๑๗๔. ธมฺเม ฐิตํ น วิชหาติ กิตฺติ.
เกียรติ ย่อมไม่ละผู้ตั้งอยู่ในธรรม.
องฺ. ปญฺจก. ๒๓๕๑.
“พูดตามประสาวันนี้ก็แล้วกัน เพื่อว่าจะได้ต่อทางใจของคนที่เสียๆหายๆ อันได้ประสบทุกข์จริงๆ แบบนั้น, ว่า ควรจะให้ได้คิดถึงคำศัพท์ บริกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเข้าไว้ก่อน ก่อนที่การช่วยเหลือ และการติดตามหาจะได้เข้ามาช่วยกัน อย่างแข็งขัน, จงให้คนเสียหายและทุกข์ยากคนนั้น ได้บริกรรมเถิด ให้เป็นทางได้ช่วยจิตใจไว้ก่อนเถอะน่า พอเมื่อจบบริกรรมใจแล้ว จนใจเมื่อยหนักแล้ว จะได้พ้นจากความโศกโศกา พอเข้าที่ได้ ในส่วนที่เบาใจลงบ้าง
ฉะนั้น จะขอให้ได้คิดถึงคำศัพท์ อันที่ว่าเป็น ธรณะ อันจะพาไปแก่สังไขยแด่อารมณ์ ที่พอควรแก่ความต้องการ เมื่อพิจารณาแล้ว ให้รู้ข้าศึกแห่งใจนั้นๆ แล้วจะได้เจรจาได้ ว่าสัตว์อะไรเขาเอาไปทางไหน หรือว่าของอะไรตกหายมลายสูญไปทางไหน ก็จะได้ไปทางทิศเหนือซะก่อน จากนั้นก็ค่อยเก็บรวบรวมหาสัมภาระติดตามกลุ่มคน อันจะให้ความช่วยเหลือเหล่านั้นไป, นัยที่เพื่อจะได้หาช่วยกันและช่วยกันให้ถูกวิธี, แต่นั้นก็ควรจะต้องรู้ข้าศึกในใจของตนเองซะก่อน ให้รู้ว่าทุกข์โศก และห่วงใยมากมายนั้น เพราะอะไร?มาเป็นข้าศึก, ข้าศึกอะไร? จะเข้ามาทำร้ายสัตว์ และทรัพย์สินของเรา
จงสอบถามให้ได้แน่ชัด ว่าข้าศึกอะไร? จะเข้ามาทำร้ายสัตว์ และทรัพย์สินของตน คนจะได้เข้าบอกคำภาวนาให้ถูกที่ และให้คำดีๆไว้ถูกต้องทุกๆทิศตามที่ควร, ตามสมควรแต่การจะได้ผินหน้ารับมอง ดูทีข้าศึกที่จะได้เข้ามาด้วยสมรรถนะ, ถึงจะให้สำเร็จและชนะได้ด้วยบทบริกรรมอยู่ไม่ถอย เพราะจะตั้งเอาตายเข้าแลก และไม่ให้จบบทยิ่งแห่งบริกรรมนี้ลงได้, ตัวคนนั้นจะส่งเสียงร้องตะโกนในโสตประสาทดังนี้ไปจวบจนกว่าจะทะลุเพดานแห่งภพ, หากแม้นจะได้พบเป็นข้าศึกก็ดี หรือหากแม้นจะได้ดี มีได้ทรัพย์ และได้สัตว์นั้นกลับคืนมาปกติก็ดี, อย่างไรก็ตาม เราจะให้บริกรรมนี้เป็นสิ่งเกื้อกูลสถาวร ไว้มอบแก่ทุกๆคน ทุกๆภาระกิจ ที่ให้ได้เข้ามาให้ความช่วยเหลือ, เพราะเมื่อเวลานี้ ผ่านมาแล้ว คนนั้นผู้ได้รับความทุกข์โศกอันยากนั้นๆ คนเมื่อนั้น ผ่านมา ๓ วันป่านนี้ เขารู้แล้วว่า ณ เวลานี้ เขาจะต้องบริกรรม ด้วยคำว่าอะไร?
