ความคิดและความรู้สึก
ความคิดและความรู้สึกอาจเป็นเรื่องเดียวกันหรือเป็นคนละเรื่องเดียวกันเลยก็ได้ คำพูดและการกระทำอาจเป็นเรื่องเดียวกันหรือเป็นคนละเรื่องกันเลยก็ได้ คนเราพูดอย่างหนึ่งทำอย่างหนึ่งมาจากความคิดและความรู้สึกที่ไม่ตรงกัน ปัญหาเกิดจากสองทางใหญ่ๆคือ ความคิด(สมอง) คือ กระแสไฟฟ้า (พลังงานบวก) และอิเล็กตรอน (พลังงานลบ) ความรู้สึก (เส้นประสาทสัมผัส) คือ แม่เหล็ก ขั้วบวกขั้วลบ และความรู้สึกจากจิตวิญญาณ spirit ขั้วลบ (อดีต) และจิตวิญญาณ soul ขั้วบวก (อนาคต) ปัญหาแยกออกเป็นความคิดบวก+การกระทำ ความคิดลบ+การกระทำ และความรู้สึกขั้วบวก+การกระทำ ความรู้สึกขั้วลบ+การกระทำ ในช่วง 7ปีแรกมนุษย์จะใช้ความรู้สึกในการสร้างความคิด ดังนั้นสิ่งที่ทุกคนได้สัมผัสในช่วง 7ปีแรกจึงมาจากการรับส่งสารที่อยู่ภายในความรู้สึกของจิตวิญญาณ spirit ขั้วลบ (อดีต) และจิตวิญญาณ soul ขั้วบวก ชีวิตในช่วง7ปีแรกจึงเป็นการเรียนรู้ความรู้สึกและพัฒนาความคิดจากสิ่งที่เรามีอยู่ พ่อแม่คือประตูที่เปิดออกสู่โลกมนุษย์ฉะนั้นพ่อแม่และเราจะต้องมีระดับของคลื่นพลังงานที่เหมือนกันและอยู่ในระดับเดียวกัน การมีระดับของคลื่นพลังงานที่เหมือนกันและอยู่ในระดับเดียวกันหมายถึง การมีขั้วบวกเหมือนกันและอยู่ในระดับเดียวกันและการมีขั้วลบเหมือนกันและอยู่ในระดับเดียวกันยกตัวอย่างเช่น
- การดึงดูดกันและกันระหว่างพ่อแม่ลูกจะมาจากจิตวิญญาณ spirit ขั้วลบ (อดีต) และจิตวิญญาณ soul ขั้วบวก เรามีขั้วบวกเหมือนกันและอยู่ในระดับเดียวกันกับแม่ และเรามีขั้วลบเหมือนกันและอยู่ในระดับเดียวกันกับพ่อ หรือ เรามีขั้วบวกเหมือนกันและอยู่ในระดับเดียวกันกับพ่อ และเรามีขั้วลบเหมือนกันและอยู่ในระดับเดียวกันกับแม่
- การดึงดูดกันระหว่างคนรักจะมาจากความคิดและจิตวิญญาณที่มีความเหมือนและมีความต่างกันคือ มีความคิดที่เหมือนหรือแตกต่างกันแต่มีความรู้สึกที่เหมือนกันและไปในทิศทางเดียวกัน ดังนั้นความคิดที่เหมือนหรือต่างกันจึงไม่ใช่ปัญหาเพราะมนุษย์ส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตตามธรรมชาติโดยใช้ความรู้สึกนำความคิดเมื่อมีความรู้สึกที่ไปในทิศทางเดียวกันความเหมือนหรือต่างกันทางความคิดจึงไม่ใช่ปัญหา
การมีระดับของคลื่นพลังงานที่เหมือนกันและอยู่ในระดับเดียวกันจะดึงดูดกันและกันเข้าหากัน เรามีปัญหากับใครก็แปลว่าเรามีระดับของคลื่นพลังงานที่เหมือนกันและอยู่ในระดับเดียวกันกับคนคนนั้น ดังนั้นคำว่า ปัญหา ในที่นี้จึงไม่ได้หมายถึงปัญหา แต่หมายถึงการมีระดับของคลื่นพลังงานที่เหมือนกันและอยู่ในระดับเดียวกัน เราดึงดูดกันและกันเข้าหากันเป็นไปตามกฎธรรมชาติ เราดึงดูดกันและกันเข้าหากันก็เพราะเราต้องการหลุดพ้นออกจากตัวเองและออกจากกันและกัน เราไม่สามารถหลุดพ้นออกจากตัวเองด้วยตัวเองได้ เราจำเป็นต้องพึ่งพาธรรมชาติในการนำพาความคิดและความรู้สึกของตัวเราเองไปสู่การหลุดพ้น
