คืนความเป็นธรรมให้วัดพระธรรมกาย

ปัญหาวัดพระธรรมกายยืดเยื้อมาหลายสิบปี วัดนี้โดนกระหน่ำด้วยคำกล่าวหาสารพัด จนมีข้อสรุปของสังคมว่าไม่ใช่พุทธ แต่แน่ใจได้อย่างไรว่าข้อสรุปนี้ถูกต้องแล้ว หลักใหญ่ใจความที่นำไปสู่ข้อสรุปนี้ก็คือพระลิขิตของอดีตสังฆราชวินิจฉัยให้เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายต้องปาราชิก หลายฝ่ายโดยเฉพาะอำนาจรัฐปักใจตามโดยไม่มีข้อสงสัยเพราะเชื่อว่าสังฆราชต้องถูกต้อง ซึ่งเป็นไปตามวิถีของการปกครองแบบไทยๆ ที่ให้ความสำคัญกับตัวบุคคลมากกว่าเหตุผล แม้มีพระลิขิตสังฆราช แต่มหาเถรสมาคมในสมัยนั้นก็มิได้นำมาใช้ แต่กลับวินิจฉัยใหม่ตามพระธรรมวินัยให้เจ้าอาวาสวัดพระธรรมพ้นผิด ทำให้มหาเถรสมาคมตกเป็นเป้าหมายไปด้วย

คำถามสำคัญคือความเห็นสังฆราชเป็นที่สุดหรือไม่ พระลิขิตมีสถานะเหนือกว่าพระธรรมวินัยหรือเปล่า ถ้าเป็นระบบการปกครองแบบไทยๆ ก็ต้องตอบว่าใช่ แต่ถ้ายึดหลักศาสนาของพระพุทธเจ้าก็ต้องตอบว่าไม่ เพราะถ้าพระลิขิตสอดคล้องกับพระธรรมวินัยจึงจะถือว่าถูกต้อง แต่ถ้าขัดก็ต้องถือว่าไม่ถูกต้อง นี่เป็นหลักการสำคัญในพระพุทธศาสนา

จากการตรวจสอบก็พบว่าพระลิขิตสังฆราชก็ไม่ได้ถูกต้องตามหลักการในพระพุทธศาสนาไปซะทุกเรื่อง เช่นในเอกสารของ มูลนิธิสมาคมโหรแห่งประเทศในพระสังฆราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นองค์กรที่พระสังฆราชองค์ที่แล้วดำริให้จัดตั้งขึ้นเพื่อเผยแพร่วิชาโหราศาสตร์


ในส่วนของพระวรธรรมคติซึ่งเทียบเท่ากับพระลิขิตก็กล่าวยกย่องวิชาโหราศาสตร์และเหล่าโหรไว้อย่างสูง


แต่ตรงนี้เป็นที่น่าสงสัยมากเพราะว่าในพระพุทธองค์ได้กล่าวปฏิเสธการหลักการของโหราศาสตร์อย่างสิ้นเชิง ดังเช่นใน สุปุพพัณหสูตร
[๕๙๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย ประพฤติสุจริตด้วยวาจา ประพฤติสุจริตด้วยใจ ในเวลาเช้า เวลาเช้าก็เป็นเวลาเช้าที่ดีของสัตว์เหล่านั้น
สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย ประพฤติสุจริตด้วยวาจา ประพฤติสุจริตด้วยใจ ในเวลาเที่ยง เวลาเที่ยงก็เป็นเวลาเที่ยงที่ดีของสัตว์เหล่านั้น
สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย ประพฤติสุจริตด้วยวาจา ประพฤติสุจริตด้วยใจ ในเวลาเย็น เวลาเย็นก็เป็นเวลาเย็นที่ดีของสัตว์เหล่านั้น
(ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=20&A=7802&Z=7826 )

ไม่เพียงแต่คัดค้านหลักการของโหราศาสตร์ แต่พระพุทธเจ้าทรงติเตียนวิชาเหล่านี้ไว้อย่างรุนแรง ดังเช่น ใน นักขัตตชาดก
“ประโยชน์ได้ล่วงเลยคนโง่เขลา ผู้มัวคอยฤกษ์อยู่ ประโยชน์เป็นฤกษ์ของประโยชน์เอง ดาวดวงจักทำอะไรได้”
(ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/atita100/jataka.php?i=270049 )