แต่ก็นั้นแหละ ถ้าหากยังไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวแก่การบริกรรม ทุกคนก็ควรจะได้เข้าช่วย แจ้งบอก หรือเขียนบอกให้ได้ทราบ”
“ก็เขียนเทียบซะง่ายๆก็ได้ หากจะคุยกะนักอ่านที่เต็ม และรับอะไรไม่ได้, ถามเสียทีว่า ทวารอันเป็นที่ไหลออกนั้นเป็นทุกข์หรือสุข, ตามธรรมดาว่า ทวารอันไม่ถูกอุดอั้น อันไหลออกได้สะดวก ย่อมนับว่าเป็นสุข, ฉะนั้นธรรมอันไหลออก จึงอนุมานกันว่า เป็นสุข
เพราะธรรมอันเกิด อันไหลออก อันเกิดออกจากทวารอันไหลออกปรากฏ, เป็นแบบ ตามแนวการตอบ-ถาม ปุจฉา วิสัชนา อันจะเข้าสู่อภิธรรมได้ต่อไป, เมื่อนั้น นักศึกษาจึงกล่าวว่า เป็นนิจ เป็นสุข และเป็นอัตตานิรันดร์ ในที่สุดแท้ก็แต่ได้สำคัญว่าเป็นแค่เพียงโวหาร, เฉพาะก็แต่สัมโมทนียธรรมเท่านั้นที่เป็นจริง จริงด้วยเพราะพระศาสนาเป็นต้น และก็เพราะการตรัสรู้นั้น เป็นจริงอยู่ด้วย เป็นต้น
พูดแค่พอที่ใครๆ จะหาทางกลับคืนสาระมาที่ตั้งได้อย่างเก่า เท่านั้น บางครั้งก็จึงจำเป็นจะต้องพูด เพราะการศาสนาของพระพุทธเจ้าเราในปัจจุบันนี้ ยังไม่ได้เป็นโมฆะ และยังคงพอแก่การณ์จะมีผู้ประพฤติธรรม ประพฤติวินัยอยู่บ้าง ปรากฏอยู่เป็นปกติ, การสัมโมทนียธรรมเมื่อนั้นย่อมไม่น้อยแล้ว แต่ก็เป็นเพราะการปรากฏของพระศาสนา จึงมีแต่เพียงเฉพาะวาทะเท่าที่ได้ว่ามานี้”
จึงมีแต่เพียงเฉพาะวาทะเท่าที่ได้ว่ามานี้
เกียรติ ย่อมไม่ละผู้ตั้งอยู่ในธรรม.
องฺ. ปญฺจก. ๒๓๕๑.
“พูดตามประสาวันนี้ก็แล้วกัน เพื่อว่าจะได้ต่อทางใจของคนที่เสียๆหายๆ อันได้ประสบทุกข์จริงๆ แบบนั้น, ว่า ควรจะให้ได้คิดถึงคำศัพท์ บริกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเข้าไว้ก่อน ก่อนที่การช่วยเหลือ และการติดตามหาจะได้เข้ามาช่วยกัน อย่างแข็งขัน, จงให้คนเสียหายและทุกข์ยากคนนั้น ได้บริกรรมเถิด ให้เป็นทางได้ช่วยจิตใจไว้ก่อนเถอะน่า พอเมื่อจบบริกรรมใจแล้ว จนใจเมื่อยหนักแล้ว จะได้พ้นจากความโศกโศกา พอเข้าที่ได้ ในส่วนที่เบาใจลงบ้าง
ฉะนั้น จะขอให้ได้คิดถึงคำศัพท์ อันที่ว่าเป็น ธรณะ อันจะพาไปแก่สังไขยแด่อารมณ์ ที่พอควรแก่ความต้องการ เมื่อพิจารณาแล้ว ให้รู้ข้าศึกแห่งใจนั้นๆ แล้วจะได้เจรจาได้ ว่าสัตว์อะไรเขาเอาไปทางไหน หรือว่าของอะไรตกหายมลายสูญไปทางไหน ก็จะได้ไปทางทิศเหนือซะก่อน จากนั้นก็ค่อยเก็บรวบรวมหาสัมภาระติดตามกลุ่มคน อันจะให้ความช่วยเหลือเหล่านั้นไป, นัยที่เพื่อจะได้หาช่วยกันและช่วยกันให้ถูกวิธี, แต่นั้นก็ควรจะต้องรู้ข้าศึกในใจของตนเองซะก่อน ให้รู้ว่าทุกข์โศก และห่วงใยมากมายนั้น เพราะอะไร?มาเป็นข้าศึก, ข้าศึกอะไร? จะเข้ามาทำร้ายสัตว์ และทรัพย์สินของเรา
