สวัสดีค่ะ.
หลังจากที่เคยตั้งกระทู้ไปฝึกงานที่ New Zealand เมื่อ 3 ปีก่อน
วันนี้ก็ได้ฤกษ์ได้ยามกลับมาพบกันอีกครั้งในศักราชใหม่นะคะ ฮ่าๆๆๆ
ประสบการณ์ที่จะมาเล่าสู่กันฟังต่อจากนี้ก็คือ ..
ไปฝึกงานต่างประเทศครั้งที่ 2 และ
การไปเยือนสหรัฐอเมริกา
เป็นครั้งแรกในชีวิต เจ้าค่าาาาา!!
.. ค่ะ ..
การไปฝึกงานครั้งนี้ มีชื่อโครงการว่า . . .
Internship & Training Program
วีซ่าก็จะจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับ W&T และ Au Pair
คือประเภท J-1 Visa นั่นเองค่ะท่านผู้อ่านนนนน
*** ต้องขออธิบายคร่าวๆ นิดนึงก่อนนะคะ ***
(เผื่อไว้เป็นกรณีศึกษาสำหรับบุคคลที่สนใจ)
ในโครงการ Internship & Training Program in USA นั้น
ก็มีอยู่หลายสาขาวิชาชีพที่เปิดรับสมัครเลยแหละค่ะ
สาขาที่เราเลือกไปฝึกนั้น คือ Hospitality
โดยกำหนดระยะเวลาในการ Interns ไว้ที่ 12 เดือน
และในส่วนของงานด้าน Hospitality
จะแบ่งออกเป็น 3 แผนกย่อย
ดังนี้ค่ะ ..
1. Food & Beverage Service :
งานเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มนั่นแหละ
2. Culinary / Kitchen :
งานครัวทำอาหาร
3. Front Office : แผนกต้อนรับ
(ซึ่งจริงๆ สาขา F/O นี้เปิดรับไม่มาก และนายจ้างไม่ได้เปิดรับทุกที่
เพราะว่าสำหรับแผนกนี้ ต้องยอมรับว่าเราพ่ายแพ้ให้กับฟิลิปปินส์ค่ะ
พวกนางเอาไปฟาดเรียบ เพราะภาษาต้องแน่นมากจริงๆ
บางที่กำหนดว่าต้องเป็นระดับ Native Speaker เลยนะคะ) งานยากๆ
.. แต่ก็มีคนไทยทำงานแผนกนี้อยู่นะคะ ไม่ใช่ว่าไม่มีเลย ..
ถ้าใครสนใจจะลองดู ก็ไม่เสียหายค่ะ


.
.
มาเริ่มขั้นตอนแรกกันเลยนะคะ
เราได้ตัดสินใจกดโทรศัพท์ติดต่อไปสอบถามกับ Agency
(หลังจากที่ชั่งใจ นอนคิด นั่งคิดอยู่นานโข)
หลังจากสอบถามข้อมูลเรียบร้อยแล้ว
โดยทางบริษัทจะให้เราส่ง Resumé หรือ CV
ไปให้เค้าสกรีนดูก่อนว่าคุณสมบัติของเรานั้น
.. ผ่านเกณฑ์ตามที่เค้ากำหนดไว้หรือไม่?
ถ้าผ่าน.. *
หลังจากนั้นก็จะมี Oral Test
วัดระดับทักษะทางภาษาอังกฤษนิดๆ หน่อยๆ
โดยทาง Agency จะเป็นผู้สัมภาษณ์เราเองค่ะ
.
.
.
เมื่อสัมภาษณ์เสร็จแล้วเรียบร้อย
หลังจากนั้นก็รอสัมภาษณ์กับทางองค์กรแลกเปลี่ยน
ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในนามว่า
Intrax
ขั้นตอนนี้ไม่มีอะไรมากค่ะ
เหมือนเค้าสัมภาษณ์ความรู้พื้นฐาน ประวัติต่างๆ ของเรา
รวมไปถึงดูบุคลิกภาพ และ Attitude ของผู้สมัครด้วย
ก็อย่างที่บอกแหละค่ะ งานที่เมืองนอกมันหนักมากกก
แต่ก็ยังจะมา เพื่ออัพโปรไฟล์ล้วนๆ (แต่ไม่รู้ว่าช่วยได้มั้ยนะ) ฮ่าๆๆๆๆ
ซึ่งองค์กรแลกเปลี่ยนนี้เค้าก็จะมีหน้าที่ดูแลเรา
ขณะที่เราฝึกงานและอาศัยอยู่ในสหรัฐฯ ค่ะ
พูดง่ายๆ ว่าเค้าคือสปอนเซอร์ให้กับเด็กที่จะไปฝึกงาน
ตลอดจนหา Host Company (นายจ้าง) มาให้เรา
ทุกสิ่งอย่างต้องดำเนินงานผ่านทางองค์กร Intrax นี่แหละค่าาา
.
