทุนค่ะ แตกต่างกับฉัน ที่เป็นเด็กทุนตัวเอง การขายของครั้งนี้ คือการขายเพื่อเงินค่ะ เงินอย่างเดียว

นอกจากแนวร่วมในการขายของที่ตลาดนัดแล้ว ฉันยังได้ เพื่อนรูมเมท ที่เป็นเด็กเวียดนาม แต่เขาตามพ่อแม่ มาอยู่ที่อเมริกาได้ตั้งแต่เด็ก ก็ถือว่าเขาเป็นเด็กอเมริกันแหละนะ ฉันพบกับเพื่อนคนนี้ที่ร้านอาหารไทย ตอนนั้นเขาเพิ่งจบมัธยมใหม่ๆ และย้ายออกจากบ้าน ข้ามรัฐมุ่งหน้ามาที่เมืองนี้เพราะตามแฟนเขามา ที่มาเรียนที่มหาวิทยาลัยในเมืองนี้ พอมาถึงสองคนนี้ก็มาสมัครทำงานที่ร้านอาหารไทย ด้วยที่เขาทั้งสองอายุไล่เลี่ยกับฉัน เราจึงเป็นเพื่อนกันได้อย่างง่ายดาย แต่พออยู่ๆไปประมาณ ครึ่งปี แฟนของสาวเจ้า ดันบอกเลิก และย้ายไปที่อื่น ทิ้งเขาให้อยู่ที่เมืองนี้คนเดียว ในตอนนั้น สัญญาของฉันกับทางพอพักของฉันหมดลงพอดี ฉันกับเขาเลยได้ย้ายมาเป็นรูมเมทกับ เพื่อแชร์ค่าเช่าอพาร์ทเม้นต์  และก็เป็นเพื่อนซี้กันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

เมื่อการเรียนของเราทั้งสามเบาบางลง กอปรกับตอนนั้นเป็นช่วงเวลาของโรงเรียนปิดภาคฤดูร้อน เราสามคน จึงมีเวลาไปขายของที่ตลาดนัดได้อย่างเต็มที่

ป.ล. ข้อความที่เขียนถึงการเรียนการสอน ของที่มหาวิทยาลัย เขียนมาจากประสบการณ์ตัวเอง ที่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบกว่าปีมาแล้ว และเป็นระยะเวลาก่อนเหตุการณ์ 9-11 ดังนั้นข้อมูลที่เขียนข้างบน จะเอามาใช้อ้างอิง กับเหตุการณ์ปัจจุบันไม่ได้นะคะ บางโปรแกรม ยังมีอยู่บางโปรแกรม ก็ไม่มีแล้วนะคะ

กรุณาติดตามตอนต่อไปนะคะ

เอาบรรยากาศ การขายของที่ งานฟุตบอลที่มหาวิทยาลัยมาให้ดูนะคะ แล้วเดี๋ยวจะกลับมาเล่าให้ฟังว่าทำอย่างไรบ้าง

วางแผงกันตรงข้างถนนนี่แหละค่ะ


คนสนใจมากมาย เพราะมีแต่ของที่เป็นช้าง ช้าง ช้าง

แอบดูมาสก๊อตของทางมหาวิทยาลัยค่ะ

ตั้งแผงกันแบบนี้นี่แหละ

ว่างๆก็แอบดูหนุ่ม เชาเชียร์บอลกัน











แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่