Christopher Robin : ภาพยนตร์ที่บอกให้คุณไม่ต้องทำอะไรเลย
เมื่อวานนี้ได้มีโอกาสไปดู Christopher Robin มาที่พารากอน ในรอบฉายก่อน หลัง 2 ทุ่ม เราค่อนข้างอยากดูเรื่องนี้มาก อดทนไม่ไหวแล้วเลยชวนคุณแฟนไปดูมาค่ะ วันนี้ก็เหมือนเดิมคือจะพยายามไม่สปอย (พยายามแล้วจริงๆ นะ)
Christopher Robin : ภาพยนตร์ที่บอกให้คุณไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะเป็นประโยคที่ในหนังพูดกันบ่อยมาก ประโยคเต็มของมันก็คือ “การไม่ทำอะไรเลย บางทีก็นำไปสู่สิ่งที่ดีที่สุด” ในสังคมสมัยนี้ที่บีบคั้นเราให้พยายามอย่างหนักหน่วง ตามฝันให้เต็มกำลัง จริงๆ แล้วอาจจะเป็นตัวเราเองหรือเปล่าที่โดนหลอกให้ทำตามฝันของคนอื่น จนในที่สุดก็สูญเสียความเป็นตัวเอง เราคิดว่านี่คือสิ่งที่หนังอยากจะบอกกับเรามากที่สุดนะคะ
เรื่องย่อ
หลังจากออกมาจากป่า 100 เอเคอล์ ทุกคนพอจะทราบว่าไหมคะว่า Christopher Robin มีชีวิตหลังจากนั้นอย่างไร แน่นอนว่าเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีครอบครัว มีความรับผิดชอบต่างๆ จนทำให้เขาลืมเรื่องราวในวัยเด็กระหว่างตัวเขาเองและพูห์ไปจนหมดสิ้น ในวันหนึ่งที่ชีวิตกำลังถึงทางตันปัญหาต่างๆ บีบรัดและหาทางออกไม่ได้ Christopher Robin จึงได้เจอกับพูห์อีกครั้ง และการผจญภัยครั้งใหม่จึงได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
ส่วนตัวเราค่อนข้าง Touch กับเรื่องนี้มาก อาจจะเป็นเพราะว่าเราเป็นคนที่มีวัยเด็กที่สนุกเหมือนกัน เป็นเด็กต่างจังหวัดที่ได้เล่นซน พอโตมาทำไมเมืองหลวงมันทำลายความสดใสของเราไปเยอะจังเลยนะ อะไรแบบนี้อ่ะค่ะ อีกประเด็นคือมีเรื่องครอบครัวด้วยไง จึงทำให้แอบน้ำตาซึมได้ไม่ยากเลย แงๆ สำหรับสุดสัปดาห์นี้ใครอยากไปดูหนังที่ตลกพอได้ขำขัน และอยากกลับไปย้อนความหลังกับเจ้าหมีสมองน้อยวินนี่เดอะพูห์และเพื่อนๆ อย่าลืมไปดูกันเรื่องนี้กันนะคะ เข้าโรงแล้ว วันที่ 9 สิงหาคม 2561 นี่ละ
สปอย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ความจริงในส่วนของการวิเคราะห์เรื่องนี้นะคะ เราคิดว่าตัว Christopher Robin อาจจะมีจินตนาการบางอย่างตั้งแต่เด็กๆ แล้ว โดยเอาความเป็นตัวของตัวเอง ความรู้สึกต่างๆ ออกมาเป็นพูห์ ทิกเกอร์ พิกเล็ก อียอร์ และแฮฟฟารัม
โดยตัวเขาเองคือ = พูห์ สังเกตได้ว่าเขาจะคุยกับตัวเองบ่อยๆ
ทิกเกอร์ = การกระโดด อาจจะเป็นความตื่นเต้น สดใส ชอบความท้าทาย
พิกเล็ต = ความขี้กลัว
อียอร์ = สีบลู โง่เขลาๆ ซึม
ตรงนี้ในหนังมีบอกในตอนที่ลูกสาวหนังรถไฟจะไปหาพ่อและจัดปาร์ตี้น้ำชากันในโบกี้รถไฟ สังเกตได้เลยสัตวทั้งสี่ตัวพูดลักษณะของตนเองออกมาจนครบ
จริงๆ Christopher Robin ลืมตัวเองไปหมดสิ้นแล้วแหละ หากไม่ได้เปิดกล่องแห่งความทรงจำที่ลูกสาวเจอมาจากห้องใต้หลังคา เรื่องมันเริ่มจากตรงนั้นเลยนะคะ
อีกสัญลักษณ์ที่เราชอบคือลูกโปร่งสีแดง หลายครั้งที่พูห์พยายามถาม Christopher Robin ว่าแบบลูกโป่งมันไม่ได้ทำให้นายมีความสุขอีกต่อไปแล้วหรอ (นั่งเขียนยังน้ำตาคลอ) เออ จริงๆ เนอะคนเราลืมความสุขในช่วงวัยเด็กที่เหมือนกับลูกโป่งอะ หลุดลอยไปง่ายๆ และต้องมีวันหนึ่งที่ลมมันยุบจนไม่พองอีกต่อไป
