พังผืดรัดเส้นประสาทข้อมือ (Carpal tunnel syndrome)และประสบการณ์การรักษาที่โรงพยาบาลเวชธานี

สวัสดีค่ะ อยากเล่าแบบละเอียด กระทู้นี้จะยาวหน่อยนะคะ  เราอายุ 24 ใกล้จะ 25 ปี ประสบการณ์ในการเป็นและการรักษาโรคพังผืดรัดทับเส้นประสาทที่ข้อมือทั้ง 2 ข้างของเรา คือ เริ่มมีอาการชามือตอนเรียนมหาวิทยาลัยปี 4 เป็นช่วงที่ต้องทำวิทยานิพนธ์ส่งอาจารย์ มีเวลาทำค่อนข้างจำกัด เรานั่งพิมพ์มันทุกวัน วันละ 12-16 ชั่วโมง บางวันก็มากกว่านั้น ทำติดต่อกันประมาณ 2 เดือน แล้วอยู่ๆมีอาการชาที่นิ้วมือ ชาแปล๊บๆ ชาหนักๆอยู่ 3 นิ้ว โป้ง ชี้ กลาง และนางนิดหน่อย พอหยุดพิมพ์ก็หาย พอพิมพ์ติดต่อกันอีกก็เป็นอีก แต่เราก็ยังไม่ได้สนใจอะไร จนจบ มาทำงานที่ออฟฟิศได้ 1 ปี (ทำบัญชีนะคะ) ช่วงเดือนสิงหาคม 2560 ก็มีอาการอีก แต่ทีนี้มันชาหนักกว่าเมื่อก่อนมากหลายเท่า ชาต่อเนื่องทุกวัน หยุดทำงานก็ไม่หาย ยิ่งตอนนอนยิ่งชา เจออากาศหนาวๆเป็นอะไรที่ทรมานมาก แล้วก็เริ่มมีอาการปวดๆด้วย มันกวนใจและหงุดหงิดมาก ทำงานไม่ถนัด ไปออกกำลังยกเวทก็ไม่ถนัด ขับรถก็ไม่ถนัด จึงเริ่มหาข้อมูลในอาจารย์กู๋ แต่ยิ่งหายิ่งเครียด และคิดว่าต้องเป็นโรคอะไรซักอย่างแน่ๆ
จึงตัดสินใจไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาลเวชธานี ลาดพร้าว 111 (เป็นการมาโรงพยาบาลนี้ครั้งแรก) เพราะอยู่ใกล้ออฟฟิศ ลองมาก่อน ถ้าไม่ดีก็ค่อยไปโรงพยาบาลอื่น ก็ได้รับการตรวจรักษากับ นพ.ชัชพล ธนารักษ์ ที่แผนกกระดูกและข้อ เจอคุณหมอครั้งแรกรู้สึกว่า หมอใจดีและค่อนข้างจะเป็นกันเองมากๆ พอเล่าอาการให้คุณหมอฟัง คุณหมอตรวจอย่างละเอียด และบอกว่าเราเป็นโรค “พังผืดรัดเส้นประสาทที่ข้อมือ” เราตกใจ คือ โรคอะไรเราไม่รู้จักไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย คุณหมอก็อธิบายให้ฟังว่ามันเกิดจากพฤติกรรมและการใช้งานซ้ำๆเดิมๆในชีวิตประจำวันของเรา ถ้าเป็นมากๆจะทำให้กล้ามเนื้อที่ฝ่ามือลีบได้ คุณหมอให้ยามาทานก่อน เป็นยาแก้ปวดลดการอักเสบและให้แช่น้ำอุ่นทุกวัน คุณหมอเน้นมาก และนัดติดตามอาการอีก 3 สัปดาห์ เราก็ทำตามคุณหมอบอก แต่พอทานยาไปได้ซักพักเราเกิดปวดท้อง เลยหยุดทานไปเลย ช่วง 3 สัปดาห์นี้เราชาและปวดมากขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งชาแปล๊บๆเหมือนไฟช๊อตเลย เริ่มเครียด ก็รอจนถึงวันนัด ก็เล่าอาการในช่วง 3 สัปดาห์ให้ คุณหมอฟัง เนื่องจากเราทานยาแล้วปวดท้อง