การหลุดพ้นสามารถทำได้สองทางคือ การเดินเข้าและการเดินออก (เกิดและตาย) ถ้าเราต้องการหลุดพ้นทางความคิดเราต้องใช้ความคิดเดินเข้าสู่ความคิดและเดินออกจากความคิด ถ้าเราต้องการหลุดพ้นทางความรู้สึกเราต้องใช้ความรู้สึกเดินเข้าสู่ความรู้สึกและเดินออกจากความรู้สึก ถ้าเราต้องการประสบผลสำเร็จในทุกย่างก้าวของการใช้ชีวิตเราจะต้องนำพาตัวเราเดินเข้าและเดินออกจากความคิดและความรู้สึกของเราด้วยตัวเราเอง ไม่มีใครช่วยใครได้ ไม่มีใครทำแทนใครได้ โลกนี้คือโลกแห่งการลงมือทำใครทำใครได้ การร้องขอน้ำใจจากผู้อื่นอาจทำให้เราสามารถหลุดออกจากสถานการณ์บางสถานการณ์ได้ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น การไม่นำพาตัวเองเดินออกจากจุดที่ตัวเองยืนอยู่เท่ากับเราทำร้ายตัวเราเอง
การนำพาตัวเองเดินออกจากจุดที่ตัวเองยืนอยู่สามารถทำได้สองทางคือ การใช้ทางสายตรงและการใช้ทางสายกลาง
- การใช้ทางสายตรงคือ การใช้ประโยชน์ทางความคิดความรู้สึกและการกระทำของเราเองเพื่อตัวเองและของผู้อื่นเพื่อตัวผู้อื่นเอง (พลังงานบวก) และการหาประโยชน์ทางความคิดความรู้สึกและการกระทำของเราเองเพื่อตัวเองและของผู้อื่นเพื่อตัวเอง (พลังงานลบ)
- การใช้ทางสายกลางคือ การใช้ประโยชน์จากช่องว่างทางความคิดความรู้สึกและการกระทำของเราเองเพื่อตัวเองและของผู้อื่นเพื่อตัวผู้อื่นเอง (พลังงานบวก) และการหาประโยชน์จากช่องว่างทางความคิดความรู้สึกและการกระทำของเราเองเพื่อตัวเองและของผู้อื่นเพื่อตัวเอง (พลังงานลบ)
การใช้ทางสายตรงโดยการใช้ประโยชน์ทางความคิดความรู้สึกและการกระทำของเราเองนำพาตัวเองเดินออกจากจุดที่ตัวเองยืนอยู่เป็นการว่ายทวนกระแสน้ำทั้งทางความคิดความรู้สึกและการกระทำของเราเองจึงไม่ใช่เรื่องง่าย มนุษย์จึงเลือกที่จะใช้ทางสายกลางโดยใช้วิธีการร้องขอน้ำใจหรือกล่าวโทษกล่าวหาผู้อื่นเพื่อทำให้ตัวเองสามารถเดินออกจากปัญหาภายนอกได้แทน การใช้ทางสายกลางโดยการหาประโยชน์จากช่องว่างทางความคิดความรู้สึกและการกระทำของผู้อื่นอาจช่วยให้เราเดินออกจากปัญหาภายนอกได้เพียงชั่วคราวเท่านั้นเพราะผู้ที่สามารถเดินออกจากปัญหาทั้งภายนอกและภายในคือผู้อื่นไม่ใช่เรา เมื่อผู้อื่นสามารถช่วยให้เราเดินออกจากปัญหาภายนอกได้แต่ภายในเรายังยืนอยู่ที่จุดเดิมเราก็จะสร้างปัญหาเดิมๆขึ้นมาอีกแล้วเราก็ใช้ทางสายกลางโดยการหาประโยชน์จากช่องว่างทางความคิดความรู้สึกและการกระทำของผู้อื่นเพื่อช่วยให้เราเดินออกจากปัญหาภายนอกเหมือนเดิม=การใช้ชีวิตพายเรือวนอยู่ที่เดิม เมื่อเราใช้ชีวิตวนอยู่ในความคิดความรู้สึกและการกระทำเดิมๆของเราเองเราจะมองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงและการไม่เปลี่ยนแปลงของตัวเองและของผู้อื่น