เปิดประสบการณ์โครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนเมืองแตกู Daegu International Youth Camp 대구국제대학생캠프 มาค่ายในแดนกิมจิที่เมืองแห่งเทคโนโลยีอุตสาหกรรม “Daegu”
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับโครงการนี้กันก่อนดีกว่าา .....
โครงการที่มีชื่อว่า “โครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนเมืองพี่เมืองน้องของกรุงเทพมหานคร” จัดโดยสำนักงานการต่างประเทศ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นโครงการสานสัมพันธ์ระหว่างเมืองกรุงเทพมหานครและแตกู เป็นความตกลงระหว่างประเทศ หรือเมืองในประเทศที่ต่างกัน ในการที่จะสถาปนาเมืองในประเทศของแต่ละฝ่ายให้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันเป็นพิเศษนั้นเอง
ถ้าอยากไปต้องทำยังไง ผู้สนใจโครงการจะต้องเขียนเรียงความภาษาไทยและภาษาอังกฤษตามหัวข้อที่ทางโครงการเป็นผู้กำหนดมา สามารถติดตามรายละเอียดได้โครงการได้ที่เว็บไซต์
http://iad.bangkok.go.th/ หรือ
https://www.facebook.com/bangkokiad/
ออกเดินทางจาก สุวรรณภูมิ-กิมแฮ(ปูซาน)✈️
เมื่อถึงกิมแฮแล้วต้องนั่งลิโมบัส 🚌(ราคาตั๋วคนละ 10400 ₩)ไปลงที่สถานีดง-ู
ที่นั้นจะมีคนของค่ายมารอรับเราอยู่แล้วววว
เมื่อมาถึงที่พักแล้วนั้นทางค่ายจะแจกกุญแจห้องของแต่ละคน ซึ่งความเซอร์ไพรส์ก็ได้เกิดขึ้น คือรูมเมดที่ได้นั้นจะมาจากการสุ่มของทางค่ายจ้าาา (ตื่นเต้นไปอีกกกก) หลังจากเข้าห้องพักแล้วนั้นก็จะพักผ่อนตามอัธยาศัยเลย
มาเริ่มกันที่กิจกรรมภายในค่ายกันดีกว่า…..
เริ่มต้นด้วยการที่ทางค่ายเขาจะแบ่งเราเป็นทีม ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะโดนแบ่งไม่ให้คนที่มาด้วยกันอยู่ทีมเดียวกัน กิจกรรมที่ทางค่ายจัดมานั้นตารางจะค่อนข้างแน่นในทุกๆวัน ซึ่งเหนื่อยมากทุกวันแต่ก็สนุกมากด้วยเช่นกัน (เราเลยแนะนำค่ายไปว่าควรขยายเวลาจัดค่ายให้นานกิจกรรมจะได้ไม่แน่นไป) ไปดูกันเลยดีกว่ามามีกิจกรรมอะไรบ้างงงง Let’s gooo🌬
เรียนภาษาเกาหลีโดยอาจารย์เกาหลีที่สถาบันภาษาของมหาวิทยาลัยคเยมยอง อาจารย์จะสอนเกาหลีขั้นพื้นฐานตั้งแต่พยัญชนะ สระ ไปจนถึงการอ่านคำง่ายๆ
ทุกคนคงจะรู้นะคะว่าเทควันโดนั้นต้นกำเนิดมาจากประเทศเกาหลี ดังนั้นจึงมีคลาสเรียนเทควันโดนั้นเอง ในคลาสก็จะสอนท่าพื้นฐาน การเคารพ การวอมอัพต่างๆ ให้เราได้ฝึกกัน 🥋
ถ้าพูดถึงประเทศเกาหลีแล้วนั้นสิ่งที่จะขาดไม่ได้เลยคือการเต้น cover dance นั้นเอง! คลาสCover dance ครั้งนี้ก็มาในเพลงBoomboom ของ Momoland 💃🏻
เรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมการแต่งกายและมารยาทในสังคมของคนกาหลีในเรื่องการดื่มชา การแต่งงาน ซึ่งเรารู้สึกว่าถ้าอยู่ไทยมันจะไม่ได้เรียนรู้วัฒนธรรมเกาลีในด้านนี้มากเลยชอบเป็นพิเศษ 🇰🇷
อย่างในรูปนั้นจะเป็นพิธีแต่งงานแบบดังเดิมของเกาหลี ในสมัยก่อนผู้ที่จะใส่ชุดแบบนี้ได้จะต้องเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่ในปัจจุบันกรณีที่เป็นคนธรรมดาจะสามารถใส่ชุดนี้ได้เพียงครั้งเดียวเมื่อตนเองแต่งงานเท่านั้น
ดื่มชาต้องกินคู่กับขนมต๊อก หรือ ซัมต๊อก (쌈떡)
(แป้งเหนียวๆข้างในเป็นไส้ถั่วแดง) ☕️
วิธีกินคนที่อยู่ทางขวามือจะต้องเป็นคนที่เทชาและเวลาจะทานจะต้องใช้มือปิดปากด้วยนะ
วัด Donghwasa เป็นวัดเก่าแก่อายุกว่า1500 ปี แถมยังเป็นมรดกโลกอีกด้วย
ภายในวัดบรรยากาศร่มรื่นมากๆ แต่วันที่ไปคนไม่ค่อยเยอะเท่าไรคาดว่าเเป็นเพราะไปวันธรรมดา
องค์พระที่อยู่ด้านใน(ไม่ทราบว่าเรียกว่าอะไรผู้รู้ช่วยตอบได้นะคะ) แต่ว่าคนเกาหลีส่วนใหญ่ที่มาก็จะมมาไหว้ขอพรอธิฐานกันตรงนี้ค่ะ
ชมละครเพลงเรื่อง Turandot สนุกมากเป็นเรื่องราวความรัก จะเป็นละครเพลงภาษาเกาหลีแต่จะมีซับภาษาอังกฤษให้ตลอดทั้งเรื่อง
ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้เรื่อง อปป้าในทีมบอกว่านักแสดงนำเป็นคนดังมากในโรงละครแห่งนี้ แต่เราไม่รู้จักหรอกรู้แต่ว่าร้องเพลงเพราะมากจริงๆ
น้ำตาแอบคลอตอนดูด้วยแหละ
มาต่อกันที่ สวนน้ำเกาหลีขอบอกว่ามันเด็ดดวงมากจริงๆ อยากให้ทุกคนได้มาลองสวนน้ำของเกาหลี
ภายในจะแบ่งเป็น2ส่วนคือ สวนน้ำกับจิมจิลบัง หรือ찜질방(ซาวน่าเกาหลี) สวนน้ำไม่ได้ใหญ่มาก แต่!! เครื่องเล่นแรงใช้ได้(น้ำแรงดีมาก) มีแบ่งเป็นโซนน้ำวน สระลึกที่จะปล่อยคลื่นเป็นเวลา สไลเดอร์ยักๆอีกหลายอัน มีสระน้ำในร่ม บ่อน้ำร้อนกลางแจ้งและบ่อในร่ม
ประสบการณ์ culture shock ที่สุดของทริปคือการอาบน้ำและปลี่ยนเสื้อผ้า ทุกคนคงนึกภาพออก เด็กไทยอย่างเรานั้นก็จะเขิลอายหน่อยๆ
ปล.สวนน้ำที่นี้บังคบใส่ชูชีพและหมวกจะเป็นหมวกแกปหรือหมวกว่ายน้ำได้หมด
Mini Olympic กีฬาสี โดยแบ่งออกเป็น 2 ทีมคละทีมกันไป
กีฬาบ้านเค้าก็จะคล้ายๆของไทย วิ่งผลัด ชักคะเยอ วิ่ง 3 ขา 4 ขา กระโดดเชือกแบบหลายๆคนพร้อมกัน(คิดว่าอันนี้น่าจะฮิตที่สุด)
มาถึงกิจกรรมที่spacialที่สุดคือ การแสดงโชว์งานปิดของแต่ละทีม
ค่ายบลีฟมาในวันแรกเลยคือแต่ละทีมจะต้องมีการแสดงในวันสุดท้ายของค่าย ซึ่งทีมเรานั้นคิดกันอย่างหนักหน่วงแล้วว่าจะเต้นประกอบเพลง Onara (Ost.Daejangdeum) ใครนึกซาวดนตรีไม่ออกตามไปฟังกันได้นะ 55555
