ไม่น่าเชื่อว่ากำลังนั่งเขียนรำลึกอดีตถนนข้าวสารในป่าที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลกแห่งหนึ่งที่ประเทศคอสตาริกา
ถนนข้าวสารเท่าที่ผมจำความได้ ไม่ต่างจากตรอกซอยทั่วๆ ไปของกรุงเทพฯ มีร้านขายของชำโชว์ห่วย แลนด์มาร์คที่สำคัญๆ คือมีธนาคารช่วงตรงหัวมุมด้านวัดชนะสงคราม(ถ้าจำไม่ผิดเป็นธนาคารทหารไทย) ส่วนทางเข้าซอยอีกด้าน(ด้านเยื้องอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตยก็จะมีโรงพิมพ์หนังสือธรรมะชื่อดัง โรงพิมพ์เลี่ยงเซียง) มีค่ายมวยและมีโต๊ะสนุ๊กเกอร์ มีโรงแรมระดับสองหรือสามดาว ที่เป็นขวัญใจชาวสิบล้อที่ขนของเข้ากรุงหรือออกจากกรุงมาใช้เป็นที่พักผ่อน ชื่อนิตย์เจริญหรืออะไรทำนองนี้แหละ
ผมมีความเกี่ยวข้องกับถนนข้าวสารอยู่สองสถาน สถานแรกคือสมัยเป็นสามเณรผมเคยเรียนบาลีไวยากรณ์ที่สำนักวัดชนะสงคราม ปรกติจะนั่งรถเมล์สาย10 จากฝั่งธนฯ เข้ามา และลงที่อนุเสาวรีย์ฯ แล้วเดินลัดเลาะถนนข้าวสารมาวัดชนะ จึงเห็นและผ่านบรรยากาศถนนข้าวสารเกือบทุกวัน ความเกี่ยวข้องอีกสถานหนึ่งก็คือ ผมเคยใช้เป็นที่ทำมาหากินและเป็น “มหาวิทยาลัยชีวิต” ซึ่งผมจะขอเริ่มเล่าต่อไปนี้
ชีวิตผมผกผันอย่างแรงเมื่อผมหันมาทุ่มเทให้กับการเรียนภาษาอังกฤษ(ด้วยตัวเอง) และขอรวบรัดตัดตอนมาที่ถนนข้าวสารเลย ผมไม่มีเงินจ่ายค่าเรียนสนทนาภาษาอังกฤษแบบตัวต่อตัว (ชั่วโมงละ150 บาท)กับฝรั่งเจ้าของภาษา ทำได้อย่างมากก็คือไปอาศัยเป็นลูกศิษย์วัดแถวๆ สะถานผ่านฟ้า แล้วไปเดินเตร่ที่ถนนข้าวสารที่ตอนนั้นเริ่มมีฝรั่งเข้ามาป้วนเปี้ยนแล้ว ไปรอดัดพูดภาษาอังกฤษกับฝรั่งที่ปากซอย
ตอนนั้นที่ถนนข้าวสารมีเกสต์เฮ้าส์อยู่หกถึงเจ็ดหลัง ไม่พลุกพล่านเหมือนตอนนี้ ใหม่ๆ ก็รู้สึกอายที่ไปดักรอฝึกภาษาอังกฤษ บางวัน...ได้พูดอยู่แค่คำสองคำ hello , how are you? How do you like Thailand? บางอาทิตย์ก็พูดแต่ประโยคเดียวกันซ้ำๆ ซากๆ ฝรั่งใจดียอมพูดกับผมก็มี ที่โบกไม้โบกไล่กลัวว่าผมจะไปทำร้ายหรือเป็นไกด์ผีก็มี ต่อมา ผมก็เปลี่ยนวิธีจากแค่ยืนดักอยู่ปากซอย มาเดินตระเวณหาฝรั่งใจดีที่จะให้ผมฝึกพูด ถ้ามีเงินติดกระเป๋า ห้าถึงสิบบาท ผมก็จะซื้อโค๊กเป๊ปซี่เลี้ยงพวกเขาเป็นการตอบแทน (ตอนนั้นเป๊ปซี่สำหรับคนไทยขวดละสามบาท แต่ห้าบาทสำหรับฝรั่ง) นั่งคุยกันบนโต๊ะที่ตั้งตามริมฟุตบาท (ให้นึกภาพตามนะครับว่าตอนนั้นฝรั่งยังไม่พลุกพล่าน)