เมื่อเรามองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงและการไม่เปลี่ยนแปลงของตัวเองและของผู้อื่น ไม่ว่าเราและผู้อื่นจะทำหรือไม่ทำอะไรก็ตามเราจะมีความคิดและเข้าใจอยู่ภายใต้ความคิดความรู้สึกและการกระทำเดิมๆของเราเองหมายความว่า ไม่ว่าผู้อื่นจะทำหรือไม่ทำอะไรเราจะมองไม่เห็นความคิดความรู้สึกและการกระทำที่แท้จริงของผู้อื่นเราจะมองเห็นแต่สิ่งที่เราคิดและเข้าใจไปเองเท่านั้นคือ ไม่ว่าผู้อื่นจะทำหรือไม่ทำอะไรก็ตามเราจะคิดเข้าข้างตัวเองเสมอ (การหลงตัวเอง) การพายเรือวนอยู่ในความคิดความรู้สึกและการกระทำเดิมๆของเราเองจะทำให้เรามองไม่เห็นว่าผู้อื่นเดินออกไปไกลแค่ไหนแล้วเราจะคิดแต่ว่าผู้อื่นยังยืนอยู่ที่เดิมเหมือนเรา เมื่อเรามองไม่เห็นว่าผู้อื่นเดินออกไปไกลแค่ไหนแล้วและเรามองไม่เห็นว่าเรายังยืนอยู่ที่เดิมเราจึงไม่สามารถนำพาความคิดความรู้สึกและการกระทำของเราเองเดินออกจากจุดที่เรายืนอยู่ได้ เราจึงเลือกที่จะใช้วิธีเดิมๆวนอยู่กับความคิดความรู้สึกและการกระทำเดิมๆและได้ผลลัพธ์แบบเดิมโดยหวังว่าผู้อื่นจะต้องแสดงความมีน้ำใจและแสดงความช่วยเหลือเรา ไม่มีใครช่วยใครได้นอกจากตัวเราเอง ไม่มีใครสามารถนำพาความคิดความรู้สึกและการกระทำของใครออกจากตัวใครได้นอกจากตัวเราเอง ไม่มีอะไรสูญเปล่า ถ้าเราไม่เป็นผู้เดินก้าวข้ามสะพานของตัวเราเองและของผู้อื่นเราก็เป็นสะพานให้ผู้อื่นก้าวเดิน
ความคิดและความรู้สึก
ความคิดและความรู้สึกอาจเป็นเรื่องเดียวกันหรือเป็นคนละเรื่องเดียวกันเลยก็ได้ คำพูดและการกระทำอาจเป็นเรื่องเดียวกันหรือเป็นคนละเรื่องกันเลยก็ได้ คนเราพูดอย่างหนึ่งทำอย่างหนึ่งมาจากความคิดและความรู้สึกที่ไม่ตรงกัน ปัญหาเกิดจากสองทางใหญ่ๆคือ ความคิด(สมอง) คือ กระแสไฟฟ้า (พลังงานบวก) และอิเล็กตรอน (พลังงานลบ) ความรู้สึก (เส้นประสาทสัมผัส) คือ แม่เหล็ก ขั้วบวกขั้วลบ และความรู้สึกจากจิตวิญญาณ spirit ขั้วลบ (อดีต) และจิตวิญญาณ soul ขั้วบวก (อนาคต) ปัญหาแยกออกเป็นความคิดบวก+การกระทำ ความคิดลบ+การกระทำ และความรู้สึกขั้วบวก+การกระทำ ความรู้สึกขั้วลบ+การกระทำ ในช่วง 7ปีแรกมนุษย์จะใช้ความรู้สึกในการสร้างความคิด ดังนั้นสิ่งที่ทุกคนได้สัมผัสในช่วง 7ปีแรกจึงมาจากการรับส่งสารที่อยู่ภายในความรู้สึกของจิตวิญญาณ spirit ขั้วลบ (อดีต) และจิตวิญญาณ soul ขั้วบวก ชีวิตในช่วง7ปีแรกจึงเป็นการเรียนรู้ความรู้สึกและพัฒนาความคิดจากสิ่งที่เรามีอยู่ พ่อแม่คือประตูที่เปิดออกสู่โลกมนุษย์ฉะนั้นพ่อแม่และเราจะต้องมีระดับของคลื่นพลังงานที่เหมือนกันและอยู่ในระดับเดียวกัน การมีระดับของคลื่นพลังงานที่เหมือนกันและอยู่ในระดับเดียวกันหมายถึง การมีขั้วบวกเหมือนกันและอยู่ในระดับเดียวกันและการมีขั้วลบเหมือนกันและอยู่ในระดับเดียวกันยกตัวอย่างเช่น
