ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๓๔ แปรจิตเปลี่ยนสำนึก

.
                                                  

บทที่ ๓๔ แปรจิตเปลี่ยนสำนึก

พานอินพาบริวารติดตามชาวบ้านปฏักเข้าป่าดิบไปดูต้นกระเบาตั้งแต่เช้ามืด...

ผลกระเบาเป็นหนึ่งในสินค้าสำคัญที่พานอินจะนำไปเมืองจีน ด้วยเป็นพืชสมุนไพรมีสรรพคุณรักษาโรคร้ายได้หลายชนิด เป็นที่ต้องการอย่างมากของราชสำนักกรุงจีน

ยามนี้ย่างเข้าสู่เดือนยี่กระเบาเริ่มผลิดอกแต่จะเป็นผลให้เก็บได้ในราวเดือนเจ็ด ส่วนผลกระเบาแห้งที่ขายอยู่ในตลาดเมืองปตานีก็ถูกกองเรือจีนของเซียงจือกงกว้านซื้อไปจนหมดสิ้น ครั้งนี้พานอินและคณะมาถึงป่าปฏักได้ฟังจากชาวหมู่บ้านว่าในป่าดิบมีกระเบาเริ่มออกดอกจึงพากันไปดู สุดท้ายพบอยู่หลายแหล่งในป่า จึงได้ตกลงการค้าให้ชาวบ้านปฏักเก็บผลมาส่งขายในอีก ๖ เดือนข้างหน้า

“เราจะอยู่รอถึงเดือนเจ็ดเลยหรือนายท่าน” นายเรืองถามขึ้น

“อย่างไรเราก็ต้องรับซื้อไว้ก่อน... ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่จะพัดพาเราไปจีนเริ่มต้นในเดือนหก ไม่แน่เราอาจจะรอผลกระเบา แต่หากเรือเราได้สินค้าอื่นจนเต็มลำแล้ว เราจะออกเรือและให้พวกเจ้าส่วนหนึ่งอยู่ทางนี้ คอยดูแลรักษาสินค้าไว้... ของพวกนี้ถ้าเราไม่ซื้อไว้ กองเรือสินค้าจีนกลับมาในปีหน้าก็คงจะได้ไปหมดสิ้น เพราะมีนายสถานีไต้ซีหงคอยกว้านซื้อสะสมเก็บไว้ให้”


กว่าพานอินและคณะจะออกจากป่ากลับมาถึงหมู่บ้านปฏักก็เป็นยามเย็น พบเห็นเจ้าทิพมีแผลเพิ่มเติมขึ้นที่แขน สอบถามจึงทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น...

“อะไรนะ เขาสะกดให้เจ้าเฉือนเนื้อตัวเอง ป้อนให้งูกิน”

พานอินอุทานลั่นด้วยความตกใจ พร้อมกับสีหน้าตระหนกของบริวารคู่ใจ นายเรือง นายราบที่ได้ยินเรื่องราว
“เราต้องไปเอาความกับวรา ทำไมต้องทำกับน้องเราถึงขนาดนี้”

“ท่านพี่อย่าได้ไปหาวราให้วุ่นวายเลย ข้าพเจ้าเชื่อว่าคงเป็นวิถีแห่งการฝึกของเขา”
“เราจะปล่อยไว้อย่างนี้ได้กระไร ต้องพูดกันให้รู้เรื่องว่าจะมีอันตรายสิ่งใดอีก... แล้วนี่ถ้าเขาให้เจ้าเฉือนเนื้อป้อนปากงูอีก เจ้ามิต้องกระทำดอกรึ”

“ใช่... ต้องเฉือนเนื้อป้อนปากงูอีกครั้ง” เสียงทุ้มห้าวดังแทรกขึ้น พร้อมกับร่างใหญ่ของวราที่ก้าวเข้ามา

“ท่านคงรู้ว่าข้าต้องการพบ” พานอินกล่าวเสียงเข้ม สีหน้าขทึง

“พอข้ารู้ว่าท่านกลับมาแล้ว ก็รีบมาพบ... ไม่ใช่เพราะเรื่องของเจ้าทิพ แต่จะมาเตือนท่านว่าอย่าได้เข้าไปในป่าดิบอีก ท่านคงไม่รู้หรอกว่าตอนนี้มีโขลงช้างเถื่อนเคลื่อนย้ายเข้ามา โชคดีที่วันนี้พวกท่านไม่ได้พบเจอมิฉะนั้นคงจะเป็นอันตราย”
“ขอบใจที่เป็นห่วงข้า แต่ท่านควรจะห่วงใยในตัวเจ้าทิพที่อยู่กับท่านตลอดทั้งคืนมากกว่า”