.
** ด่านต่อไปค่ะ!! **
ในรอบที่เราไป Job Fair กับทาง Agency
ถือว่าเป็นความโชคดีอย่างมาก
เพราะครั้งนี้ Host Company จะบินตรงจากอเมริกา
เพื่อมาสัมภาษณ์งานถึงประเทศไทยเองเลย ..
ไม่ต้องพึ่งพา Skype กะโหลกกะลาอีกต่อไป!!!!
โดยครั้งนี้มี Host Company ถึง 3 บริษัท
ได้บินมาสัมภาษณ์พร้อมกันอีกด้วย ..
เริ่ดดด! เริ่ดมากก คือมันดีย์มากจริงๆ ค่ะ
List ของ Host Company ทั้งหมดที่มานะคะ
ก็จะมี ..
1. Resort Squaw Creek จาก California
2. Pontchartrain Hotel & Borgne Restaurant จาก Louisiana
และ ..
3. Thompson Nashville Hotel จาก Tennessee ส่งเข้าประกวด
และเป็น Host Company ที่เลือกเราเข้าทำงาน
ซึ่งนั่นหมายความว่า
เราสัมภาษณ์ .. ผ่านแล้วค่าาาาา!!!!!!


ยังไม่จบนะคะ.. สำหรับเส้นทางสู่อเมริกาของเรา
** เดี๋ยวกลับมาเล่าต่อ **
ไปฝึกงานที่ ‘สหรัฐอเมริกา’.. ครั้งแรกในชีวิต!!!
หลังจากที่เคยตั้งกระทู้ไปฝึกงานที่ New Zealand เมื่อ 3 ปีก่อน
วันนี้ก็ได้ฤกษ์ได้ยามกลับมาพบกันอีกครั้งในศักราชใหม่นะคะ ฮ่าๆๆๆ
ประสบการณ์ที่จะมาเล่าสู่กันฟังต่อจากนี้ก็คือ ..
ไปฝึกงานต่างประเทศครั้งที่ 2 และ
การไปเยือนสหรัฐอเมริกา
เป็นครั้งแรกในชีวิต เจ้าค่าาาาา!!
.. ค่ะ ..
การไปฝึกงานครั้งนี้ มีชื่อโครงการว่า . . .
Internship & Training Program
วีซ่าก็จะจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับ W&T และ Au Pair
คือประเภท J-1 Visa นั่นเองค่ะท่านผู้อ่านนนนน
*** ต้องขออธิบายคร่าวๆ นิดนึงก่อนนะคะ ***
(เผื่อไว้เป็นกรณีศึกษาสำหรับบุคคลที่สนใจ)
ในโครงการ Internship & Training Program in USA นั้น
ก็มีอยู่หลายสาขาวิชาชีพที่เปิดรับสมัครเลยแหละค่ะ
สาขาที่เราเลือกไปฝึกนั้น คือ Hospitality
โดยกำหนดระยะเวลาในการ Interns ไว้ที่ 12 เดือน
และในส่วนของงานด้าน Hospitality
จะแบ่งออกเป็น 3 แผนกย่อย
ดังนี้ค่ะ ..