ในส่วนของกิจกรรมมีบางสถานที่เราไม่สามารถถ่ายภาพมาได้ อย่าง Daegutec โรงงานผลิตทังสเตนรายใหญ่ของเกาหลีใต้ และโรงพยาบาลในเครือของมหาลัยคเยมยอง และก็มีบางสถานที่เราลืมเก็บภาพ Dongseongno เป็นแหล่งช๊อปปิ้งสตรีทของที่-ูคล้ายมยองดงในโซลแต่ใหญ่กว่า
พาร์ทของกินอาหาร ทางค่ายเลี้ยงดีทุกมื้อจริงๆ (เช้ากินที่โรงอาหาร กลางวันและเย็นกินนอกสถานที่) ไปดูกันว่ามาค่ายได้กินอะไรกันไปบ้างงงงง
มาถึงวันแรกก็โดนจัดไปเลยจ้า chimac party มันคือปาร์ตี้ไก่กับเบียร์นั้นเอง กินไม่พอคือสั่งได้เรื่อยๆเลยนะ
แต่อย่างที่เห็นคือจานที่มาเสริฟก็ค่อนข้างที่ใหญ่พอสมควร โต๊ะนึงจะได้รับไก่ประมาณ 3 จาน
มื้อเช้าในทุกๆวันจะได้กินอาหารเป็นถาดหลุมในโรงอาหาร ทุกคนคิดใช่มั้ยว่า “อะไรไปค่ายตปท.กินถาดหลุม” มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นนน อาหารที่โรงอาหารของมหาลัยนั้นโอเคเลยนะ
การจะเข้าไปกินข้าวในโรงอาหารทุกคนจะต้องมีคีย์การ์ด+ป้ายห้อยคอเพื่อที่จะเข้าไปกินข้าวได้ ภายในจะมีบอร์ดตารางอาหารว่าในหนึ่งอาทิตย์จะมีรายการอาหารอะไรให้เราได้กินบ้าง
วิธีการกินข้าวในโรงอาหารก็ทั่วๆไปเลย หยิบถาดตักข้าวตัก เครื่องเคียง(กิมจิ+ซุปที่จะมีทุกมื้อ) ส่วนกับข้าวจะมีอาจุมม่าเป็นคนตักให้เราจากนั้นก็เลือกที่นั้นตามใจชอบบบบบ
อันนี้คือจานโปรดเราเลย ไปเกาหลีกี่ที่ต้องโดน!!
จิมดัก (찜닭) ไก่ตุ๋นของเกาลีจะผัดคู่กับวุ้นเส้น ซีอิ๋วดำ เราชอบทานคู่กับข้าว
ไก่ตุ๋นโสม(삼계탕) ถ้าใครเคยไปทัวร์เกาหลีคิดว่าเมนูนี้น่าจะไม่พลาดกัน
ไก่ตัวเล็กยัดไส้ด้วยข้าว โสม เกาลัค รสชาติจะจืดๆ ต้องกินคู่กับเกลือที่เขาให้มาด้วย
แอบไปเห็นราคาอาหารจานนี้คือ จานละ 20000₩ อะทุกคน คิดเป็นเงินไทยก็ชามละ 600บาท
จำได้ว่าเมนูนี้ได้กินตอนไปสวนน้ำ เขาจะแจกคูปองให้คนละ 1ใบ เราสามารถเลือกทานอะไรก็ได้ภายในสวนน้ำนั้นได้เลย
เราเลยเลือก จาจังมยอน(자장면) บะหมี่ดำนั้นเอง เห็นในซีรี่ย์กินกันอร่อยมาก พึ่งเคยกินครั้งแรกถือว่าประทับใจในรสชาติ
จานซ้ายมือ โพซัม (보쌈) หมูสามชั้นนึ่งกินคู่กับผักและกิมจิ อันนี้อร่อยมาก เขาจะมีข้าวเสริฟมาด้วยกันกินห่อข้าวไปด้วย คืออร่อย ปกติเป็นคนไม่กินหมูสามชั้นเลยแต่พอดีเมนูนี้มันแปลกยังไม่เคยลอง เครื่องเคียงมาก็เยอะ ก็เลยต้องซักหน่อยยย
จานนขวามือ พาจอน (파전) แพนเค้กแป้งทอดใส่ต้นหอม เรียกอีกอย่างว่าพิซซ่าเกาหลี รสชาติแปลกๆเพราะมันมีกลิ่นต้นหอมนี้แหละ
มาถึงมื้อที่รอคอยและเป็นมื้อสุดท้ายของทริป
ซัมกยอลซัล (삼겹살) หมูสามชั้นย่างเกาหลีแบบจัดเต็มมม หมูมันดีมากทุกคนนบอกไม่ถูกเลย รู้สึกได้ว่ามันคือมื้อที่เราอิ่มที่สุดและมึนที่สุด(มีแอบกินแอลกอฮอล์ไปนิดนุงง)
