ชีวิตคนนี่เรานี่นะคะ อะไรๆมันก็ไม่แน่นอนค่ะ มันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา...
พอฉันเห็นว่าพ่อกับแม่ สามารถที่จะอยู่กันสองคนได้ตามลำพัง ฉันก็เริ่มมีความคิดว่าอยากจะย้ายโรงเรียน และจะไปอยู่ที่ฟลอริด้า เพราะจะไปหางานโรงแรมทำ ให้ตรงกับที่เรียนมา เพราะเมืองที่เราอยู่นั้น เป็นเมืองเล็กๆ ที่ไม่มีงานอะไรทำ นอกจากงานร้านอาหาร พ่อกับแม่ก็ไม่ว่าอะไร บอกว่าอยากไปก็ไป แต่หารู้ไม่ว่า ที่จริงก็เข้าทาง แผนของเขาเลยค่ะคุ๊ณ... ที่ยึดเอาร้านไปแล้ว ตอนนี้ก็เลยยึดบ้าน ยึดรถซะเลย 5555 พูดเล่นค่ะ ที่จริงแล้วคือฉันนี่แหละ บอกว่าจะทิ้งบ้าน ทิ้งรถไว้ให้เขาสองคน ส่วนตัวเองจะย้ายไปอยู่กับเพื่อนที่ฟลอริด้า
หลังจากที่ฉันได้ย้ายไปอยู่ที่ฟลอริด้า ได้ประมาณสองปี ก็พบกับสามี และตัดสินใจแต่งงานและย้ายมาอยู่ที่โอกลาโฮม่า มาช่วยกันสร้างบริษัทเคเทอริ่งอย่างที่ได้เล่ารายละเอียดให้ฟังในตอน เคเทอริ่งที่รักแล้วนั้น และผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของบริษัทเคเทอริ่งนี้ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็พ่อกับแม่ของฉันนี่เอง เพราะหลังจากที่ฉันคลอดลูกสาวแล้ว ฉันกับสามีก็มาคิดกันว่า ใครจะดูลูกให้ เพราะลูกสาวเกิดในระยะแรกของการเริ่มตั้งบริษัทเคเทอริ่ง ที่เราสองคนยังต้องทำงานประจำ และทำงานของบริษัทเคเทอริ่งตอนเย็น และเสาร์อาทิตย์ บางวันที่เรามีดินเนอร์ไนท์ เราเคยเอาลูกสาวไปเลี้ยงในครัว และนอนหลับใต้โต๊ะ ในออฟฟิตเลยนะคะ พ่อแม่ของฉันเขาก็เห็นใจ ปรึกษากันว่า ถ้าอย่างนั้นจะตัดสินใจ ขายบ้าน ขายรถ และขายร้านกิ๊ฟช๊อฟ ย้ายมาอยู่ที่โอกลาโฮม่าใกล้ลูกหลาน ทั้งๆที่แม่ขยาดกับชื่อเสียงรัฐโอกลาโฮม่า ในเรื่องโทนาโดปาร์ตี้อย่างมาก และอีกทั้งกิจการร้านไทยก็กำลังไปได้ดี พ่อแม่ก็มีรายได้ดี เข้ามาสม่ำเสมอแต่ก็ไม่เท่ากับการที่อยากจะมาช่วยลูกสาว เลี้ยงหลานตัวน้อย ลูกสาวจะได้มีเวลาทำงานของตัวเอง และทุ่มเวลาสร้างบริษัทเคเทอริ่ง โดยที่ไม่ต้องห่วงหน้าห่วงหลัง เพราะหลาน มีตายายดูแลอยู่แล้ว แต่การตัดสินใจย้ายมาที่โอกลาโฮม่า เป็นการผลิกผันชีวิตของพ่อและแม่ อีกครั้งหนึ่ง เพราะเมื่อย้ายมาแล้ว เขาอยากจะเปิดร้านขายของอีก แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะอะไรหลายๆอย่างไม่เอื้ออำนวย เขาจึงตัดสินใจหางานทำ ในขณะที่มีอายุประมาณ หกสิบกว่าๆ