เรามองว่าหนังมีคำเท่ๆ ที่มีสำนวนเด็กๆ เต็มไปหมด เอาจริงๆ บางทีก็ไม่เข้าใจ พูห์เองก็เป็นคนที่ดูย้ำคิด ย้ำทำ ค่อนไปทางน่ารำคาญเหมือนกับที่ Christopher Robin เป็นนั่นละ
อีกเรื่องคือประโยคขายของเรื่อง “การไม่ทำอะไรเลย บางทีก็นำไปสู่สิ่งที่ดีที่สุด” ขยายกันจริงๆ มันเริ่มตั้งแต่ Christopher Robin ในวัยเด็กเคยพูดไว้ว่าหากมีคนมาถามว่าเขากำลังจะทำอะไร เขาก็จะบอกว่าไม่ได้ทำ แต่เขาจะลงมือให้เห็นเลย มันก็จะงงๆ อย่างที่บอกไปแล้วค่ะ
ท้ายที่สุดนี้เราชอบประโยคในตอนจบที่พูห์ถาม Christopher Robin ว่า
วันนี้คือวันอะไร...วันนี้ก็คือวันนี้...ดีกว่าเมื่อวานที่เคยเป็นพรุ่งนี้ มันยากเกินไปสำหรับฉัน
เราก็ไม่เป๊ะนะ แต่ตอนฟังอ่ะชอบมากเลย อยู่กับวันนี้ และแก้ไขปัญหาในทุกๆ วันให้ดีที่สุดนะคะทุกคน
แลกเปลี่ยนความเห็นกันได้เนอะ ความเห็นไม่ตรงกันก็บอกกันได้เนอะ
Christopher Robin : ภาพยนตร์ที่บอกให้คุณไม่ต้องทำอะไรเลย
เมื่อวานนี้ได้มีโอกาสไปดู Christopher Robin มาที่พารากอน ในรอบฉายก่อน หลัง 2 ทุ่ม เราค่อนข้างอยากดูเรื่องนี้มาก อดทนไม่ไหวแล้วเลยชวนคุณแฟนไปดูมาค่ะ วันนี้ก็เหมือนเดิมคือจะพยายามไม่สปอย (พยายามแล้วจริงๆ นะ)
Christopher Robin : ภาพยนตร์ที่บอกให้คุณไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะเป็นประโยคที่ในหนังพูดกันบ่อยมาก ประโยคเต็มของมันก็คือ “การไม่ทำอะไรเลย บางทีก็นำไปสู่สิ่งที่ดีที่สุด” ในสังคมสมัยนี้ที่บีบคั้นเราให้พยายามอย่างหนักหน่วง ตามฝันให้เต็มกำลัง จริงๆ แล้วอาจจะเป็นตัวเราเองหรือเปล่าที่โดนหลอกให้ทำตามฝันของคนอื่น จนในที่สุดก็สูญเสียความเป็นตัวเอง เราคิดว่านี่คือสิ่งที่หนังอยากจะบอกกับเรามากที่สุดนะคะ
เรื่องย่อ
หลังจากออกมาจากป่า 100 เอเคอล์ ทุกคนพอจะทราบว่าไหมคะว่า Christopher Robin มีชีวิตหลังจากนั้นอย่างไร แน่นอนว่าเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีครอบครัว มีความรับผิดชอบต่างๆ จนทำให้เขาลืมเรื่องราวในวัยเด็กระหว่างตัวเขาเองและพูห์ไปจนหมดสิ้น ในวันหนึ่งที่ชีวิตกำลังถึงทางตันปัญหาต่างๆ บีบรัดและหาทางออกไม่ได้ Christopher Robin จึงได้เจอกับพูห์อีกครั้ง และการผจญภัยครั้งใหม่จึงได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
ส่วนตัวเราค่อนข้าง Touch กับเรื่องนี้มาก อาจจะเป็นเพราะว่าเราเป็นคนที่มีวัยเด็กที่สนุกเหมือนกัน เป็นเด็กต่างจังหวัดที่ได้เล่นซน พอโตมาทำไมเมืองหลวงมันทำลายความสดใสของเราไปเยอะจังเลยนะ อะไรแบบนี้อ่ะค่ะ อีกประเด็นคือมีเรื่องครอบครัวด้วยไง จึงทำให้แอบน้ำตาซึมได้ไม่ยากเลย แงๆ สำหรับสุดสัปดาห์นี้ใครอยากไปดูหนังที่ตลกพอได้ขำขัน และอยากกลับไปย้อนความหลังกับเจ้าหมีสมองน้อยวินนี่เดอะพูห์และเพื่อนๆ อย่าลืมไปดูกันเรื่องนี้กันนะคะ เข้าโรงแล้ว วันที่ 9 สิงหาคม 2561 นี่ละ
สปอย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ท้ายที่สุดนี้เราชอบประโยคในตอนจบที่พูห์ถาม Christopher Robin ว่า
วันนี้คือวันอะไร...วันนี้ก็คือวันนี้...ดีกว่าเมื่อวานที่เคยเป็นพรุ่งนี้ มันยากเกินไปสำหรับฉัน
เราก็ไม่เป๊ะนะ แต่ตอนฟังอ่ะชอบมากเลย อยู่กับวันนี้ และแก้ไขปัญหาในทุกๆ วันให้ดีที่สุดนะคะทุกคน
แลกเปลี่ยนความเห็นกันได้เนอะ ความเห็นไม่ตรงกันก็บอกกันได้เนอะ