นอกจากนั้นก็มี แนงมยอน(냉면) บะหมี่เย็น มันคือบะหมี่ที่ใส่น้ำแข็งเข้าไป รสชาติเหมือนก๋วยเตี๋ยวบ้านเราที่ใส่น้ำแข็งเย็นๆ
มื้อนี้นั้นเราได้เรียนรู้มารยาทการดื่มของคนเกาหลีด้วยนะ แถมอปป้าในทีมยังมีการสอนทำแมกจู(โซจู+เบียร์) อีกด้วย
ปิดท้ายด้วยมื้อดึก(บางคืน)
ต๊อกปกกี (떡볶이) แป้งต๊อกกับซอสโคชูจัง
ซุนแด(순대) ไส้กรอกเลือด
จูม๊อกบับ(주먹밥) ข้าวปั้นสาหร่าย
ทวีกิม (튀김) ของทอดต่างๆ
ของหวานก็มานะคะ บิงซู
บิงซูโรยด้วยผงแป้งต๊อก(인절미 빙수)
เมลอนบิงซู (메론 빙수)
ครีมชูโรส (크림츄러스) อันนี้จะมีกลิ่นของcinnamonปนอยู่ด้วยนะ ใครไม่ชอบcinnamonอาจจะต้องขอบายไป
โทสโรยแป้งต๊อก (인절미토스트) ขนมปังอันนี้อร่อยมากแนะนำทุกคนต้องไปลอง
บิงซูที่ทานกันก็จจะเป็นของSulbingนะทุกคน ในไทยก็มีแล้ว ใครอยากลองอะไรไปตามกันได้เลยย
ในส่วนของอาหารจบลงเพียงเท่านี้ (จริงๆมันมีมากกว่านี้แต่บางมื้อก็ลืมถ่ายไปบ้าง)
ยังยืนยันคำเดิมว่าทางค่ายเลี้ยงดีมากจริงๆ
การมาค่ายในต่างประเทศครั้งนี้เป็นครั้งแรกของเรา ตอนแรกไม่ได้คาดหวังอะไรมากออกจะเกร็งๆ ด้วยซ้ำว่าจะสื่อสารกันรู้เรื่องมั้ย เพราะภาษาอังกฤษกับเกาหลีก็ไม่ได้ดีมาก แต่พอได้มาจริงๆ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย ภาษาที่ต่างมันไม่ได้เป็นกำแพงต่อการสื่อสารเลย ทุกคนพร้อมที่จะเปิดรับความแตกต่าง
เราได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆที่เป็นเพื่อนในชาติเดียวกันและเพื่อนชาวต่างชาติ ได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศ และการที่เราได้มาอยู่ร่วมกันทำให้ในบางครั้งเราต้องออกมาจาก comfort zoneของตัวเอง เพื่อที่จะได้ลองสิ่งใหม่ๆที่อยู่ตรงหน้า
นอกจากนั้นการที่เรามาค่ายครั้งนี้เราเปรียบเสมือนเป็นตัวแทนคนไทย จึงไม่ลืมที่จะแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมไทย เพื่อให้เพื่อนร่วมค่ายได้รู้จักประเทศเรามากขึ้น (เราสอนไหว้ สอนร้องเพลงไทย แนะนำที่เที่ยว สอนนับเลข อะไรประมาณนั้น) หรือบอกในสิ่งที่คนต่างชาติเข้าใจผิดเกี่ยวกับประเทศของเรา เป็นต้น
ต่อ
เปิดประสบการณ์โครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนเมืองแตกู Daegu International Youth Camp
เปิดประสบการณ์โครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนเมืองแตกู Daegu International Youth Camp 대구국제대학생캠프 มาค่ายในแดนกิมจิที่เมืองแห่งเทคโนโลยีอุตสาหกรรม “Daegu”
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับโครงการนี้กันก่อนดีกว่าา .....