นานเข้าๆ ผมก็ชักเหิมเกริมขึ้น.....เจ้าของเกสต์เฮ้าส์จะเอาโต๊ะออกมาตั้งที่ริมฟุตบาทหน้าร้าน ผมก็จะตระเวณะไปตามร้านั้นร้านนี้ ขอพูดคุยกับฝรั่งตามโต๊ะนั้นโต๊ะนี้ โกหกว่าเป็นนักศึกษาเรียนเอกภาษาอังกฤษและต้องการมาฝึกภาษา ส่วนใหญ่ก็จะได้รับความอนุเคราะห์อย่างดีจากนักท่องเที่ยว บางคนใจดีเลี้ยงข้าวผมก็มี แต่คนที่หน้าบอกบุญไม่รับก็คือเจ้าของเกสต์เฮ้าส์ มองว่าเราไปรบกวนลูกค้าเขา สุดท้ายเขาก็ไล่ตะเพิดผมออกจากร้าน ผมเลยต้องออกมาตระเวณเตร่ไปเตร่มาบนถนน เห็นว่าไม่ได้การ....สุดท้ายก็เลยไปสมัครเป็นพนักงานเสริฟอาหารที่เกสต์เฮ้าส์ขนาดใหญ่ที่ชื่อชาลีเกสต์เฮ้าส์บนปากซอยข้าวสาร คราวนี้ได้คุยกับฝรั่งหนำใจ คุยได้ทั้งวัน เขาให้ผมกินนอนที่เกสต์เฮ้าส์เงินเดือน 750 บาท ภาษาอังกฤษผมก็เริ่มแกร่งขึ้นๆ ..... สุดท้ายก็ออกมารับแปลหมอดูให้ฝรั่งที่วัดโพธิ์ รายได้บางวันไต่ถึงพันบาทก็มี!!
แทบไม่น่าเชื่อว่า ผมได้นำภาษาอังกฤษที่ผมเรียน(ด้วยตัวเอง)มาอย่างทุกลักทุเลในตอนนั้น มาสอนเจ้าของภาษาในประเทศของเขาเอง หรือมาใช้เป็นสื่อบรรยาย ที่พูดอย่างนี้เหมือนจะอวด...ซึ่งผมก็ไม่ปฏิเสธว่าต้องการอวดจริงๆ ที่ต้องการอวดนั้นก็เพราะอยากจะให้เป็นอุทาหรณ์ทั่วๆ ไปว่า หากเราต้องการอะไรจริงๆ ก็ต้องทำให้มันถึงที่สุด ล้มเหลวหรือสำเร็จช่างมัน อย่างน้อยๆ เราได้ทุ่มให้มันเต็มที่ และอยากจะให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับคนที่กำลังเรียนภาษาอังกฤษเป็นการเพิ่มเติมว่า สมัยผมเรียนนั้นสื่อการเรียนการสอนไม่ครบครันเหมือนตอนนี้ กว่าผมจะมีดิกชั่นนารีเป็นของตัวเอง ผมต้องรอวันที่จะเป็นเจ้าของอย่างยาวนาน (ของสอ เศรษฐบุตรราคา 35บาท) และอย่างที่ได้เรียนไปแล้วว่า บางทีผมพูดประโยคเดียวซ้ำๆ ซากเป็นอาทิตย์ก็มี แต่สาระที่ผมได้จากตรงนั้น คือการข่มความอายที่จะพูด ข่มความกลัวที่ว่าจะพูดผิดหลักไวยากรณ์ เมื่อข่มสองอย่างนี้ได้แล้ว......ภาษาอังกฤษที่ว่ายากๆ จะถูกขยับจากสถานะที่นอนนิ่งหนักอึ้งในสมองของคุณ มาสยบอยู่แทบเท้าคุณ!!