มิหนำซ้ำ พระพุทธเจ้าก็ยังทรงบัญญัติลงไปในส่วนของศีลซึ่งเป็นข้อห้ามของพระภิกษุมิให้ไปยุ่งเกี่ยวกับโหราศาสตร์ซึ่งทรงแจกแจงครอบคลุมแทบทุกแขนงของโหราศาสตร์ ดังเช่น ในชาลิยสูตร
      ๔. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธา แล้วยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ พยากรณ์ว่า จักมีจันทรคราส จักมีสุริยคราส จักมีนักษัตรคราส ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์จักเดินถูกทาง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินผิดทาง ดาวนักษัตรจักเดินถูกทาง ดาวนักษัตรจักเดินผิดทาง จักมีอุกกาบาต จักมีดาวหาง จักมีแผ่นดินไหว จักมีฟ้าร้องดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักขึ้น ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักตก ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักมัวหมอง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักกระจ่าง จันทรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ สุริยคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ นักษัตรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เดินผิดทางจักมีผลเป็น อย่างนี้ ดาวนักษัตรเดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดาวนักษัตรเดินผิดทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ มีอุกกาบาตจักมีผลเป็นอย่างนี้ มีดาวหางจักมีผลเป็นอย่างนี้ แผ่นดินไหวจักมีผลเป็นอย่างนี้ ฟ้าร้องจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรขึ้นจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรตกจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรมัวหมองจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรกระจ่างจักมีผลเป็นอย่างนี้ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
(ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=09&A=4961&Z=5294 )

ในพระพุทธศาสนาจึงไม่มีที่ว่างให้กับวิชาโหราศาสตร์ เพราะเป็นติรัจฉานวิชา ปิดกั้นทางมรรคผล ใครไปเกี่ยวข้องก็ห่างไกลนิพพานไปเรื่อยๆ สำหรับพระสงฆ์ วิชาโหราศาสตร์ถูกจัดไว้เป็นมิจฉาชีพอย่างหนึ่ง ดังเช่น ใน สูจิมุขีสูตร

"สา. ดูกรน้องหญิง ก็สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง เลี้ยงชีพด้วยมิจฉาชีพ เหตุดิรัจฉานวิชา คือ วิชาดูพื้นที่ สมณพราหมณ์เหล่านี้เรียกว่า ก้มหน้าฉัน. ดูกรน้องหญิง สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง เลี้ยงชีพด้วยมิจฉาชีพ เหตุดิรัจฉานวิชา คือ วิชาดูดาวนักษัตร สมณพราหมณ์เหล่านี้เรียกว่า แหงนหน้าฉัน. ดูกรน้องหญิง สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งเลี้ยงชีพด้วยมิจฉาชีพ เหตุประกอบการรับส่งข่าวสาส์น สมณพราหมณ์เหล่านี้เรียกว่า มองดูทิศใหญ่ ฉัน.
ดูกรน้องหญิง สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง เลี้ยงชีพด้วยมิจฉาชีพ เหตุดิรัจฉานวิชาคือ วิชาทายองค์อวัยวะ สมณพราหมณ์เหล่านี้เรียกว่า  มองดูทิศน้อยฉัน. ดูกรน้องหญิง ส่วนเรานั้นมิได้เลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพ  เหตุดิรัจฉานวิชา คือ วิชาตรวจพื้นที่ มิได้เลี้ยงชีพด้วยมิจฉาชีพเหตุดิรัจฉานวิชา คือวิชาดูดาวนักษัตร มิได้เลี้ยงชีพด้วยมิจฉาชีพ เหตุประกอบการรับส่งข่าวสาส์น มิได้เลี้ยงชีพด้วยมิจฉาชีพ เหตุดิรัจฉานวิชา คือ วิชาทายองค์อวัยวะ (แต่) เราแสวงหาภิกษาโดยชอบธรรม ครั้นแล้วจึงฉัน."
(ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=17&A=6079&Z=6123)