“เอาละ ท่านอย่าได้เข้าไปในป่าดิบอีกก็แล้วกัน... ส่วนเรื่องการฝึกของเจ้าทิพ ข้าจำเป็นต้องทำเช่นนี้” ไม่รอให้อีกฝ่ายทักท้วง วราก็ชิงกล่าวต่อว่า

“การจะบังคับควบคุมสัตว์ เจ้าทิพจำเป็นต้องมีสัญชาตญาณความรักผูกพันกับสัตว์ สิ่งนี้ต้องปลูกฝังลงในจิตใต้สำนึกมิเช่นนั้นเพียงแวบแรกที่เห็นสัตว์ร้ายก็ตื่นกลัวรังเกียจเสียแล้ว... สัญชาตญาณไม่ใช่เรื่องที่จะปรับเปลี่ยนกันได้ง่าย ต้องผ่านประสบการณ์เคี่ยวกรำนับแรมปี แต่เจ้าทิพมีเวลาเพียง ๒ เดือนที่ต้องฝึกวิชาทั้งหมดให้สำเร็จ ข้าจึงจำเป็นต้องใช้การสะกดสู่จิตใต้สำนึกของเขา เพื่อให้กระทำในสิ่งที่สำนึกทั่วไปมิอาจยอมรับและยินยอมกระทำได้...

ข้าสะกดให้เจ้าทิพเห็นอสรพิษประหนึ่งเห็นสัตว์ที่เขารัก ให้เขาดูแลและป้อนอาหารมัน เจ้าทิพจำเป็นต้องกรีดเลือดเฉือนเนื้อของตัวเองเพื่อเป็นรอยทรงจำฝังแทรกอยู่ใต้จิตสำนึก จากนั้นข้าก็ทำแผลให้เขาและผ่อนสะกดลงจนเขาอยู่ในภาวะกึ่งรู้สึกตัว เขาจึงรับรู้ต่อมาว่าได้สละเลือดเนื้อให้งูกลืนกิน โอบกอดให้ความอบอุ่นกับงูตลอดทั้งคืนจนรุ่งเช้า... ท่านลองถามความรู้สึกของเขาที่มีต่ออสรพิษตอนนี้ดูสิ ว่ารู้สึกอย่างไร”

พานอินมิได้ถาม เพียงเพ่งสังเกตสีหน้าและอาการของน้องร่วมสาบานที่บัดนี้ดูสงบเยือกเย็น

“ข้ารู้สึกผูกพันกับมัน... เหมือนมันเป็นเพื่อนข้าเช่นเดียวกับม้าที่ข้าเลี้ยงไว้ เมื่อก่อนข้าไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้เลย” เจ้าทิพเอ่ยปากบอกมา

พานอินขมวดคิ้ว หันกลับมาที่วรา
“น้องของข้าเปลี่ยนจิตใต้สำนึกได้ในชั่วค่ำคืนจริงๆ หรือ”

“ยังหรอก.. แต่เข้าใกล้มากแล้ว ข้าต้องการเวลาอีก ๓ คืน” เจ้าแห่งสัตว์มองไปยังเจ้าทิพเขม็ง “ตั้งแต่ข้าพบพานคนมา ยังไม่เคยมีใครเปลี่ยนสัญชาตญาณให้ผูกพันกับสัตว์ร้ายได้รวดเร็วเหมือนเขามาก่อน... ข้าเดาเอาว่าตัวเขาอาจไม่มีสังคมมิตรสหาย จิตใต้สำนึกจึงผูกพันกับสัตว์ได้ง่ายกว่า...แม้กระทั่งกับสัตว์ร้าย”

จริงอย่างที่วราคาดเดา ชีวิตของเจ้าทิพแทบจะไม่มีผู้ใดให้คบหาเลย...