จงสอบถามให้ได้แน่ชัด ว่าข้าศึกอะไร? จะเข้ามาทำร้ายสัตว์ และทรัพย์สินของตน คนจะได้เข้าบอกคำภาวนาให้ถูกที่ และให้คำดีๆไว้ถูกต้องทุกๆทิศตามที่ควร, ตามสมควรแต่การจะได้ผินหน้ารับมอง ดูทีข้าศึกที่จะได้เข้ามาด้วยสมรรถนะ, ถึงจะให้สำเร็จและชนะได้ด้วยบทบริกรรมอยู่ไม่ถอย เพราะจะตั้งเอาตายเข้าแลก และไม่ให้จบบทยิ่งแห่งบริกรรมนี้ลงได้, ตัวคนนั้นจะส่งเสียงร้องตะโกนในโสตประสาทดังนี้ไปจวบจนกว่าจะทะลุเพดานแห่งภพ, หากแม้นจะได้พบเป็นข้าศึกก็ดี หรือหากแม้นจะได้ดี มีได้ทรัพย์ และได้สัตว์นั้นกลับคืนมาปกติก็ดี, อย่างไรก็ตาม เราจะให้บริกรรมนี้เป็นสิ่งเกื้อกูลสถาวร ไว้มอบแก่ทุกๆคน ทุกๆภาระกิจ ที่ให้ได้เข้ามาให้ความช่วยเหลือ, เพราะเมื่อเวลานี้ ผ่านมาแล้ว คนนั้นผู้ได้รับความทุกข์โศกอันยากนั้นๆ คนเมื่อนั้น ผ่านมา ๓ วันป่านนี้ เขารู้แล้วว่า ณ เวลานี้ เขาจะต้องบริกรรม ด้วยคำว่าอะไร?
แต่ก็นั้นแหละ ถ้าหากยังไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวแก่การบริกรรม ทุกคนก็ควรจะได้เข้าช่วย แจ้งบอก หรือเขียนบอกให้ได้ทราบ”
“ก็เขียนเทียบซะง่ายๆก็ได้ หากจะคุยกะนักอ่านที่เต็ม และรับอะไรไม่ได้, ถามเสียทีว่า ทวารอันเป็นที่ไหลออกนั้นเป็นทุกข์หรือสุข, ตามธรรมดาว่า ทวารอันไม่ถูกอุดอั้น อันไหลออกได้สะดวก ย่อมนับว่าเป็นสุข, ฉะนั้นธรรมอันไหลออก จึงอนุมานกันว่า เป็นสุข
เพราะธรรมอันเกิด อันไหลออก อันเกิดออกจากทวารอันไหลออกปรากฏ, เป็นแบบ ตามแนวการตอบ-ถาม ปุจฉา วิสัชนา อันจะเข้าสู่อภิธรรมได้ต่อไป, เมื่อนั้น นักศึกษาจึงกล่าวว่า เป็นนิจ เป็นสุข และเป็นอัตตานิรันดร์ ในที่สุดแท้ก็แต่ได้สำคัญว่าเป็นแค่เพียงโวหาร, เฉพาะก็แต่สัมโมทนียธรรมเท่านั้นที่เป็นจริง จริงด้วยเพราะพระศาสนาเป็นต้น และก็เพราะการตรัสรู้นั้น เป็นจริงอยู่ด้วย เป็นต้น
พูดแค่พอที่ใครๆ จะหาทางกลับคืนสาระมาที่ตั้งได้อย่างเก่า เท่านั้น บางครั้งก็จึงจำเป็นจะต้องพูด เพราะการศาสนาของพระพุทธเจ้าเราในปัจจุบันนี้ ยังไม่ได้เป็นโมฆะ และยังคงพอแก่การณ์จะมีผู้ประพฤติธรรม ประพฤติวินัยอยู่บ้าง ปรากฏอยู่เป็นปกติ, การสัมโมทนียธรรมเมื่อนั้นย่อมไม่น้อยแล้ว แต่ก็เป็นเพราะการปรากฏของพระศาสนา จึงมีแต่เพียงเฉพาะวาทะเท่าที่ได้ว่ามานี้”