....ถนนข้าวสารรำลึก..../วัชรานนท์
ถนนข้าวสารเท่าที่ผมจำความได้ ไม่ต่างจากตรอกซอยทั่วๆ ไปของกรุงเทพฯ มีร้านขายของชำโชว์ห่วย แลนด์มาร์คที่สำคัญๆ คือมีธนาคารช่วงตรงหัวมุมด้านวัดชนะสงคราม(ถ้าจำไม่ผิดเป็นธนาคารทหารไทย) ส่วนทางเข้าซอยอีกด้าน(ด้านเยื้องอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตยก็จะมีโรงพิมพ์หนังสือธรรมะชื่อดัง โรงพิมพ์เลี่ยงเซียง) มีค่ายมวยและมีโต๊ะสนุ๊กเกอร์ มีโรงแรมระดับสองหรือสามดาว ที่เป็นขวัญใจชาวสิบล้อที่ขนของเข้ากรุงหรือออกจากกรุงมาใช้เป็นที่พักผ่อน ชื่อนิตย์เจริญหรืออะไรทำนองนี้แหละ
ผมมีความเกี่ยวข้องกับถนนข้าวสารอยู่สองสถาน สถานแรกคือสมัยเป็นสามเณรผมเคยเรียนบาลีไวยากรณ์ที่สำนักวัดชนะสงคราม ปรกติจะนั่งรถเมล์สาย10 จากฝั่งธนฯ เข้ามา และลงที่อนุเสาวรีย์ฯ แล้วเดินลัดเลาะถนนข้าวสารมาวัดชนะ จึงเห็นและผ่านบรรยากาศถนนข้าวสารเกือบทุกวัน ความเกี่ยวข้องอีกสถานหนึ่งก็คือ ผมเคยใช้เป็นที่ทำมาหากินและเป็น “มหาวิทยาลัยชีวิต” ซึ่งผมจะขอเริ่มเล่าต่อไปนี้
ชีวิตผมผกผันอย่างแรงเมื่อผมหันมาทุ่มเทให้กับการเรียนภาษาอังกฤษ(ด้วยตัวเอง) และขอรวบรัดตัดตอนมาที่ถนนข้าวสารเลย ผมไม่มีเงินจ่ายค่าเรียนสนทนาภาษาอังกฤษแบบตัวต่อตัว (ชั่วโมงละ150 บาท)กับฝรั่งเจ้าของภาษา ทำได้อย่างมากก็คือไปอาศัยเป็นลูกศิษย์วัดแถวๆ สะถานผ่านฟ้า แล้วไปเดินเตร่ที่ถนนข้าวสารที่ตอนนั้นเริ่มมีฝรั่งเข้ามาป้วนเปี้ยนแล้ว ไปรอดัดพูดภาษาอังกฤษกับฝรั่งที่ปากซอย
ตอนนั้นที่ถนนข้าวสารมีเกสต์เฮ้าส์อยู่หกถึงเจ็ดหลัง ไม่พลุกพล่านเหมือนตอนนี้ ใหม่ๆ ก็รู้สึกอายที่ไปดักรอฝึกภาษาอังกฤษ บางวัน...ได้พูดอยู่แค่คำสองคำ hello , how are you? How do you like Thailand? บางอาทิตย์ก็พูดแต่ประโยคเดียวกันซ้ำๆ ซากๆ ฝรั่งใจดียอมพูดกับผมก็มี ที่โบกไม้โบกไล่กลัวว่าผมจะไปทำร้ายหรือเป็นไกด์ผีก็มี ต่อมา ผมก็เปลี่ยนวิธีจากแค่ยืนดักอยู่ปากซอย มาเดินตระเวณหาฝรั่งใจดีที่จะให้ผมฝึกพูด ถ้ามีเงินติดกระเป๋า ห้าถึงสิบบาท ผมก็จะซื้อโค๊กเป๊ปซี่เลี้ยงพวกเขาเป็นการตอบแทน (ตอนนั้นเป๊ปซี่สำหรับคนไทยขวดละสามบาท แต่ห้าบาทสำหรับฝรั่ง) นั่งคุยกันบนโต๊ะที่ตั้งตามริมฟุตบาท (ให้นึกภาพตามนะครับว่าตอนนั้นฝรั่งยังไม่พลุกพล่าน)