1. Food & Beverage Service :
งานเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มนั่นแหละ
2. Culinary / Kitchen :
งานครัวทำอาหาร
3. Front Office : แผนกต้อนรับ
(ซึ่งจริงๆ สาขา F/O นี้เปิดรับไม่มาก และนายจ้างไม่ได้เปิดรับทุกที่
เพราะว่าสำหรับแผนกนี้ ต้องยอมรับว่าเราพ่ายแพ้ให้กับฟิลิปปินส์ค่ะ
พวกนางเอาไปฟาดเรียบ เพราะภาษาต้องแน่นมากจริงๆ
บางที่กำหนดว่าต้องเป็นระดับ Native Speaker เลยนะคะ) งานยากๆ
.. แต่ก็มีคนไทยทำงานแผนกนี้อยู่นะคะ ไม่ใช่ว่าไม่มีเลย ..
ถ้าใครสนใจจะลองดู ก็ไม่เสียหายค่ะ
.
.
มาเริ่มขั้นตอนแรกกันเลยนะคะ
เราได้ตัดสินใจกดโทรศัพท์ติดต่อไปสอบถามกับ Agency
(หลังจากที่ชั่งใจ นอนคิด นั่งคิดอยู่นานโข)
หลังจากสอบถามข้อมูลเรียบร้อยแล้ว
โดยทางบริษัทจะให้เราส่ง Resumé หรือ CV
ไปให้เค้าสกรีนดูก่อนว่าคุณสมบัติของเรานั้น
.. ผ่านเกณฑ์ตามที่เค้ากำหนดไว้หรือไม่?
ถ้าผ่าน.. *
หลังจากนั้นก็จะมี Oral Test
วัดระดับทักษะทางภาษาอังกฤษนิดๆ หน่อยๆ
โดยทาง Agency จะเป็นผู้สัมภาษณ์เราเองค่ะ
.
.
.
เมื่อสัมภาษณ์เสร็จแล้วเรียบร้อย
หลังจากนั้นก็รอสัมภาษณ์กับทางองค์กรแลกเปลี่ยน
ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในนามว่า Intrax
ขั้นตอนนี้ไม่มีอะไรมากค่ะ
เหมือนเค้าสัมภาษณ์ความรู้พื้นฐาน ประวัติต่างๆ ของเรา
รวมไปถึงดูบุคลิกภาพ และ Attitude ของผู้สมัครด้วย
ก็อย่างที่บอกแหละค่ะ งานที่เมืองนอกมันหนักมากกก
แต่ก็ยังจะมา เพื่ออัพโปรไฟล์ล้วนๆ (แต่ไม่รู้ว่าช่วยได้มั้ยนะ) ฮ่าๆๆๆๆ
ซึ่งองค์กรแลกเปลี่ยนนี้เค้าก็จะมีหน้าที่ดูแลเรา
ขณะที่เราฝึกงานและอาศัยอยู่ในสหรัฐฯ ค่ะ
พูดง่ายๆ ว่าเค้าคือสปอนเซอร์ให้กับเด็กที่จะไปฝึกงาน
ตลอดจนหา Host Company (นายจ้าง) มาให้เรา
ทุกสิ่งอย่างต้องดำเนินงานผ่านทางองค์กร Intrax นี่แหละค่าาา
.
.
** ด่านต่อไปค่ะ!! **
ในรอบที่เราไป Job Fair กับทาง Agency
ถือว่าเป็นความโชคดีอย่างมาก
เพราะครั้งนี้ Host Company จะบินตรงจากอเมริกา
เพื่อมาสัมภาษณ์งานถึงประเทศไทยเองเลย ..
ไม่ต้องพึ่งพา Skype กะโหลกกะลาอีกต่อไป!!!!
โดยครั้งนี้มี Host Company ถึง 3 บริษัท
ได้บินมาสัมภาษณ์พร้อมกันอีกด้วย ..
เริ่ดดด! เริ่ดมากก คือมันดีย์มากจริงๆ ค่ะ
List ของ Host Company ทั้งหมดที่มานะคะ
ก็จะมี ..
1. Resort Squaw Creek จาก California
2. Pontchartrain Hotel & Borgne Restaurant จาก Louisiana
และ ..
3. Thompson Nashville Hotel จาก Tennessee ส่งเข้าประกวด
และเป็น Host Company ที่เลือกเราเข้าทำงาน
ซึ่งนั่นหมายความว่า
เราสัมภาษณ์ .. ผ่านแล้วค่าาาาา!!!!!!
ยังไม่จบนะคะ.. สำหรับเส้นทางสู่อเมริกาของเรา
** เดี๋ยวกลับมาเล่าต่อ **