คุณหมอเลยบอกว่ามียาฉีดซึ่งเป็นยาแก้ปวดลดการอักเสบที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์จะช่วยบรรเทาได้ในระดับหนึ่ง คุณหมอให้เราตัดสินใจว่าจะฉีดหรือไม่ฉีด คุณหมอไม่บังคับ เราตัดสินใจฉีดจะได้หายๆไป(เราเป็นคนไม่กลัวการฉีดยาแต่กลัวเจาะเลือด) และคิดว่าเป็นการฉีดยาปกติธรรมดาทั่วๆไปที่พี่พยาบาลเป็นคนฉีดให้ แต่ไม่เป็นเช่นนั้น คุณหมอชัชพล เป็นคนฉีดให้เอง ฉีดเข้าไปตรงข้อมือที่เราปวดเลย ตอนฉีดคุณหมอก็ถามตลอดว่าเจ็บไหม รู้สึกอย่างไรบ้าง คือ มันเจ็บและปวดมากๆ (คิดในใจหมอจะถามทำไม) ยิ่งตอนหมอหมุนเข็มแทบจะร้องไห้
คุณหมอเปลี่ยนยากินเป็นยาแก้ปวดปลายประสาทชื่อยา Lyrica 25 Mg และ Vitamin B Complex (เหม็นมาก) คุณหมอยังเน้นย้ำให้แช่น้ำอุ่นทุกวัน และนัดติดตามอาการอีก 2 สัปดาห์ ช่วง 2 สัปดาห์นี้มือข้างขวาเราดีขึ้นมาก อาการชาแทบไม่มี แต่ข้างซ้ายก็ไม่น้อยหน้าชาและปวดตามมาเลยติดๆ คุณหมอเลยถามว่าข้างซ้ายจะฉีดไหม เราก็ตอบทันทีว่า ฉีดค่ะ (ก็ข้างขวามันดีขึ้น) ก็เจ็บเหมือนเดิม หลังจากนี้คุณหมอก็นัดติดตามอาการตลอด 2 สัปดาห์บ้าง 3 สัปดาห์บ้าง ตรงนี้เรามองว่าคุณหมอใส่ใจมากๆ ผ่านไป 2 เดือน อาการทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือน ทั้ง 2 ข้าง คือ ชาแปล๊บๆเหมือนไฟช๊อตและปวดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เราไม่สามารถฉีดยาได้ในช่วงนี้ต้องรอให้ครบ 3-6 เดือนเพราะยาที่ฉีดเป็นยาที่ผสมสเตียรอยด์ ฉีดเข้าไปจะทำให้เส้นขาดได้ คุณหมอเลยอธิบายการรักษาอีกทางหนึ่งก็คือ การผ่าตัด แต่เราไม่ยอมผ่าเรากลัว อย่างไรก็จะไม่ผ่า เราคิดว่าเราต้องไม่ถึงขั้นนั้นแน่นอนและนับวันรอที่จะได้ฉีดยาอีก 1 เข็ม จึงต้องกินยาประคับประคองอาการไปเรื่อยๆก่อน คุณหมอเพิ่มขนาดยา Lyrica เป็น 75 Mg  และยังนัดติดตามอาการอยู่ตลอด ทุกๆครั้งที่คุณหมอนัด เราจะพูดกับคุณหมอตลอดว่าไม่อยากผ่าตัด จนวันที่ 2 ธันวาคม 2560 คุณหมอจึงฉีดยาให้อีก 1 เข็ม ตอนนี้ไม่กลัวฉีดยาแล้ว แต่กลัวผ่าตัดแทน คุณหมอบอกว่าเป็นเข็มสุดท้ายหลังจากนี้จะฉีดไม่ได้อีกแล้ว ถ้าไม่ดีขึ้นอย่างไรก็ต้องผ่า หลังจากฉีดยาไปอีก 1 เข็ม คุณหมอนัดติดตามอาการอีก 3 สัปดาห์ อาการเราไม่ได้ดีขึ้นเหมือนฉีดครั้งแรก ยังชาและปวดอยู่ทั้ง 2 ข้างในตอนกลางคืนจนนอนไม่ได้ คุณหมอเลยฉีดยาข้างซ้ายให้อีก 1 เข็ม ส่วนข้างขวาคุณหมอบอกว่าเราไม่มีทางเลือกนอกจากการผ่าตัด แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงใกล้หยุดยาวปีใหม่ คุณหมอเลยนัดมาดูอาการอีกครั้งในวันที่ 6 มกราคม 2561 ซึ่งคุณหมอชัชพลก็ยืนยันว่าเราต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัด จะได้หาย เพราะ เราเป็นค่อนข้างเยอะ และ เป็นมานาน (รวมระยะเวลาถึงตอนนั้นก็เกือบ 5 เดือน) ถ้าหากปล่อยไว้ โดยไม่ผ่าตัดจะทำให้กล้ามเนื้อที่ฝ่ามือลีบได้ ซึ่งเรากลัวการผ่าตัดและกังวลมาก โดยเฉพาะเรื่องแผล กลัวแผลใหญ่ กลัวหมอทำแผลไม่ดี  กลัวเป็นแผลเป็น กลัวมือใช้งานได้ไม่เหมือนเดิม เพราะ ว่าเคยเห็นป้าเราไปผ่านิ้วล็อกที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งมาเจ็บปวดและดูทรมานมาก มือใช้งานไม่ได้เลย 3 เดือน แผลใหญ่มากๆหมอเย็บแผลให้ไม่ดีเลย และ ก็เห็นมาอีกหลายๆคน ช่วงนั้นหาข้อมูลในอากู๋หนักมาก แต่ยิ่งหาก็ยิ่งเครียดอีกแล้ว มีแต่ด้านลบ ด้านดีแทบไม่มีเลย บางคนก็บอกผ่าแล้วมือใช้งานได้ไม่เหมือนเดิมบ้าง เจ็บแผลผ่าตัดบ้าง เป็นแผลเป็น หลังผ่าก็กว่าจะหายต้องใช้เวลาอีกนาน ส่วนคนที่เคยผ่ามาก็บอกว่าอย่าไปผ่าเลย เราเครียดมาก ไม่เคยเครียดเท่านี้มาก่อน เครียดที่สุดแล้วตั้งแต่เกิดมา ไม่รู้จะเอาอย่างไรดี แต่ก็ปรึกษากับที่บ้านตลอด พาคนในบ้านเครียดไปด้วยอีก ที่บ้านก็บอกว่าผ่าไปเลย เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ให้อดทน เดี๋ยวก็หายแล้ว ที่บ้านเราไว้ใจคุณหมอชัชพลมาก(จากการเล่าของเราเพราะเราเป็นกลัวการหาหมอมาก) หรือไม่อย่างนั้นก็ให้เราลองไปโรงพยาบาลอื่น ลองปรึกษาหลายๆหมอ ถ้าเราไม่สบายใจ แต่เราเองก็ไว้ใจคุณหมอชัชพล เพราะ คุณหมอรักษาประคับประคองอาการให้คำแนะนำเราอย่างดีมาตลอดเกือบ 5 เดือน  เราเอาความกลัวและความกังวลเรื่องแผลทั้งหมดไปคุยกับคุณหมอ คุณหมอก็อธิบายให้ฟังว่า การผ่าตัดเป็นผ่าตัดเล็ก ฉีดยาชาเฉพาะที่ ใช้เวลาผ่าตัด 30-45 นาที ผ่าตัดเสร็จแล้วสามารถกลับบ้านได้เลย แผลผ่าตัดประมาณ 2-3 เซ็นติเมตร 2 สัปดาห์ก็ตัดไหมได้ แต่ก็กังวลอยู่ไม่น้อยถึงจะเป็นผ่าตัดเล็กก็เถอะ การผ่าตัดอะไรมันก็มีความเสี่ยงหมด เสี่ยงมาก เสี่ยงน้อย มันก็คือเสี่ยง และครั้งนี้จะเป็นการผ่าตัดครั้งแรกในชีวิตด้วย
แต่คุณหมอชัชพล จะไม่ได้เป็นคนผ่าเอง พอได้ยินเท่านั้นแหล่ะ ก็โวยวายอีกครั้ง คุณหมอก็ต้องอธิบายให้ฟังอีกยกใหญ่ ว่า ตัวคุณหมอเองไม่ได้ถนัดในการผ่าตัดส่วนนี้แต่คุณหมอจะถนัดผ่าทางด้านข้อเข่าและข้อไหล่ (ซึ่งอันนี้เราไม่รู้มาก่อนเลยว่าหมอกระดูกมีสาขาเฉพาะทางแยกย่อยไปอีก เราเข้าใจว่าหมอกระดูกและข้อก็คือหมอกระดูกที่ผ่าตัดได้หมดทุกส่วน) จริงๆก็ได้แหล่ะ แต่ Policy ของโรงพยาบาลนี้จะมีคุณหมอ Specialist ทุกสาขา ซึ่งเป็นผลดีต่อคนไข้อย่างมาก ซึ่งก็ทำให้มั่นใจในการรักษาว่าได้รับการรักษากับคุณหมอที่เฉพาะจริงๆ การผ่าตัดของเราต้องให้หมอกระดูกและข้อที่เฉพาะทางด้านมือ (Hand Surgery) คุณหมอจึง Refer ให้เราไปเจอกับคุณหมอเฉพาะทางด้านมือซึ่งก็คือ นพ.เติมพงศ์ พ่อค้า ก่อนไปเจอคุณหมอเรากังวลมาก ว่าคุณหมอจะโอเคไหม จะทำแผลสวยจริงหรือเปล่า 50:50 จะผ่าดีไหม เจอกันครั้งแรกก็จะผ่าเลยเหรอ คิดหนักมาก แต่เราก็เชื่อมั่นในตัวคุณหมอชัชพลที่เลือก Refer เราไปเจอกับคุณหมอเติมพงศ์ เราค้นหาข้อมูล หาโปรไฟล์คุณหมอหนักมาก พอเจอแล้วก็ไปปรึกษากับเพื่อนๆที่เรียนหมอและน้องที่เป็นพยาบาล ทุกคนก็บอกว่าให้ผ่ากับคุณหมอเติมพงศ์นี่แหล่ะ  

วันที่ 9 มกราคม 2561 เป็นวันที่ได้พบกับคุณหมอเติมพงศ์ ตื่นเต้นและกลัวมาก ความดันพุ่งไป150 อย่างที่บอกว่า 50:50 ว่าจะผ่าดีไหม เพราะ ไม่ได้รักษากับคุณหมอมาตั้งแต่แรก คุณหมอก็บอกว่าเราหมดทางเลือกแล้วจริงๆ เหลือแค่ทางเดียว คือ “การผ่าตัด” คุณหมอใจดีและใจเย็นมากๆ อธิบายให้เราฟังทุกสิ่งทุกอย่างจนกว่าเราจะเข้าใจ ถึงกับวาดภาพให้ดูเลย คนเข้าใจยากอย่างเราคุณหมออธิบายขนาดนี้ก็เลยสบายใจขึ้นมานิดหน่อย คุณหมอบอกว่าคุณหมอผ่าตัดเคสแบบนี้ทุกวัน คุณหมอเอาเคสที่คุณหมอเคยผ่ามาให้ดูมากมาย ซึ่งเราเห็นว่าคุณหมอทำแผลสวยจริงๆ การผ่าตัดจะใช้เวลาแค่ 30 นาที ฉีดยาชาเฉพาะที่จะเจ็บเหมือนตอนที่ฉีดสเตียรอยด์ จะผ่าตัดแบบเปิดซึ่งได้ผลดีที่สุด แผลประมาณ 2 เซ็นติเมตร จะเลาะเอาพังผืดที่รัดเส้นประสาทอยู่ออกไป หลังผ่าจะเจ็บเหมือนแผลมีดบาด เล็กๆน้อยๆ สามารถทำงานและขยับมือขยับนิ้วได้เลย จากที่รู้สึกกลัวพอได้คุยกับหมอแล้วเรารู้สึกสบายใจและคลายกังวลเรื่องแผลไปได้มาก เราเลยตกลงผ่าเลยในวันเดียวกัน ผ่ามือขวาก่อน เพราะหนักกว่าข้างซ้าย การผ่าตัดนี้จะทำในห้องผ่าตัดใหญ่นะคะ ที่นี้กลัวเจ็บแทนและ ตอนผ่าก็มีโวยวายด้วย มันตื่นเต้น เข้าห้องผ่าตัดครั้งแรกในชีวิตเนอะ ตอนฉีดยาชา เจ็บมากๆเจ็บและแสบกว่าตอนฉีดสเตียรอยด์(ไม่โกหก) ตอนหมอกรีดลงไป ได้ยินหมอพูดว่า เยอะเหมือนกันนะเนี่ย ซึ่งคุณหมอก็ใจเย็นมาก จะโวยวายก็ไม่ว่าอะไรเลย คุณหมอจะบอกตลอดว่าทำอะไร ตรงนี้จะรู้สึกแปล๊บๆ ตอนผ่าจะมีช่วงที่รู้สึกแปล๊บๆและเจ็บบ้างเล็กน้อย เพราะมันติดเส้นประสาท แต่คุณหมอจะบอกและถามตลอดว่าไหวไหม  ตอนจะเย็บก็บอกว่า