คนอเมริกันส่วนใหญ่นิยมทำงานกันตั้งแต่อายุ 16 ปี เนื่องจากความที่เขาอยากเป็นอิสระ อยากมีเงินใช้ และอยากมีรถยนต์เป็นของตัวเอง จึงทำให้เด็กๆ เริ่มออกไปทำงานกัน งานที่เด็กๆวัย 16 ปี ส่วนใหญ่ก็เป็นงานร้านอาหาร Fast Food ทั่วไป อย่างที่สามีดิฉันเคยทำ เขาเริ่มทำงานร้านอาหาร เป็นพนักงานล้างจานตอนอายุ 16 ปี ส่วนใหญ่เด็กๆก็จะทำงานกันหลังเวลาเลิกเรียน หรือเสาร์อาทิตย์ และที่มากที่สุดคือในช่วงโรงเรียนหยุดซัมเมอร์ การจ้างงานในประเทศอเมริกา ส่วนใหญ่จะจ้างกันเป็นรายชั่วโมง ซึ่งฉันคิดว่าก็แฟร์ดี แบบว่ามาทำงานก็ได้เงิน ไม่มาทำงานก็ไม่ได้เงิน หลักการง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก
สถานะภาพของพนักงานมีอยู่สองประเภทคือหนึ่ง พนักงานประจำ (Full Time Employee) ส่วนใหญ่หมายถึงพนักงานที่มีเวลาทำงานภายในหนึ่งอาทิตย์ สะสมเฉลี่ยแล้วประมาณ 32 - 40 ชั่วโมง พนักงานประจำ จะได้รับสิทธิ และสวัสดิการ จากบริษัทที่ทำงานด้วย อย่างเช่น การประกันสุขภาพ ฟัน และ สายตา ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่ จะมีนโยบายให้พนักงานจ่ายค่าประกันรายเดือนส่วนหนึ่ง ประมาณ 40 -50 เปอร์เซ็นต์ และ ทางบริษัทจะรับจ่ายค่าประกันในส่วนต่างให้ ซึ่งดีกว่าพนักงานไม่ประจำ (Part Time Employee) ซึ่งหมายถึงพนักงานที่มีเวลาทำงานภายในหนึ่งอาทิตย์ สะสมเฉลี่ยแล้วน้อยกว่า 32 ชั่วโมง พนักงานแบบนี้จะไม่ได้ สิทธิ และสวัสดิการใดๆเลย จากบริษัทที่ทำงานอยู่ด้วย นอกจากที่พนักงานจะได้สวัสดิการ ช่วยเหลือค่าใช้จ่าย ในเรื่องประกันสุขภาพ บางบริษัทก็จะมีสวัสดิการ อื่นๆอีก เช่น มีวันหยุด วันลา และวันลาพักร้อน อีกทั้งยังมี โปรแกรมการสะสมเงินในยามเกษียณ หรือที่รู้จักกัน ในนาม 401K,โปรแกรมสินไหมทดแทน ประกันอุบัติเหตุ ระยะสั้น และระยะยาว, และบางบริษัทอาจมีเงินสนับสนุน ทุนการเรียน การศึกษาของพนักงานอีกด้วย
แต่ไม่ว่าคนทำงานจะอยู่ในสถานะทำงานประจำ หรือไม่ประจำก็ตาม สิ่งที่เหมือนกันคือการหักเงิน เสียภาษี, เสียค่าประกันสังคม, และเสียค่าประกันสุขภาพ ที่ทางประเทศ (Federal) และ ทางรัฐ (State) ได้เก็บสะสมรวบรวมไว้ พอถึงเวลาที่แก่แล้ว และต้องการจะรีไทน์ ในอายุ 66 ปีขึ้นไป ก็สามารถไปขอยื่นคำร้อง ได้รับเงินเดือน จากทางรัฐได้ ซึ่งมันก็คล้ายๆว่า ถ้าใครทำงานก่อนใคร หรือใครทำงานเสียภาษีมากกว่าใคร คนคนนั้นก็จะได้เงินตอนแก่ มากกว่าคนอื่น ก็เหมือนการสะสมผลบุญ ไว้กินตอนตายนั่นแหละค่ะ ทำไป เก็บไป สะสมไปเรื่อยๆ เดี๋ยวผลบุญนั้น มันก็จะกลับมาหาเราเอง