“ดีเหมือนกัน... ข้าพเจ้าจะได้มีเพื่อนมากๆ”
เจ้าทิพกล่าวขึ้นคล้ายเสียงรำพึง จนพานอินฟังแล้วรู้สึกสะท้อนใจ กล่าวว่า

“น้องเรา...  เจ้ามีเพื่อนเป็นเหล่าสัตว์คงมีความสุข ไม่ต้องคอยระแวดระวังการหลอกลวงหักหลัง...” พลางตบไหล่เจ้าทิพเบาๆ “จำไว้ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ ถ้าเจ้าไม่รู้สึกถึงความปลอดภัยที่ได้ผูกสัมพันธ์ นั่นก็ไม่ใช่เพื่อนแล้ว”

คำกล่าวของพานอินเป็นจริงทุกยุคสมัย...
หากแม้นไม่สามารถรู้สึกปลอดภัยและวางใจกับคนที่เราคบหาได้ คำว่า “เพื่อน” ก็อย่าได้นำมาเรียกหาต่อกันเลย

-----------------------------------

ค่ำนี้วราพาเจ้าทิพมายังกระท่อมเลี้ยงงูอีกครา แต่ครั้งนี้หาได้สะกดจิตเจ้าทิพไม่
ปล่อยให้ชายหนุ่มมีสติแจ่มใสและกรีดเนื้อของตนป้อนเข้าปากงูอีกครา

“ครั้งก่อนเจ้าเฉือนเนื้อป้อนงูด้วยฤทธิ์สะกด ครั้งนี้เจ้าต้องทำจากจิตที่รับรู้ของเจ้าเอง... ความเจ็บปวดและการเห็นเนื้อของตนเข้าไปในปากสัตว์ สิ่งนี้เรียกว่าเสียสละ และจะเปลี่ยนสำนึกของเจ้า... เนื้อคนหรือเนื้อสัตว์ก็ไม่แตกต่างกัน เจ้ากินเนื้อสัตว์ สัตว์กินเนื้อเจ้า เลือดเนื้อของอีกฝ่ายก่อเกิดเนื้อเลือดให้อีกฝ่าย...”

...นั่นคือคำสั่งและคำสอนของวรา

หลังจากทำแผลให้เจ้าทิพแล้ว วราสั่งให้เจ้าทิพอุ้มกอดงูแล้วพาเดินวนรอบห้อง ระหว่างเดินก็ให้สลับสับเปลี่ยนแขนซ้ายขวาที่รองช้อนอสรพิษ เพื่อให้มีสติรู้ตัวจดจ่ออยู่กับสัมผัส

“ข้าต้องการให้ทุกขณะจิตของเจ้ารู้สึกถึงสัมผัสของงู เมื่อจิตของเจ้าผนึกลงเป็นสมาธิ ในขณะที่เปิดรับรู้สภาพธรรมรอบกาย จิตของเจ้าจะสัมผัสถึงคือจิตของงู”

จิตของเจ้าทิพทิ้งวางออกจากสิ่งต่างๆ รับรู้เพียงอากัปกิริยาของตนและการขยับเคลื่อนร่างของงูในวงแขน บางครั้งมันก็เลื้อยขึ้นชูคอเกี่ยวรัดลำคอของตน เสียงของวราคอยสั่งสอนชี้นำเป็นระยะ...

บางคราววราก็กำหนดให้เจ้าทิพนั่งพักวางงูลงกับตัก เมื่อพักพอแล้วก็ให้ช้อนงูอุ้มขึ้นพาเดินขยับแขนซ้ายขวาต่อไป ทำดังนี้สลับกันไปจวบจนยามสาม
เสียงของวรายิ่งนานยิ่งเงียบหาย.. จนไม่ได้ยินสิ่งใดอีกแล้ว สัมผัสรู้เพียงร่างเย็นๆ ของงู กับแสงไฟที่พัดไหว... ทุกอย่างเงียบสงบ

ฉับพลันในห้วงสำนึก เจ้าทิพแว่วยินเสียงของงู... เป็นเสียงจากจิตภายใต้ร่างเย็นที่ขดอยู่ในอ้อมแขน
เจ้าทิพเริ่มต้นสื่อสารทาง “จิต” กับงูแล้ว...