โครงการที่มีชื่อว่า “โครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนเมืองพี่เมืองน้องของกรุงเทพมหานคร” จัดโดยสำนักงานการต่างประเทศ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นโครงการสานสัมพันธ์ระหว่างเมืองกรุงเทพมหานครและแตกู เป็นความตกลงระหว่างประเทศ หรือเมืองในประเทศที่ต่างกัน ในการที่จะสถาปนาเมืองในประเทศของแต่ละฝ่ายให้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันเป็นพิเศษนั้นเอง
ถ้าอยากไปต้องทำยังไง ผู้สนใจโครงการจะต้องเขียนเรียงความภาษาไทยและภาษาอังกฤษตามหัวข้อที่ทางโครงการเป็นผู้กำหนดมา สามารถติดตามรายละเอียดได้โครงการได้ที่เว็บไซต์ http://iad.bangkok.go.th/ หรือ https://www.facebook.com/bangkokiad/
ออกเดินทางจาก สุวรรณภูมิ-กิมแฮ(ปูซาน)✈️
เมื่อถึงกิมแฮแล้วต้องนั่งลิโมบัส 🚌(ราคาตั๋วคนละ 10400 ₩)ไปลงที่สถานีดง-ู
ที่นั้นจะมีคนของค่ายมารอรับเราอยู่แล้วววว
เมื่อมาถึงที่พักแล้วนั้นทางค่ายจะแจกกุญแจห้องของแต่ละคน ซึ่งความเซอร์ไพรส์ก็ได้เกิดขึ้น คือรูมเมดที่ได้นั้นจะมาจากการสุ่มของทางค่ายจ้าาา (ตื่นเต้นไปอีกกกก) หลังจากเข้าห้องพักแล้วนั้นก็จะพักผ่อนตามอัธยาศัยเลย
มาเริ่มกันที่กิจกรรมภายในค่ายกันดีกว่า…..
เริ่มต้นด้วยการที่ทางค่ายเขาจะแบ่งเราเป็นทีม ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะโดนแบ่งไม่ให้คนที่มาด้วยกันอยู่ทีมเดียวกัน กิจกรรมที่ทางค่ายจัดมานั้นตารางจะค่อนข้างแน่นในทุกๆวัน ซึ่งเหนื่อยมากทุกวันแต่ก็สนุกมากด้วยเช่นกัน (เราเลยแนะนำค่ายไปว่าควรขยายเวลาจัดค่ายให้นานกิจกรรมจะได้ไม่แน่นไป) ไปดูกันเลยดีกว่ามามีกิจกรรมอะไรบ้างงงง Let’s gooo🌬
เรียนภาษาเกาหลีโดยอาจารย์เกาหลีที่สถาบันภาษาของมหาวิทยาลัยคเยมยอง อาจารย์จะสอนเกาหลีขั้นพื้นฐานตั้งแต่พยัญชนะ สระ ไปจนถึงการอ่านคำง่ายๆ
ทุกคนคงจะรู้นะคะว่าเทควันโดนั้นต้นกำเนิดมาจากประเทศเกาหลี ดังนั้นจึงมีคลาสเรียนเทควันโดนั้นเอง ในคลาสก็จะสอนท่าพื้นฐาน การเคารพ การวอมอัพต่างๆ ให้เราได้ฝึกกัน 🥋
ถ้าพูดถึงประเทศเกาหลีแล้วนั้นสิ่งที่จะขาดไม่ได้เลยคือการเต้น cover dance นั้นเอง! คลาสCover dance ครั้งนี้ก็มาในเพลงBoomboom ของ Momoland 💃🏻
เรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมการแต่งกายและมารยาทในสังคมของคนกาหลีในเรื่องการดื่มชา การแต่งงาน ซึ่งเรารู้สึกว่าถ้าอยู่ไทยมันจะไม่ได้เรียนรู้วัฒนธรรมเกาลีในด้านนี้มากเลยชอบเป็นพิเศษ 🇰🇷