นั่นคือเหตุผลหนึ่งที่ฉันอยากให้พ่อกับแม่ ลองทำงานดู เผื่อว่าจะได้มีเงินสะสมเวลาที่เขาสองคนอายุมากกว่านี้ ดังนั้นพ่อจึงไปทำงานเป็นช่างทั่วไป ในโรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องบิน ทำหน้าที่ดูแลซ่อมบำรุง ทำความสะอาดตัวอาคาร ทำงานวันจันทร์ถึงวันศุกร์ วันละ 8 ชั่วโมง ส่วนแม่ของฉันทำงานเป็นพนักงาน Breakfast Host อยู่ที่โรงแรมที่ฉันเป็นผู้จัดการอยู่ แม่จะทำงานอยู่หกวัน แต่วันละประมาณ 5 ชั่วโมง และช่วยดูแลหลานสาวตัวเล็กหลังจากโรงเรียนเลิก อีกทั้งพ่อกับแม่ยังเปิดยิมสอนมวยไทยตอนเย็น หัดมวยให้กับหลานสาว (พอหลานเดินได้ ก็หัดให้หลานสาวเตะมวยเลยค่ะ) อีกทั้งยัง หัดให้เด็กๆ ที่ชอบการต่อยมวย ทั้งหญิงทั้งชาย ตลอดไปถึงผู้ใหญ่ และนักมวยอาชีพอีกด้วย
ฉันคิดว่าชีวิตที่โอกลาโฮม่าของพ่อแม่ เป็นอะไรที่ต่างจากชีวิตที่เขาเคยอยู่ก่อนหน้านี้มาก เพราะที่เมืองนั้น เขาเป็นเจ้าของกิจการ ได้แต่งตัวสวยๆ มีสังคม มีเพื่อนฝูง แต่ชีวิตที่โอกลาโฮม่า เป็นสังคมของคนทำงาน แม่ที่ไม่เคยทำงานตลอดชีวิตของเขา แต่เขาก็ไปทำงาน และเขาก็ไม่เคยบ่นอะไรเลย เพราะเขาคิดว่าชีวิตนี้เขาไม่เคยทำงาน ได้มาลองทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนบ้างก็ดีเหมือนกันนะ ส่วนพ่อนี้เฉยๆ จะบ่นก็ตรงบ้างว่า คิดถึงร้านไทย และคิดถึงเพื่อนๆที่โน่น เพราะอยู่ที่นี่ไม่ค่อยมีเพื่อน เฮฮาปาร์ตี้ เท่าไหร่ เพราะไปทำงาน และก็กลับมาเลี้ยงหลาน สอนหลานต่อยมวย และหัดมวยให้กับนักมวย พอมีเวลาว่าง ก็มาช่วยงานที่บริษัทเคเทอริ่งก็หมดเวลาแล้ว แต่ที่เขาเสียสละไปมากมาย และที่ได้มาคือการได้มาอยู่ใกล้ กับลูกสาว และหลานสาวทุกวัน แค่นั้นก็เป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดแล้ว ของพ่อกับแม่
หลังจากที่บริษัทเคเทอริ่งของเราเข้ารูปเข้าร่างแล้ว และหลานสาวก็โตจนเข้าโรงเรียน และช่วยเหลือตัวเองได้บ้างแล้ว อีกทั้งงานผู้จัดการโรงแรมของฉันก็เข้าที่เข้าทางแล้ว พ่อกับแม่ก็ตัดสินใจ ที่จะ Retired วางมือจริงๆเสียที เพราะอายุก็เข้า 70 สิบกว่าแล้ว ซึ่งทั้งสองก็มาใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกา รวมเวลาประมาณ เกือบยี่สิบปีแล้ว