-----------------------------------

พอรุ่งเช้า วราก็พาเจ้าทิพเดินลึกฝ่าเข้าไปในป่ารกทึบ

แม้จะเป็นยามเช้าแต่ด้วยสภาพป่าซึ่งยืนเบียดเสียดด้วยต้นไม้สูงใหญ่ มีไม้เถาเกาะเกี่ยวห้อยพันกัน ทำให้ตลอดทางมืดครึ้ม เมื่อเดินมาถึงจุดหนึ่งเริ่มมีกลิ่นเหม็นเน่าบางๆ

เป็นซากสัตว์สี่เท้าที่ตายมาได้สัก ๒ วันซึ่งพสุไปเสาะหาและนำมาทิ้งไว้ตามคำสั่งของวรา
หนอนสีขาวขุ่นนับร้อยนับพันตัวไต่ยั้วเยี้ยชอนไชไปทั่วซากร่าง มีฝูงแมลงบินวนลงไต่ตอม จนเจ้าทิพขนพองชันขึ้นโดยไม่รู้ตัว

เป็นอีกบทเรียนจากวรา ที่ฝึกให้เจ้าทิพตัด “รังเกียจ” และเชื่อมจิตกับเหล่าหนอนแมลง...

ครั้นตกค่ำ วราให้ชายหนุ่มฝึกจิตกับอสรพิษ ๓ ตัวโดยไม่มีการเฉือนเนื้อป้อนอาหารอีกต่อไป เจ้าทิพสามารถสัมผัสถึงจิตของงูว่าตัวไหนอยู่ในภาวะอารมณ์เยี่ยงไร แม้หลับตาก็ยังจำแนกได้ว่างูตัวไหนเป็นตัวไหน

พอเช้ามาวราก็พาไปนอนแช่ในหนองน้ำ ให้รับรู้สัมผัสกับจิตระแวงระวังของสัตว์น้ำขนาดเล็ก

“สัตว์น้ำตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ให้ใช้น้ำเป็นสื่อสัมผัส ค่อยๆ ฝึกไปวันหนึ่งก็จะสามารถควบคุมบังคับมันได้เช่นกัน....”

คืนที่สามของการฝึกฝน ซึ่งวราบอกว่าเป็น “คืนสุดท้าย” แห่งการฝึกจิตกับอสรพิษ วราให้เจ้าทิพฝึกกับงูเห่าที่เพิ่งดักจับมาจากป่าลึก งูที่ยังเต็มไปด้วยสัญชาตญาณดิบและดุร้าย

“งูตัวนี้เราเข้าป่าไปดักจับมาเมื่อตอนกลางวัน พสุเป็นคนดำเนินการตามที่เรากำกับ... เรายังไม่ได้สัมผัสหรือสื่อจิตกับมันเลย เจ้าลองสื่อจิตผูกพันกับมันดู”

ลังวางอยู่กลางห้อง เจ้าทิพคุกเข่าลงเอามือสัมผัสด้านนอกของลังแล้วขยับให้สั่นไหวเบาๆ จากสัมผัสรู้สึกถึงสิ่งที่เป็นท่อนขยับเคลื่อนไหวอยู่ภายในทันที

มือเจ้าทิพค่อยๆ เลื่อนฝาลังเปิดออก อสรพิษลำตัวเท่าข้อมือที่อยู่ภายในขดร่างเกร็ง ชูคอผงกหัวขึ้นแต่ไม่สูงพ้นเกินระดับขอบปากลัง คล้ายระวังตัวและเตรียมป้องกันหากเจ้าทิพรุกล้ำเข้าไปภายในลัง

“เจ้าอึดอัดมากไหม อยู่ข้างในนั้น...ไม่ต้องกลัวนะ ออกมาอยู่กับข้า” ชายหนุ่มพูดพร้อมรอยยิ้มบนสีหน้า แบฝ่ามือข้างขวาออกค่อยๆ วางทาบกับขอบปากลัง

เจ้างูผงกหัวแผ่แม่เบี้ยขึ้นทันที ตาสีนิลจ้องไปยังฝ่ามือ
สักครู่มือที่ทาบอยู่กับขอบลังก็เลื่อนขยับเข้าหาหัวงู เจ้างูแลบลิ้นแพร่บ หุบแม่เบี้ยแล้วเคลื่อนเข้าหาฝ่ามือตรงหน้า มันวางหัวกับฝ่ามือแล้วเลื้อยเลื่อนไหลไปสู่แขน หัวไหล่และพันพาดรอบลำตัวเจ้าทิพ คล้ายเถาวัลย์ที่โอบรัดลำต้นของไม้ใหญ่

วราถึงกับเบิกตาโพลง อุทานขึ้น
“ช่างรวดเร็วนัก... เป็นฝีมือที่รวบรัดยิ่งนัก”

ในเสี้ยวเวลานั้น ผู้ถ่ายทอดวิชาพลันคำนึงขึ้น... เด็กหนุ่มคนนี้ จิตแรงแกร่งกล้านัก วันหนึ่งข้างหน้าคงบังคับสัตว์บกสัตว์น้ำ หรือแม้แต่วิหคในอากาศได้หมดสิ้นแน่...