อย่างในรูปนั้นจะเป็นพิธีแต่งงานแบบดังเดิมของเกาหลี ในสมัยก่อนผู้ที่จะใส่ชุดแบบนี้ได้จะต้องเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่ในปัจจุบันกรณีที่เป็นคนธรรมดาจะสามารถใส่ชุดนี้ได้เพียงครั้งเดียวเมื่อตนเองแต่งงานเท่านั้น
ดื่มชาต้องกินคู่กับขนมต๊อก หรือ ซัมต๊อก (쌈떡)
(แป้งเหนียวๆข้างในเป็นไส้ถั่วแดง) ☕️
วิธีกินคนที่อยู่ทางขวามือจะต้องเป็นคนที่เทชาและเวลาจะทานจะต้องใช้มือปิดปากด้วยนะ
วัด Donghwasa เป็นวัดเก่าแก่อายุกว่า1500 ปี แถมยังเป็นมรดกโลกอีกด้วย
ภายในวัดบรรยากาศร่มรื่นมากๆ แต่วันที่ไปคนไม่ค่อยเยอะเท่าไรคาดว่าเเป็นเพราะไปวันธรรมดา
องค์พระที่อยู่ด้านใน(ไม่ทราบว่าเรียกว่าอะไรผู้รู้ช่วยตอบได้นะคะ) แต่ว่าคนเกาหลีส่วนใหญ่ที่มาก็จะมมาไหว้ขอพรอธิฐานกันตรงนี้ค่ะ
ชมละครเพลงเรื่อง Turandot สนุกมากเป็นเรื่องราวความรัก จะเป็นละครเพลงภาษาเกาหลีแต่จะมีซับภาษาอังกฤษให้ตลอดทั้งเรื่อง
ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้เรื่อง อปป้าในทีมบอกว่านักแสดงนำเป็นคนดังมากในโรงละครแห่งนี้ แต่เราไม่รู้จักหรอกรู้แต่ว่าร้องเพลงเพราะมากจริงๆ
น้ำตาแอบคลอตอนดูด้วยแหละ
มาต่อกันที่ สวนน้ำเกาหลีขอบอกว่ามันเด็ดดวงมากจริงๆ อยากให้ทุกคนได้มาลองสวนน้ำของเกาหลี
ภายในจะแบ่งเป็น2ส่วนคือ สวนน้ำกับจิมจิลบัง หรือ찜질방(ซาวน่าเกาหลี) สวนน้ำไม่ได้ใหญ่มาก แต่!! เครื่องเล่นแรงใช้ได้(น้ำแรงดีมาก) มีแบ่งเป็นโซนน้ำวน สระลึกที่จะปล่อยคลื่นเป็นเวลา สไลเดอร์ยักๆอีกหลายอัน มีสระน้ำในร่ม บ่อน้ำร้อนกลางแจ้งและบ่อในร่ม
ประสบการณ์ culture shock ที่สุดของทริปคือการอาบน้ำและปลี่ยนเสื้อผ้า ทุกคนคงนึกภาพออก เด็กไทยอย่างเรานั้นก็จะเขิลอายหน่อยๆ
ปล.สวนน้ำที่นี้บังคบใส่ชูชีพและหมวกจะเป็นหมวกแกปหรือหมวกว่ายน้ำได้หมด
Mini Olympic กีฬาสี โดยแบ่งออกเป็น 2 ทีมคละทีมกันไป
กีฬาบ้านเค้าก็จะคล้ายๆของไทย วิ่งผลัด ชักคะเยอ วิ่ง 3 ขา 4 ขา กระโดดเชือกแบบหลายๆคนพร้อมกัน(คิดว่าอันนี้น่าจะฮิตที่สุด)
มาถึงกิจกรรมที่spacialที่สุดคือ การแสดงโชว์งานปิดของแต่ละทีม
ค่ายบลีฟมาในวันแรกเลยคือแต่ละทีมจะต้องมีการแสดงในวันสุดท้ายของค่าย ซึ่งทีมเรานั้นคิดกันอย่างหนักหน่วงแล้วว่าจะเต้นประกอบเพลง Onara (Ost.Daejangdeum) ใครนึกซาวดนตรีไม่ออกตามไปฟังกันได้นะ 55555