และเมื่อสองปีที่แล้ว เขาทั้งสองเลือกที่จะกลับไปอยู่ที่เมืองไทย เพราะเท่าที่เขาไปๆมาๆ ที่นั่น และที่นี่ ทำให้เขาห่างจากลูกๆ หลานๆอีกหลายคน ที่อยู่ที่เมืองไทย เขาเลยจะกลับไปเมืองไทย ไปเอ็นจอย สโลวไลฟ์ ที่บ้านของเขาในเมืองไทย ซึ่งฉันก็เข้าใจ และคิดว่า ถึงเวลาแล้วหล่ะ ที่พ่อกับแม่จะได้พักจริงๆเสียที แต่ยังไงเขาก็ยังจะบินไปๆมาๆ จนกว่าจะบินมาไม่ไหวอยู่ดีนั่นแหละ เพราะยังไง ที่อเมริกาก็ยังเป็นบ้านหลังที่สองของเขาทั้งสองอีกหลังหนึ่ง ที่จะตัดขาดกันไปเลยก็คงจะไม่ได้
ซึ่งพ่อเคยพูดไว้ว่า “อยู่ที่เมืองไทยก็นึกถึงเสต๊ก อยู่ที่อเมริกาก็นึกถึงส้มตำ”
Because it is the best of both world…
**************
จบแล้วค่ะ เรื่องของพ่อ กับแม่ ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะคะ
**************
ตอนที่พ่อกับแม่มาช่วยลูกสาวขนของ หนีตามผู้ชาย เอ๊ย ย้ายบ้านจากฟลอริด้า ไปโอกลาโฮม่า
ฉันไม่อยากจากฟลอริด้าไปเลย เพราะคอนโดริมชายทะเลส่วนตัว ของคุณตา ของสามีนี่แหละทำเหตุ มาอยู่นานก็จะให้จากไปก็ทำใจลำบาก
คุณสามีชอบถามว่า ทำไม คนไทยชอบใส่เสื้อผ้าเล่นน้ำ ทะเล ... ตัดภาพมาที่พ่อกับแม่ ...
แต่พอพ่อกับแม่ย้ายมาที่โอกลาโฮม่า มาเจอไอ้ตัวนี้... ลืมหมดทุกอย่าง
ยายรับ-ส่งหลานไปเรียนโรงเรียนอนุบาลทุกวัน
ยายก็บ่นไปเถอะ ไทยบ้าง อังกฤษบ้าง... ไอ้หลานก็ไม่ฟัง วิ่งไปเอาลูกอม ในวันฮาโลวีน
สำเนาถูกต้อง ตา-หลาน
ฉลองวันชาติอเมริกากับหลาน
ร่วมงานวันจบการศึกษาชั้นอนุบาลของหลาน
ไปดูการแสดงบัลเล่ต์
ของเจ้านี่
พาหลานไปลอยกระทงที่วัดไทย โดนหลาน โฟโต้บอมบ์ซะงั้น
หลานรักตายายมาก เอามือกอดคอคนแก่ซะเลย
หน้าร้อน ก็ไปนั่งเรือล่องทะเลสาป ผมปลิวว่อนเลย
หลังจากโดนลูกเขยแซะเรื่องใส่เสื้อผ้าเล่นน้ำ คุณตาอัพเดท มาใส่กางเกงว่ายน้ำ เล่นน้ำทะเลสาปซะเลย
คุณตานำทัพนักมวย ของตัวเอง ช่วยงานที่ร้านเคเทอริ่ง เปิดคืนแห่งความระทึก Dinner and Show กินอาหารไทย ชมมวยไทย ต่อยกันซะเลือดสาดเลย
เหงาๆก็เข้าคาสิโน (เล่นแค่ ยี่สิบ สามสิบแหละ แต่ไปกินโค้กฟรีซะเยอะ)
บินไปบินมา จนจะเป็นเพื่อนซี้กับพนักงาน ที่สนามบินอยู่แล้ว