- การดึงดูดกันและกันระหว่างพ่อแม่ลูกจะมาจากจิตวิญญาณ spirit ขั้วลบ (อดีต) และจิตวิญญาณ soul ขั้วบวก เรามีขั้วบวกเหมือนกันและอยู่ในระดับเดียวกันกับแม่ และเรามีขั้วลบเหมือนกันและอยู่ในระดับเดียวกันกับพ่อ หรือ เรามีขั้วบวกเหมือนกันและอยู่ในระดับเดียวกันกับพ่อ และเรามีขั้วลบเหมือนกันและอยู่ในระดับเดียวกันกับแม่
- การดึงดูดกันระหว่างคนรักจะมาจากความคิดและจิตวิญญาณที่มีความเหมือนและมีความต่างกันคือ มีความคิดที่เหมือนหรือแตกต่างกันแต่มีความรู้สึกที่เหมือนกันและไปในทิศทางเดียวกัน ดังนั้นความคิดที่เหมือนหรือต่างกันจึงไม่ใช่ปัญหาเพราะมนุษย์ส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตตามธรรมชาติโดยใช้ความรู้สึกนำความคิดเมื่อมีความรู้สึกที่ไปในทิศทางเดียวกันความเหมือนหรือต่างกันทางความคิดจึงไม่ใช่ปัญหา
การมีระดับของคลื่นพลังงานที่เหมือนกันและอยู่ในระดับเดียวกันจะดึงดูดกันและกันเข้าหากัน เรามีปัญหากับใครก็แปลว่าเรามีระดับของคลื่นพลังงานที่เหมือนกันและอยู่ในระดับเดียวกันกับคนคนนั้น ดังนั้นคำว่า ปัญหา ในที่นี้จึงไม่ได้หมายถึงปัญหา แต่หมายถึงการมีระดับของคลื่นพลังงานที่เหมือนกันและอยู่ในระดับเดียวกัน เราดึงดูดกันและกันเข้าหากันเป็นไปตามกฎธรรมชาติ เราดึงดูดกันและกันเข้าหากันก็เพราะเราต้องการหลุดพ้นออกจากตัวเองและออกจากกันและกัน เราไม่สามารถหลุดพ้นออกจากตัวเองด้วยตัวเองได้ เราจำเป็นต้องพึ่งพาธรรมชาติในการนำพาความคิดและความรู้สึกของตัวเราเองไปสู่การหลุดพ้น
การหลุดพ้นสามารถทำได้สองทางคือ การเดินเข้าและการเดินออก (เกิดและตาย) ถ้าเราต้องการหลุดพ้นทางความคิดเราต้องใช้ความคิดเดินเข้าสู่ความคิดและเดินออกจากความคิด ถ้าเราต้องการหลุดพ้นทางความรู้สึกเราต้องใช้ความรู้สึกเดินเข้าสู่ความรู้สึกและเดินออกจากความรู้สึก ถ้าเราต้องการประสบผลสำเร็จในทุกย่างก้าวของการใช้ชีวิตเราจะต้องนำพาตัวเราเดินเข้าและเดินออกจากความคิดและความรู้สึกของเราด้วยตัวเราเอง ไม่มีใครช่วยใครได้ ไม่มีใครทำแทนใครได้ โลกนี้คือโลกแห่งการลงมือทำใครทำใครได้ การร้องขอน้ำใจจากผู้อื่นอาจทำให้เราสามารถหลุดออกจากสถานการณ์บางสถานการณ์ได้ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น การไม่นำพาตัวเองเดินออกจากจุดที่ตัวเองยืนอยู่เท่ากับเราทำร้ายตัวเราเอง
การนำพาตัวเองเดินออกจากจุดที่ตัวเองยืนอยู่สามารถทำได้สองทางคือ การใช้ทางสายตรงและการใช้ทางสายกลาง
- การใช้ทางสายตรงคือ การใช้ประโยชน์ทางความคิดความรู้สึกและการกระทำของเราเองเพื่อตัวเองและของผู้อื่นเพื่อตัวผู้อื่นเอง (พลังงานบวก) และการหาประโยชน์ทางความคิดความรู้สึกและการกระทำของเราเองเพื่อตัวเองและของผู้อื่นเพื่อตัวเอง (พลังงานลบ)