ในส่วนของกิจกรรมมีบางสถานที่เราไม่สามารถถ่ายภาพมาได้ อย่าง Daegutec โรงงานผลิตทังสเตนรายใหญ่ของเกาหลีใต้ และโรงพยาบาลในเครือของมหาลัยคเยมยอง และก็มีบางสถานที่เราลืมเก็บภาพ Dongseongno เป็นแหล่งช๊อปปิ้งสตรีทของที่-ูคล้ายมยองดงในโซลแต่ใหญ่กว่า
พาร์ทของกินอาหาร ทางค่ายเลี้ยงดีทุกมื้อจริงๆ (เช้ากินที่โรงอาหาร กลางวันและเย็นกินนอกสถานที่) ไปดูกันว่ามาค่ายได้กินอะไรกันไปบ้างงงงง
มาถึงวันแรกก็โดนจัดไปเลยจ้า chimac party มันคือปาร์ตี้ไก่กับเบียร์นั้นเอง กินไม่พอคือสั่งได้เรื่อยๆเลยนะ
แต่อย่างที่เห็นคือจานที่มาเสริฟก็ค่อนข้างที่ใหญ่พอสมควร โต๊ะนึงจะได้รับไก่ประมาณ 3 จาน
มื้อเช้าในทุกๆวันจะได้กินอาหารเป็นถาดหลุมในโรงอาหาร ทุกคนคิดใช่มั้ยว่า “อะไรไปค่ายตปท.กินถาดหลุม” มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นนน อาหารที่โรงอาหารของมหาลัยนั้นโอเคเลยนะ
การจะเข้าไปกินข้าวในโรงอาหารทุกคนจะต้องมีคีย์การ์ด+ป้ายห้อยคอเพื่อที่จะเข้าไปกินข้าวได้ ภายในจะมีบอร์ดตารางอาหารว่าในหนึ่งอาทิตย์จะมีรายการอาหารอะไรให้เราได้กินบ้าง
วิธีการกินข้าวในโรงอาหารก็ทั่วๆไปเลย หยิบถาดตักข้าวตัก เครื่องเคียง(กิมจิ+ซุปที่จะมีทุกมื้อ) ส่วนกับข้าวจะมีอาจุมม่าเป็นคนตักให้เราจากนั้นก็เลือกที่นั้นตามใจชอบบบบบ
อันนี้คือจานโปรดเราเลย ไปเกาหลีกี่ที่ต้องโดน!!
จิมดัก (찜닭) ไก่ตุ๋นของเกาลีจะผัดคู่กับวุ้นเส้น ซีอิ๋วดำ เราชอบทานคู่กับข้าว
ไก่ตุ๋นโสม(삼계탕) ถ้าใครเคยไปทัวร์เกาหลีคิดว่าเมนูนี้น่าจะไม่พลาดกัน
ไก่ตัวเล็กยัดไส้ด้วยข้าว โสม เกาลัค รสชาติจะจืดๆ ต้องกินคู่กับเกลือที่เขาให้มาด้วย
แอบไปเห็นราคาอาหารจานนี้คือ จานละ 20000₩ อะทุกคน คิดเป็นเงินไทยก็ชามละ 600บาท
จำได้ว่าเมนูนี้ได้กินตอนไปสวนน้ำ เขาจะแจกคูปองให้คนละ 1ใบ เราสามารถเลือกทานอะไรก็ได้ภายในสวนน้ำนั้นได้เลย
เราเลยเลือก จาจังมยอน(자장면) บะหมี่ดำนั้นเอง เห็นในซีรี่ย์กินกันอร่อยมาก พึ่งเคยกินครั้งแรกถือว่าประทับใจในรสชาติ
จานซ้ายมือ โพซัม (보쌈) หมูสามชั้นนึ่งกินคู่กับผักและกิมจิ อันนี้อร่อยมาก เขาจะมีข้าวเสริฟมาด้วยกันกินห่อข้าวไปด้วย คืออร่อย ปกติเป็นคนไม่กินหมูสามชั้นเลยแต่พอดีเมนูนี้มันแปลกยังไม่เคยลอง เครื่องเคียงมาก็เยอะ ก็เลยต้องซักหน่อยยย
จานนขวามือ พาจอน (파전) แพนเค้กแป้งทอดใส่ต้นหอม เรียกอีกอย่างว่าพิซซ่าเกาหลี รสชาติแปลกๆเพราะมันมีกลิ่นต้นหอมนี้แหละ