หมอจะเย็บแล้วนะ เราก็บอกว่า หมอเย็บสวยๆนะ การผ่าตัดเสร็จสิ้นในเวลาไม่ถึง 30 นาที ขณะผ่าตัดจะไม่เห็นนะคะ แต่หมอก็ชวนคุยโน่นนี่นั่นตลอดการผ่าตัด แผลประมาณ 2 เซ็นติเมตร เย็บไว้ทั้งหมด 6 เข็ม คุณหมอบอกว่าหมอกรีดแผลตามเส้นลายมือ หมอต่อเส้นอายุให้เรา เราจะอายุยืน 555 (แต่เราจะยังไม่เห็นแผล) คุณหมอพันแผลไว้แน่นหนามาก แต่มีข้อแม้ คือ ห้ามถูกน้ำ หรือ ผ้าพันแผลสกปรกให้มาเปลี่ยน เรากลัวว่าจะเจ็บปวดหลังผ่า คุณหมอเลยให้ทานข้าวและทานยาแก้ปวดได้เลยทันที (เราผ่าช่วงสี่โมงเย็น) แต่เราก็คิดว่าต้องเจ็บปวดมาก ที่คุณหมอบอกจะเจ็บเหมือนแผลมีดบาด เราไม่เชื่อ ต้องปวดจนยาแก้ปวดก็เอาไม่อยู่แน่ๆ ต้องปวดจนนอนไม่ได้(เคยเห็นป้าผ่ามาแล้วปวดจนนอนไม่ได้)
แต่สิ่งที่เราคิดกับความเป็นจริงมันส่วนทางกันทั้งหมดเลย เราไม่เคยตื่นมาปวดแผลเลยหลับยาวตื่นอีกที 10 โมงเช้า แต่ตื่นมาแล้วมือจะบวมหน่อย อันนี้เรื่องปกติ ในคืนแรกอาการชาของเราหายไปประมาณ  80 % เลย คุณหมอก็บอกก่อนแล้วว่าจะไม่หายไปเลยทันที เพราะ เป็นค่อนข้างเยอะ คุณหมอจะมียาแก้อักเสบ/ยาฆ่าเชื้อให้ทาน ต้องทานติดต่อกันจนหมด และยังต้องกินยา Lyrica อยู่แต่คุณหมอลดเหลือ 25 Mg คุณหมอนัดอีก 1 สัปดาห์ข้างหน้ามาเปิดแผล คุณหมอบอกว่าช่วงนี้ให้เราใช้มือเหมือนปกติเลย ทำงานได้เลย แต่ห้ามถูกน้ำ พยายามขยับมือ ขยับนิ้วบ่อยๆ เพราะไม่อย่างนั้นเดี๋ยวแผลติด เป็นพังผืดจากการผ่าตัด เราผ่าวันอังคารเย็น วันพุธหลังผ่าเรานอนอยู่บ้าน 1 วัน กินยาแก้ปวดไปทั้งหมด 2 เม็ด (1 เม็ดหลังผ่า อีก 1 เม็ดกินเพื่อความสบายใจ) พอวันพฤหัสออกไปสยามพารากอนเลย ชิลมากจนที่บ้านตกใจ บ่นเราด้วยทำไมไม่พักอยู่เฉยๆ ก็มันต่างจากของป้ามากมาย แล้วก็แจ้งที่ออฟฟิศแล้วว่าจะไม่เข้า 7 วัน เที่ยวสบายเลยแหล่ะ อีกวันไปนครนายกอีกวันไปสุพรรณบุรี (แต่ไม่ได้ขับรถเอง จริงๆขับได้ แต่กลัวจะไม่ปลอดภัย) เห็นว่าไม่เป็นอะไรและชิลขนาดนี้กลับไปทำงานดีกว่า เลยหยุดไปแค่ 3 วันเอง(ไม่รวมเสาร์อาทิตย์) กลับไปทำงานในวันจันทร์ ทุกคนก็บอกว่าเราชิลจังเลย สามารถพิมพ์ใช้เมาส์ใช้มือได้อย่างปกติ ไม่มีเจ็บปวดใดๆ แทบไม่รู้สึกชาแล้ว สบายกว่าก่อนผ่าเยอะเลย 16 มกราคม 2561 ครบ 1 สัปดาห์ ได้เห็นแผลแล้ว ว๊าวเลย คุณหมอเย็บแผลสวยมาก สวยจริงๆ ส่งรูปให้ใครต่อใครดู ก็บอกว่าหมอเย็บแผลสวย จุดนี้พอใจมาก รูปแผลจะประมาณนี้ ดูน่ากลัว แต่ไม่เจ็บ ย้ำว่าไม่เจ็บเลย [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่