ออเจ้าฟีเว่อร์... ตากับยายเอาชุดไทยมาฝาก
เล่าได้เล่าดี ตอนชีวิตในอเมริกาของพ่อกับแม่ ตอนที่ 4 (จบ)
พอฉันเห็นว่าพ่อกับแม่ สามารถที่จะอยู่กันสองคนได้ตามลำพัง ฉันก็เริ่มมีความคิดว่าอยากจะย้ายโรงเรียน และจะไปอยู่ที่ฟลอริด้า เพราะจะไปหางานโรงแรมทำ ให้ตรงกับที่เรียนมา เพราะเมืองที่เราอยู่นั้น เป็นเมืองเล็กๆ ที่ไม่มีงานอะไรทำ นอกจากงานร้านอาหาร พ่อกับแม่ก็ไม่ว่าอะไร บอกว่าอยากไปก็ไป แต่หารู้ไม่ว่า ที่จริงก็เข้าทาง แผนของเขาเลยค่ะคุ๊ณ... ที่ยึดเอาร้านไปแล้ว ตอนนี้ก็เลยยึดบ้าน ยึดรถซะเลย 5555 พูดเล่นค่ะ ที่จริงแล้วคือฉันนี่แหละ บอกว่าจะทิ้งบ้าน ทิ้งรถไว้ให้เขาสองคน ส่วนตัวเองจะย้ายไปอยู่กับเพื่อนที่ฟลอริด้า
หลังจากที่ฉันได้ย้ายไปอยู่ที่ฟลอริด้า ได้ประมาณสองปี ก็พบกับสามี และตัดสินใจแต่งงานและย้ายมาอยู่ที่โอกลาโฮม่า มาช่วยกันสร้างบริษัทเคเทอริ่งอย่างที่ได้เล่ารายละเอียดให้ฟังในตอน เคเทอริ่งที่รักแล้วนั้น และผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของบริษัทเคเทอริ่งนี้ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็พ่อกับแม่ของฉันนี่เอง เพราะหลังจากที่ฉันคลอดลูกสาวแล้ว ฉันกับสามีก็มาคิดกันว่า ใครจะดูลูกให้ เพราะลูกสาวเกิดในระยะแรกของการเริ่มตั้งบริษัทเคเทอริ่ง ที่เราสองคนยังต้องทำงานประจำ และทำงานของบริษัทเคเทอริ่งตอนเย็น และเสาร์อาทิตย์ บางวันที่เรามีดินเนอร์ไนท์ เราเคยเอาลูกสาวไปเลี้ยงในครัว และนอนหลับใต้โต๊ะ ในออฟฟิตเลยนะคะ พ่อแม่ของฉันเขาก็เห็นใจ ปรึกษากันว่า ถ้าอย่างนั้นจะตัดสินใจ ขายบ้าน ขายรถ และขายร้านกิ๊ฟช๊อฟ ย้ายมาอยู่ที่โอกลาโฮม่าใกล้ลูกหลาน ทั้งๆที่แม่ขยาดกับชื่อเสียงรัฐโอกลาโฮม่า ในเรื่องโทนาโดปาร์ตี้อย่างมาก และอีกทั้งกิจการร้านไทยก็กำลังไปได้ดี พ่อแม่ก็มีรายได้ดี เข้ามาสม่ำเสมอแต่ก็ไม่เท่ากับการที่อยากจะมาช่วยลูกสาว เลี้ยงหลานตัวน้อย ลูกสาวจะได้มีเวลาทำงานของตัวเอง และทุ่มเวลาสร้างบริษัทเคเทอริ่ง โดยที่ไม่ต้องห่วงหน้าห่วงหลัง เพราะหลาน มีตายายดูแลอยู่แล้ว แต่การตัดสินใจย้ายมาที่โอกลาโฮม่า เป็นการผลิกผันชีวิตของพ่อและแม่ อีกครั้งหนึ่ง เพราะเมื่อย้ายมาแล้ว เขาอยากจะเปิดร้านขายของอีก แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะอะไรหลายๆอย่างไม่เอื้ออำนวย เขาจึงตัดสินใจหางานทำ ในขณะที่มีอายุประมาณ หกสิบกว่าๆ