- การใช้ทางสายกลางคือ การใช้ประโยชน์จากช่องว่างทางความคิดความรู้สึกและการกระทำของเราเองเพื่อตัวเองและของผู้อื่นเพื่อตัวผู้อื่นเอง (พลังงานบวก) และการหาประโยชน์จากช่องว่างทางความคิดความรู้สึกและการกระทำของเราเองเพื่อตัวเองและของผู้อื่นเพื่อตัวเอง (พลังงานลบ)
การใช้ทางสายตรงโดยการใช้ประโยชน์ทางความคิดความรู้สึกและการกระทำของเราเองนำพาตัวเองเดินออกจากจุดที่ตัวเองยืนอยู่เป็นการว่ายทวนกระแสน้ำทั้งทางความคิดความรู้สึกและการกระทำของเราเองจึงไม่ใช่เรื่องง่าย มนุษย์จึงเลือกที่จะใช้ทางสายกลางโดยใช้วิธีการร้องขอน้ำใจหรือกล่าวโทษกล่าวหาผู้อื่นเพื่อทำให้ตัวเองสามารถเดินออกจากปัญหาภายนอกได้แทน การใช้ทางสายกลางโดยการหาประโยชน์จากช่องว่างทางความคิดความรู้สึกและการกระทำของผู้อื่นอาจช่วยให้เราเดินออกจากปัญหาภายนอกได้เพียงชั่วคราวเท่านั้นเพราะผู้ที่สามารถเดินออกจากปัญหาทั้งภายนอกและภายในคือผู้อื่นไม่ใช่เรา เมื่อผู้อื่นสามารถช่วยให้เราเดินออกจากปัญหาภายนอกได้แต่ภายในเรายังยืนอยู่ที่จุดเดิมเราก็จะสร้างปัญหาเดิมๆขึ้นมาอีกแล้วเราก็ใช้ทางสายกลางโดยการหาประโยชน์จากช่องว่างทางความคิดความรู้สึกและการกระทำของผู้อื่นเพื่อช่วยให้เราเดินออกจากปัญหาภายนอกเหมือนเดิม=การใช้ชีวิตพายเรือวนอยู่ที่เดิม เมื่อเราใช้ชีวิตวนอยู่ในความคิดความรู้สึกและการกระทำเดิมๆของเราเองเราจะมองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงและการไม่เปลี่ยนแปลงของตัวเองและของผู้อื่น เมื่อเรามองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงและการไม่เปลี่ยนแปลงของตัวเองและของผู้อื่น ไม่ว่าเราและผู้อื่นจะทำหรือไม่ทำอะไรก็ตามเราจะมีความคิดและเข้าใจอยู่ภายใต้ความคิดความรู้สึกและการกระทำเดิมๆของเราเองหมายความว่า ไม่ว่าผู้อื่นจะทำหรือไม่ทำอะไรเราจะมองไม่เห็นความคิดความรู้สึกและการกระทำที่แท้จริงของผู้อื่นเราจะมองเห็นแต่สิ่งที่เราคิดและเข้าใจไปเองเท่านั้นคือ ไม่ว่าผู้อื่นจะทำหรือไม่ทำอะไรก็ตามเราจะคิดเข้าข้างตัวเองเสมอ (การหลงตัวเอง) การพายเรือวนอยู่ในความคิดความรู้สึกและการกระทำเดิมๆของเราเองจะทำให้เรามองไม่เห็นว่าผู้อื่นเดินออกไปไกลแค่ไหนแล้วเราจะคิดแต่ว่าผู้อื่นยังยืนอยู่ที่เดิมเหมือนเรา เมื่อเรามองไม่เห็นว่าผู้อื่นเดินออกไปไกลแค่ไหนแล้วและเรามองไม่เห็นว่าเรายังยืนอยู่ที่เดิมเราจึงไม่สามารถนำพาความคิดความรู้สึกและการกระทำของเราเองเดินออกจากจุดที่เรายืนอยู่ได้ เราจึงเลือกที่จะใช้วิธีเดิมๆวนอยู่กับความคิดความรู้สึกและการกระทำเดิมๆและได้ผลลัพธ์แบบเดิมโดยหวังว่าผู้อื่นจะต้องแสดงความมีน้ำใจและแสดงความช่วยเหลือเรา ไม่มีใครช่วยใครได้นอกจากตัวเราเอง ไม่มีใครสามารถนำพาความคิดความรู้สึกและการกระทำของใครออกจากตัวใครได้นอกจากตัวเราเอง ไม่มีอะไรสูญเปล่า ถ้าเราไม่เป็นผู้เดินก้าวข้ามสะพานของตัวเราเองและของผู้อื่นเราก็เป็นสะพานให้ผู้อื่นก้าวเดิน