นานเข้าๆ ผมก็ชักเหิมเกริมขึ้น.....เจ้าของเกสต์เฮ้าส์จะเอาโต๊ะออกมาตั้งที่ริมฟุตบาทหน้าร้าน ผมก็จะตระเวณะไปตามร้านั้นร้านนี้ ขอพูดคุยกับฝรั่งตามโต๊ะนั้นโต๊ะนี้ โกหกว่าเป็นนักศึกษาเรียนเอกภาษาอังกฤษและต้องการมาฝึกภาษา ส่วนใหญ่ก็จะได้รับความอนุเคราะห์อย่างดีจากนักท่องเที่ยว บางคนใจดีเลี้ยงข้าวผมก็มี แต่คนที่หน้าบอกบุญไม่รับก็คือเจ้าของเกสต์เฮ้าส์ มองว่าเราไปรบกวนลูกค้าเขา สุดท้ายเขาก็ไล่ตะเพิดผมออกจากร้าน ผมเลยต้องออกมาตระเวณเตร่ไปเตร่มาบนถนน เห็นว่าไม่ได้การ....สุดท้ายก็เลยไปสมัครเป็นพนักงานเสริฟอาหารที่เกสต์เฮ้าส์ขนาดใหญ่ที่ชื่อชาลีเกสต์เฮ้าส์บนปากซอยข้าวสาร คราวนี้ได้คุยกับฝรั่งหนำใจ คุยได้ทั้งวัน เขาให้ผมกินนอนที่เกสต์เฮ้าส์เงินเดือน 750 บาท ภาษาอังกฤษผมก็เริ่มแกร่งขึ้นๆ ..... สุดท้ายก็ออกมารับแปลหมอดูให้ฝรั่งที่วัดโพธิ์ รายได้บางวันไต่ถึงพันบาทก็มี!!
แทบไม่น่าเชื่อว่า ผมได้นำภาษาอังกฤษที่ผมเรียน(ด้วยตัวเอง)มาอย่างทุกลักทุเลในตอนนั้น มาสอนเจ้าของภาษาในประเทศของเขาเอง หรือมาใช้เป็นสื่อบรรยาย ที่พูดอย่างนี้เหมือนจะอวด...ซึ่งผมก็ไม่ปฏิเสธว่าต้องการอวดจริงๆ ที่ต้องการอวดนั้นก็เพราะอยากจะให้เป็นอุทาหรณ์ทั่วๆ ไปว่า หากเราต้องการอะไรจริงๆ ก็ต้องทำให้มันถึงที่สุด ล้มเหลวหรือสำเร็จช่างมัน อย่างน้อยๆ เราได้ทุ่มให้มันเต็มที่ และอยากจะให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับคนที่กำลังเรียนภาษาอังกฤษเป็นการเพิ่มเติมว่า สมัยผมเรียนนั้นสื่อการเรียนการสอนไม่ครบครันเหมือนตอนนี้ กว่าผมจะมีดิกชั่นนารีเป็นของตัวเอง ผมต้องรอวันที่จะเป็นเจ้าของอย่างยาวนาน (ของสอ เศรษฐบุตรราคา 35บาท) และอย่างที่ได้เรียนไปแล้วว่า บางทีผมพูดประโยคเดียวซ้ำๆ ซากเป็นอาทิตย์ก็มี แต่สาระที่ผมได้จากตรงนั้น คือการข่มความอายที่จะพูด ข่มความกลัวที่ว่าจะพูดผิดหลักไวยากรณ์ เมื่อข่มสองอย่างนี้ได้แล้ว......ภาษาอังกฤษที่ว่ายากๆ จะถูกขยับจากสถานะที่นอนนิ่งหนักอึ้งในสมองของคุณ มาสยบอยู่แทบเท้าคุณ!!