คนอเมริกันส่วนใหญ่นิยมทำงานกันตั้งแต่อายุ 16 ปี เนื่องจากความที่เขาอยากเป็นอิสระ อยากมีเงินใช้ และอยากมีรถยนต์เป็นของตัวเอง จึงทำให้เด็กๆ เริ่มออกไปทำงานกัน งานที่เด็กๆวัย 16 ปี ส่วนใหญ่ก็เป็นงานร้านอาหาร Fast Food ทั่วไป อย่างที่สามีดิฉันเคยทำ เขาเริ่มทำงานร้านอาหาร เป็นพนักงานล้างจานตอนอายุ 16 ปี ส่วนใหญ่เด็กๆก็จะทำงานกันหลังเวลาเลิกเรียน หรือเสาร์อาทิตย์ และที่มากที่สุดคือในช่วงโรงเรียนหยุดซัมเมอร์ การจ้างงานในประเทศอเมริกา ส่วนใหญ่จะจ้างกันเป็นรายชั่วโมง ซึ่งฉันคิดว่าก็แฟร์ดี แบบว่ามาทำงานก็ได้เงิน ไม่มาทำงานก็ไม่ได้เงิน หลักการง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก
สถานะภาพของพนักงานมีอยู่สองประเภทคือหนึ่ง พนักงานประจำ (Full Time Employee) ส่วนใหญ่หมายถึงพนักงานที่มีเวลาทำงานภายในหนึ่งอาทิตย์ สะสมเฉลี่ยแล้วประมาณ 32 - 40 ชั่วโมง พนักงานประจำ จะได้รับสิทธิ และสวัสดิการ จากบริษัทที่ทำงานด้วย อย่างเช่น การประกันสุขภาพ ฟัน และ สายตา ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่ จะมีนโยบายให้พนักงานจ่ายค่าประกันรายเดือนส่วนหนึ่ง ประมาณ 40 -50 เปอร์เซ็นต์ และ ทางบริษัทจะรับจ่ายค่าประกันในส่วนต่างให้ ซึ่งดีกว่าพนักงานไม่ประจำ (Part Time Employee) ซึ่งหมายถึงพนักงานที่มีเวลาทำงานภายในหนึ่งอาทิตย์ สะสมเฉลี่ยแล้วน้อยกว่า 32 ชั่วโมง พนักงานแบบนี้จะไม่ได้ สิทธิ และสวัสดิการใดๆเลย จากบริษัทที่ทำงานอยู่ด้วย นอกจากที่พนักงานจะได้สวัสดิการ ช่วยเหลือค่าใช้จ่าย ในเรื่องประกันสุขภาพ บางบริษัทก็จะมีสวัสดิการ อื่นๆอีก เช่น มีวันหยุด วันลา และวันลาพักร้อน อีกทั้งยังมี โปรแกรมการสะสมเงินในยามเกษียณ หรือที่รู้จักกัน ในนาม 401K,โปรแกรมสินไหมทดแทน ประกันอุบัติเหตุ ระยะสั้น และระยะยาว, และบางบริษัทอาจมีเงินสนับสนุน ทุนการเรียน การศึกษาของพนักงานอีกด้วย
แต่ไม่ว่าคนทำงานจะอยู่ในสถานะทำงานประจำ หรือไม่ประจำก็ตาม สิ่งที่เหมือนกันคือการหักเงิน เสียภาษี, เสียค่าประกันสังคม, และเสียค่าประกันสุขภาพ ที่ทางประเทศ (Federal) และ ทางรัฐ (State) ได้เก็บสะสมรวบรวมไว้ พอถึงเวลาที่แก่แล้ว และต้องการจะรีไทน์ ในอายุ 66 ปีขึ้นไป ก็สามารถไปขอยื่นคำร้อง ได้รับเงินเดือน จากทางรัฐได้ ซึ่งมันก็คล้ายๆว่า ถ้าใครทำงานก่อนใคร หรือใครทำงานเสียภาษีมากกว่าใคร คนคนนั้นก็จะได้เงินตอนแก่ มากกว่าคนอื่น ก็เหมือนการสะสมผลบุญ ไว้กินตอนตายนั่นแหละค่ะ ทำไป เก็บไป สะสมไปเรื่อยๆ เดี๋ยวผลบุญนั้น มันก็จะกลับมาหาเราเอง