ปัญหานี้เป็นเรื่องศีลในพระพุทธศาสนา ซึ่งศีลในพระพุทธศาสนามิได้จำกัดแต่การห้ามมิให้กระทำด้วยตนเองเท่านั้น แต่ครอบคลุมไปถึงการใช้ให้ผู้อื่นกระทำด้วย หรือแม้แต่มีจิตยินดีก็ไม่ได้ จากหลักฐานในพระไตรปิฎกที่มีอยู่มากมาย ซึ่งทุกคนสามารถตรวจสอบได้ทุกเมื่อ ทำให้สรุปได้ว่าความเห็นของใครก็ตามแม้จะสูงส่งเพียงใดก็ไม่แน่ว่าจะถูกต้องสถานเดียว ชาวพุทธต้องเทียบเคียงกับข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกก่อนจึงจะเชื่อ

ประเด็นเรื่องพระลิขิตสังฆราชก็สมควรจะตกไปนานแล้ว  แต่กระทั่งในปัจจุบันก็ยังถูกหยิบยกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองเช่นพระรูปหนึ่งที่ยกเรื่องนี้มาโจมตี จนรัฐบาลชุดนี้ที่เป็นสานุศิษย์ของพระรูปนั้นก็ออกมาดำเนินการกับวัดพระธรรมกายอย่างรุนแรง

หรือความพยายามปฏิรูปสงฆ์โดยหาทางล้มล้างมหาเถรสมาคม กระทั่งปัจจุบันก็ออกกฏหมายรวบอำนาจกลับสู่ศูนย์กลางโดยไม่มีการคานอำนาจกันเองในวงการสงฆ์อีกต่อไป แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าการปฏิรูปจะนำพุทธศาสนาไปสู่ความบริสุทธิ์หรือนำไปสู่ความพินาศกันแน่ เพราะนโยบายสนับสนุนโหราศาสตร์ที่แล้วมาของสังคมไทย ก็ทำให้แทบทุกวัดในประเทศไทยถูกเจือปนด้วยไสยศาสตร์จนเกือบหมด หลายวัดเปิดให้บูชาราหู หลายวัดมีพิธีสะเดาะเคราะห์ ดูดวงแก้กรรม หรือแม้แต่การบูชาพระประจำวันเกิดก็เป็นเรื่องนอกศาสนาเจือปนเข้ามาในศาสนาพุทธทั้งนั้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถูกพระพุทธเจ้าห้ามไว้หมดแล้ว แต่ไม่มีใครสนใจเพราะมันถูกเจือปนเข้ามาหลายร้อยปีแล้ว นานจนกระทั่งมันถูกเชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของพุทธไปแล้ว และยังหลอมรวมกับระบบแบบไทยๆในทุกระดับชั้น

เหลือเพียงไม่กี่แห่งที่ยังคงไม่มีเรื่องเหลวไหลเหล่านี้อยู่ในวัด ซึ่งหนึ่งในนั้นคือวัดพระธรรมกายที่ต่อต้านโหราศาสตร์และไสยศาสตร์ทุกรูปแบบ น่าเชื่อได้ว่าเหตุที่วัดนี้ถูกเล่นงานก็คือ โตเร็วไป ใหญ่เกินไป ที่สำคัญที่สุดแนวทางปฏิบัติไม่สอดคล้องเป็นที่ชอบใจตามสเปคของระบอบแบบไทยๆ ที่หลงงมงายกับเรื่องไสยศาสตร์ หรือไม่ก็สุดโต่งไปอีกทางโดยไม่เชื่อในพระพุทธเจ้าแต่เชื่อวิทยาศาสตร์มากกว่า พุทธปนไสยกับพุทธแบบวิทย์จึงเป็นแนวร่วมพร้อมใจกันถล่มวัดพระธรรมกาย


หากจะปฏิรูปศาสนา ก็ขอท้าเลยว่าข้อแรกที่ควรทำอย่างยิ่งคือเอาสิ่งแปลกปลอมนอกศาสนาที่พระพุทธเจ้าสั่งห้ามไว้ออกไปให้หมดจากวัดในพระพุทธศาสนา แต่สงสัยว่าจะเป็นคำขอที่มากเกินไป เพราะทางฝ่ายปฏิรูปก็เห็นสนใจแต่เรื่องอำนาจการปกครองและทรัพย์สินของวัดมากกว่าสิ่งอื่นใด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่