-----------------------------------

หลังผ่านการฝึกคืนสุดท้ายกับอสรพิษ วราให้ชายหนุ่มไปนอนหลับแช่กายในหนองน้ำเพื่อฝึกจิตสัมผัสกับฝูงปลา ตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาบ่ายคล้อยมากแล้ว กลับมาถึงเพิงพักจึงจัดแจงอาบน้ำชำระล้างร่างกาย เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่และรับอาหารจากพสุ ผู้เตรียมอาหารให้ชายหนุ่มแทบทุกมื้อ
จนใกล้พลบค่ำพานอินจึงกลับมา...

ทุกวันพานอินและบริวารจะออกไปตามราวป่าเพื่อสำรวจพืชสมุนไพรและเครื่องเทศกับชาวบ้านปฏัก วันนี้กลับมาท่าทางเบิกบานเมื่อพบว่าในป่าใกล้เคียงมีกระวานขาวขึ้นอยู่มากมาย พานอินจึงได้ทำการตกลงซื้อขายไว้ล่วงหน้า

“ท่านพี่เข้าไปในป่าไม่กลัวพบเจอโขลงช้างเถื่อนหรือกระไร”
“พวกเราไม่ได้เข้าไปในป่าจนลึกนัก ใช่ว่าจะละเลยคำเตือนของวราเสียที่ไหน”
พานอินตอบคำของน้องชายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วถามถึงเรื่องการฝึกฝน

“ตัวเจ้าล่ะ วันนี้ฝึกไปถึงไหนแล้ว”

เจ้าทิพขึ้นไปนั่งห้อยขาบนชานเพิงพักที่ยกพื้นสูงเกือบสองศอก ประชิดผู้พี่ที่กึ่งยืนกึ่งนั่ง เอนพาดอยู่กับขอบชานด้วยอาการอ่อนแรง
“ข้าพเจ้าสามารถสื่อจิตกับอสรพิษได้แล้ว พรุ่งนี้เช้าจึงจะเริ่มฝึกกับช้างกับม้า ดังนั้นคืนนี้วราให้ข้าหยุดพักเพื่อสลัดกลิ่นสาบของอสรพิษให้หมดไป ด้วยอาชากับอสรพิษเป็นคู่ที่รังเกียจและหวาดระแวงต่อกัน”

“ดีแล้ว ครั้งนี้จะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันเสียที ทุกค่ำพอเรากลับมา เจ้าก็ต้องเตรียมตัวออกไปฝึกฝน แทบจะไม่ได้พูดคุยกันเลย...เดี๋ยวให้เราไปอาบน้ำชำระตัวก่อน แล้วค่อยมานั่งคุยกัน”

วราจัดเพิงพักให้พานอินและพวกทั้งหมด ๓ หลัง ลักษณะเป็นเพิงยกพื้นสูงราวสองศอก หลังคามุงหญ้าแฝก ฝาเรือนขัดแตะไม้ไผ่ซีกใหญ่ปิดล้อมทั้งสามด้านแต่เปิดด้านหน้าโล่ง มีชานลดระดับยื่นออกมาเกือบหนึ่งวา พานอิน นายเรือง นายราบและเจ้าทิพพักอยู่ด้วยกันหลังหนึ่ง ส่วนบริวารที่เหลือกระจายไปพักอยู่อีก ๒ หลัง จัดเวรยามสับเปลี่ยนอยู่รอบเพิงพักของพานอิน

พื้นที่บริเวณด้านหลังระหว่างเพิงพักของพานอินและเพิงอีกหลังเป็นลานปูด้วยแผ่นไม้ วางโอ่งใส่น้ำไว้ ๓ ใบ บรรจุน้ำใสที่เหล่าบริวารตักมาจากบ่อน้ำในหมู่บ้าน แม้พานอินจะให้ทุกคนใช้ร่วมกันโดยไม่เเบ่งศักดิ์ฐานะที่แท้จริง แต่กระนั้นหากพานอินยังมิได้อาบชำระก่อนแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดจะกล้าอาบน้ำเลย

(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่