นั่นคือเหตุผลหนึ่งที่ฉันอยากให้พ่อกับแม่ ลองทำงานดู เผื่อว่าจะได้มีเงินสะสมเวลาที่เขาสองคนอายุมากกว่านี้ ดังนั้นพ่อจึงไปทำงานเป็นช่างทั่วไป ในโรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องบิน ทำหน้าที่ดูแลซ่อมบำรุง ทำความสะอาดตัวอาคาร ทำงานวันจันทร์ถึงวันศุกร์ วันละ 8 ชั่วโมง ส่วนแม่ของฉันทำงานเป็นพนักงาน Breakfast Host อยู่ที่โรงแรมที่ฉันเป็นผู้จัดการอยู่ แม่จะทำงานอยู่หกวัน แต่วันละประมาณ 5 ชั่วโมง และช่วยดูแลหลานสาวตัวเล็กหลังจากโรงเรียนเลิก อีกทั้งพ่อกับแม่ยังเปิดยิมสอนมวยไทยตอนเย็น หัดมวยให้กับหลานสาว (พอหลานเดินได้ ก็หัดให้หลานสาวเตะมวยเลยค่ะ) อีกทั้งยัง หัดให้เด็กๆ ที่ชอบการต่อยมวย ทั้งหญิงทั้งชาย ตลอดไปถึงผู้ใหญ่ และนักมวยอาชีพอีกด้วย
ฉันคิดว่าชีวิตที่โอกลาโฮม่าของพ่อแม่ เป็นอะไรที่ต่างจากชีวิตที่เขาเคยอยู่ก่อนหน้านี้มาก เพราะที่เมืองนั้น เขาเป็นเจ้าของกิจการ ได้แต่งตัวสวยๆ มีสังคม มีเพื่อนฝูง แต่ชีวิตที่โอกลาโฮม่า เป็นสังคมของคนทำงาน แม่ที่ไม่เคยทำงานตลอดชีวิตของเขา แต่เขาก็ไปทำงาน และเขาก็ไม่เคยบ่นอะไรเลย เพราะเขาคิดว่าชีวิตนี้เขาไม่เคยทำงาน ได้มาลองทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนบ้างก็ดีเหมือนกันนะ ส่วนพ่อนี้เฉยๆ จะบ่นก็ตรงบ้างว่า คิดถึงร้านไทย และคิดถึงเพื่อนๆที่โน่น เพราะอยู่ที่นี่ไม่ค่อยมีเพื่อน เฮฮาปาร์ตี้ เท่าไหร่ เพราะไปทำงาน และก็กลับมาเลี้ยงหลาน สอนหลานต่อยมวย และหัดมวยให้กับนักมวย พอมีเวลาว่าง ก็มาช่วยงานที่บริษัทเคเทอริ่งก็หมดเวลาแล้ว แต่ที่เขาเสียสละไปมากมาย และที่ได้มาคือการได้มาอยู่ใกล้ กับลูกสาว และหลานสาวทุกวัน แค่นั้นก็เป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดแล้ว ของพ่อกับแม่
หลังจากที่บริษัทเคเทอริ่งของเราเข้ารูปเข้าร่างแล้ว และหลานสาวก็โตจนเข้าโรงเรียน และช่วยเหลือตัวเองได้บ้างแล้ว อีกทั้งงานผู้จัดการโรงแรมของฉันก็เข้าที่เข้าทางแล้ว พ่อกับแม่ก็ตัดสินใจ ที่จะ Retired วางมือจริงๆเสียที เพราะอายุก็เข้า 70 สิบกว่าแล้ว ซึ่งทั้งสองก็มาใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกา รวมเวลาประมาณ เกือบยี่สิบปีแล้ว