มาถึงมื้อที่รอคอยและเป็นมื้อสุดท้ายของทริป
ซัมกยอลซัล (삼겹살) หมูสามชั้นย่างเกาหลีแบบจัดเต็มมม หมูมันดีมากทุกคนนบอกไม่ถูกเลย รู้สึกได้ว่ามันคือมื้อที่เราอิ่มที่สุดและมึนที่สุด(มีแอบกินแอลกอฮอล์ไปนิดนุงง)
นอกจากนั้นก็มี แนงมยอน(냉면) บะหมี่เย็น มันคือบะหมี่ที่ใส่น้ำแข็งเข้าไป รสชาติเหมือนก๋วยเตี๋ยวบ้านเราที่ใส่น้ำแข็งเย็นๆ
มื้อนี้นั้นเราได้เรียนรู้มารยาทการดื่มของคนเกาหลีด้วยนะ แถมอปป้าในทีมยังมีการสอนทำแมกจู(โซจู+เบียร์) อีกด้วย
ปิดท้ายด้วยมื้อดึก(บางคืน)
ต๊อกปกกี (떡볶이) แป้งต๊อกกับซอสโคชูจัง
ซุนแด(순대) ไส้กรอกเลือด
จูม๊อกบับ(주먹밥) ข้าวปั้นสาหร่าย
ทวีกิม (튀김) ของทอดต่างๆ
ของหวานก็มานะคะ บิงซู
บิงซูโรยด้วยผงแป้งต๊อก(인절미 빙수)
เมลอนบิงซู (메론 빙수)
ครีมชูโรส (크림츄러스) อันนี้จะมีกลิ่นของcinnamonปนอยู่ด้วยนะ ใครไม่ชอบcinnamonอาจจะต้องขอบายไป
โทสโรยแป้งต๊อก (인절미토스트) ขนมปังอันนี้อร่อยมากแนะนำทุกคนต้องไปลอง
บิงซูที่ทานกันก็จจะเป็นของSulbingนะทุกคน ในไทยก็มีแล้ว ใครอยากลองอะไรไปตามกันได้เลยย
ในส่วนของอาหารจบลงเพียงเท่านี้ (จริงๆมันมีมากกว่านี้แต่บางมื้อก็ลืมถ่ายไปบ้าง)
ยังยืนยันคำเดิมว่าทางค่ายเลี้ยงดีมากจริงๆ
การมาค่ายในต่างประเทศครั้งนี้เป็นครั้งแรกของเรา ตอนแรกไม่ได้คาดหวังอะไรมากออกจะเกร็งๆ ด้วยซ้ำว่าจะสื่อสารกันรู้เรื่องมั้ย เพราะภาษาอังกฤษกับเกาหลีก็ไม่ได้ดีมาก แต่พอได้มาจริงๆ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย ภาษาที่ต่างมันไม่ได้เป็นกำแพงต่อการสื่อสารเลย ทุกคนพร้อมที่จะเปิดรับความแตกต่าง
เราได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆที่เป็นเพื่อนในชาติเดียวกันและเพื่อนชาวต่างชาติ ได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศ และการที่เราได้มาอยู่ร่วมกันทำให้ในบางครั้งเราต้องออกมาจาก comfort zoneของตัวเอง เพื่อที่จะได้ลองสิ่งใหม่ๆที่อยู่ตรงหน้า
นอกจากนั้นการที่เรามาค่ายครั้งนี้เราเปรียบเสมือนเป็นตัวแทนคนไทย จึงไม่ลืมที่จะแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมไทย เพื่อให้เพื่อนร่วมค่ายได้รู้จักประเทศเรามากขึ้น (เราสอนไหว้ สอนร้องเพลงไทย แนะนำที่เที่ยว สอนนับเลข อะไรประมาณนั้น) หรือบอกในสิ่งที่คนต่างชาติเข้าใจผิดเกี่ยวกับประเทศของเรา เป็นต้น
ต่อ