และเมื่อสองปีที่แล้ว เขาทั้งสองเลือกที่จะกลับไปอยู่ที่เมืองไทย เพราะเท่าที่เขาไปๆมาๆ ที่นั่น และที่นี่ ทำให้เขาห่างจากลูกๆ หลานๆอีกหลายคน ที่อยู่ที่เมืองไทย เขาเลยจะกลับไปเมืองไทย ไปเอ็นจอย สโลวไลฟ์ ที่บ้านของเขาในเมืองไทย ซึ่งฉันก็เข้าใจ และคิดว่า ถึงเวลาแล้วหล่ะ ที่พ่อกับแม่จะได้พักจริงๆเสียที แต่ยังไงเขาก็ยังจะบินไปๆมาๆ จนกว่าจะบินมาไม่ไหวอยู่ดีนั่นแหละ เพราะยังไง ที่อเมริกาก็ยังเป็นบ้านหลังที่สองของเขาทั้งสองอีกหลังหนึ่ง ที่จะตัดขาดกันไปเลยก็คงจะไม่ได้
ซึ่งพ่อเคยพูดไว้ว่า “อยู่ที่เมืองไทยก็นึกถึงเสต๊ก อยู่ที่อเมริกาก็นึกถึงส้มตำ”
Because it is the best of both world…
**************
จบแล้วค่ะ เรื่องของพ่อ กับแม่ ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะคะ
**************
ตอนที่พ่อกับแม่มาช่วยลูกสาวขนของ หนีตามผู้ชาย เอ๊ย ย้ายบ้านจากฟลอริด้า ไปโอกลาโฮม่า
ฉันไม่อยากจากฟลอริด้าไปเลย เพราะคอนโดริมชายทะเลส่วนตัว ของคุณตา ของสามีนี่แหละทำเหตุ มาอยู่นานก็จะให้จากไปก็ทำใจลำบาก
คุณสามีชอบถามว่า ทำไม คนไทยชอบใส่เสื้อผ้าเล่นน้ำ ทะเล ... ตัดภาพมาที่พ่อกับแม่ ...
แต่พอพ่อกับแม่ย้ายมาที่โอกลาโฮม่า มาเจอไอ้ตัวนี้... ลืมหมดทุกอย่าง
ยายรับ-ส่งหลานไปเรียนโรงเรียนอนุบาลทุกวัน
ยายก็บ่นไปเถอะ ไทยบ้าง อังกฤษบ้าง... ไอ้หลานก็ไม่ฟัง วิ่งไปเอาลูกอม ในวันฮาโลวีน
สำเนาถูกต้อง ตา-หลาน
ฉลองวันชาติอเมริกากับหลาน
ร่วมงานวันจบการศึกษาชั้นอนุบาลของหลาน
ไปดูการแสดงบัลเล่ต์
ของเจ้านี่
พาหลานไปลอยกระทงที่วัดไทย โดนหลาน โฟโต้บอมบ์ซะงั้น
หลานรักตายายมาก เอามือกอดคอคนแก่ซะเลย
หน้าร้อน ก็ไปนั่งเรือล่องทะเลสาป ผมปลิวว่อนเลย
หลังจากโดนลูกเขยแซะเรื่องใส่เสื้อผ้าเล่นน้ำ คุณตาอัพเดท มาใส่กางเกงว่ายน้ำ เล่นน้ำทะเลสาปซะเลย
คุณตานำทัพนักมวย ของตัวเอง ช่วยงานที่ร้านเคเทอริ่ง เปิดคืนแห่งความระทึก Dinner and Show กินอาหารไทย ชมมวยไทย ต่อยกันซะเลือดสาดเลย
เหงาๆก็เข้าคาสิโน (เล่นแค่ ยี่สิบ สามสิบแหละ แต่ไปกินโค้กฟรีซะเยอะ)
บินไปบินมา จนจะเป็นเพื่อนซี้กับพนักงาน ที่สนามบินอยู่แล้ว
ออเจ้าฟีเว่อร์... ตากับยายเอาชุดไทยมาฝาก